3 ต.ค. 2024 เวลา 13:00 • ประวัติศาสตร์

สภาความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐฯ ตอนที่ 3.3

เมื่อ จอห์น เอฟ. เคนเนดี เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา เขาได้รับอิทธิพลอย่างมากจากรายงานคณะอนุกรรมการของวุฒิสมาชิก เฮนรี แจ็คสัน (Henry Jackson) ซึ่งวิจารณ์ระบบสภาความมั่นคงแห่งชาติ (NSC) ในยุคของ ประธานาธิบดีไอเซนฮาวร์ ว่าระบบมีความซับซ้อนและไม่มีประสิทธิภาพในการตอบสนองเหตุการณ์สำคัญ ๆ ดังนั้น เคนเนดีจึงตัดสินใจ ปรับโครงสร้าง NSC เพื่อทำให้กระบวนการกำหนดนโยบายความมั่นคงและการต่างประเทศสามารถตอบสนองต่อประธานาธิบดีได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
ในช่วงเวลาอันสั้นหลังเข้ารับตำแหน่ง เคนเนดีได้ดำเนินการ ดังนี้:
  • 1.
    ลดจำนวนทีมงานของ NSC จาก 74 คน เหลือ 49 คน
  • 2.
    จำกัดจำนวนเจ้าหน้าที่ที่มีบทบาทสำคัญเหลือเพียง 12 คน
  • 3.
    ลดความถี่ในการประชุม NSC ลง และ จำกัดจำนวนผู้เข้าร่วมประชุม
  • 4.
    ยกเลิกคณะกรรมการประสานงานการปฏิบัติการ (Operation Coordination Board: OCB)
ประธานาธิบดี John F. Kennedy ดึง NSC กลับจากการติดตามการดำเนินนโยบาย และส่งบทบาทในการประสานงานและตัดสินใจด้านนโยบายการต่างประเทศกลับไปยังกระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง การกระทำนี้สะท้อนถึงความต้องการของ Kennedy ในการสร้างกระบวนการกำหนดนโยบาย
ที่มีความคล่องตัวและมีประสิทธิภาพมากขึ้น เขาเชื่อว่าการลดขั้นตอนราชการและการมีทีมงานที่เล็กลงจะช่วยให้การตัดสินใจรวดเร็วและตอบสนองต่อสถานการณ์โลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วได้มากขึ้น
เมื่อ แมคจอร์จ บันดี (McGeorge Bundy) ได้รับการแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติของประธานาธิบดี เขาไม่เพียงแค่เป็นบุคคลแรกที่ดำรงตำแหน่งนี้ในรูปแบบที่ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน แต่ยังเป็นผู้กำหนดมาตรฐานและขอบเขตของบทบาทนี้ Bundy ขยายบทบาทและพัฒนาหน้าที่ของตนอย่างต่อเนื่องในสมัยของประธานาธิบดี John F. Kennedy
ด้วยความสามารถทางปัญญาและทักษะในการบริหารจัดการ เขาสามารถจัดการกับประเด็นความมั่นคงแห่งชาติที่ซับซ้อนอย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับประธานาธิบดียังช่วยให้เขามีอิทธิพลอย่างมากในการกำหนดนโยบายและการตัดสินใจสำคัญ
Bundy มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงบทบาทของที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติและสภาความมั่นคงแห่งชาติ (NSC) ให้สอดคล้องกับความต้องการของยุคสมัยในห้วงเวลานั้น
1
ในเดือนกันยายน ปี 1961 Bundy เขียนจดหมายถึงวุฒิสมาชิก Jackson เพื่อพยายามกำหนดความสัมพันธ์ในระยะแรกกับกระทรวงการต่างประเทศ การกระทำนี้สะท้อนถึงความพยายามของ Bundy ในการสร้างความร่วมมือและการประสานงานระหว่างหน่วยงานหลักในการกำหนดนโยบายการต่างประเทศและความมั่นคงแห่งชาติ เพื่อให้เกิดการทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพในประเด็นที่เกี่ยวกับความมั่นคง
ในช่วงต้นของการบริหารงานของ Kennedy เขาได้กำหนดขอบเขตการดำเนินงานที่ชัดเจนเกี่ยวกับบทบาทและความสัมพันธ์ระหว่างเขากับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ โดย Kennedy ต้องการให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศมีอำนาจและความรับผิดชอบในทุกด้านที่เกี่ยวข้องกับนโยบายการต่างประเทศของสหรัฐฯ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เขาต้องการหลีกเลี่ยงการสร้างองค์กรหรือระบบราชการที่ซับซ้อนระหว่างตัวเขากับรัฐมนตรี เพราะเขาเชื่อว่าการทำงานที่ซับซ้อนเกินไปจะทำให้การประสานงานเกิดความล่าช้า ดังนั้น Kennedy จึงเน้นให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศมีบทบาทหลักในการประสานงานและกำกับดูแลนโยบายสำคัญที่เกี่ยวข้องกับนโยบายและกิจการต่างประเทศทั้งหมด
นอกจากนี้ ประธานาธิบดี Kennedy ยังเน้นถึงอำนาจของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศควรครอบคลุมถึงด้านความช่วยเหลือในต่างประเทศและนโยบายข้อมูลข่าวสาร เพื่อให้สามารถประสานงานกับนโยบายหลัก อื่น ๆ ของประเทศได้คล่องตัวมากขึ้น หลังจากเหตุการณ์วิกฤตอ่าวหมูในปี 1961 (Bay of Pigs crisis) ซึ่งเป็นความพยายามที่ล้มเหลวในการโค่นล้มรัฐบาลของ Fidel Castro ในคิวบา กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ถูกวิจารณ์อย่างหนักเนื่องจากความล้มเหลวในการประสานงานและตอบสนองต่อวิกฤตนี้
ความล้มเหลวในครั้งนั้นทำให้รัฐบาลสหรัฐฯ ต้องทบทวนการทำงานของหน่วยงานต่าง ๆ อย่างจริงจัง โดยเน้นไปที่การปรับปรุงกระบวนการให้ประธานาธิบดีได้รับคำแนะนำและข้อมูลที่เชื่อถือได้จากหลายหน่วยงาน เพื่อลดความเสี่ยงของการตัดสินใจที่ผิดพลาดในอนาคต
หนึ่งในมาตรการที่สำคัญที่สุดหลังวิกฤตอ่าวหมู คือ การจัดตั้งห้องยุทธการ (Situation Room) ในทำเนียบขาวในปี 1962 ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับสำนักงานของ แมคจอร์จ บันดี ที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติ ห้องสถานการณ์นี้เชื่อมโยงโดยตรงกับ ช่องทางการสื่อสารของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงกลาโหม และ CIA ซึ่งทำให้ประธานาธิบดีและที่ปรึกษาด้านความมั่นคงสามารถติดตามการสื่อสารจากสถานทูตและฐานทัพต่างประเทศได้แบบเรียลไทม์
ห้องยุทธการไม่เพียงช่วยให้ประธานาธิบดีได้รับข้อมูลล่าสุดแบบเรียลไทม์ แต่ยังเปิดโอกาสให้ Bundy และทีมงาน NSC มีบทบาทมากขึ้นในการจัดการปัญหาความมั่นคงระหว่างประเทศ และทำให้ NSC มีบทบาทสำคัญในการขยายการมีส่วนร่วมในกิจการต่างประเทศอย่างเป็นรูปธรรม โดยทำหน้าที่คล้ายกับกระทรวงการต่างประเทศย่อย เพื่อช่วยให้การจัดการนโยบายการต่างประเทศเป็นไปอย่างคล่องตัวและมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพิ่มศักยภาพในการตัดสินใจและการตอบสนองต่อสถานการณ์และวิกฤตสำคัญ
ในช่วงที่ McGeorge Bundy ดำรงตำแหน่งเป็นที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติ เขาได้แบ่งงานกับทีมของเขาอย่างชัดเจน โดย Bundy มุ่งเน้นไปที่การจัดการวิกฤตประจำวันและดูแลกิจการด้านความมั่นคงในภูมิภาคยุโรป ซึ่งเป็นภูมิภาคที่มีความสำคัญในยุคสงครามเย็น ขณะที่ วอลท์ รอสโตว์ (Walt Rostow) ผู้ช่วยที่ปรึกษาด้านความมั่นคง (Deputy National Security Advisor) ของ Bundy รับหน้าที่ในการวางแผนด้านความมั่นคงระยะยาว
โดยเฉพาะการให้ความสำคัญกับภูมิภาคละตินอเมริกา ซึ่งมีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์สำหรับสหรัฐฯ ในช่วงเวลานั้น เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่เสี่ยงต่อการขยายอิทธิพลของคอมมิวนิสต์ ภายใต้การทำงานร่วมกันระหว่าง Bundy และ Rostow ต่างมีบทบาทสำคัญในการรักษาความมั่นคงและผลประโยชน์ของสหรัฐฯ ในทั้งสองภูมิภาค
หลังจาก Walt Rostow ลาออก คาร์ล เคย์เซน (Carl Kaysen) ได้เข้ามารับตำแหน่งที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติ โดย Kaysen ให้ความสำคัญกับประเด็นไปด้านการค้าต่างประเทศและปัญหาเศรษฐกิจ ซึ่งมีความสำคัญมากขึ้นในช่วงหลังของการบริหารงานของประธานาธิบดี Kennedy เขามีบทบาทสำคัญในการจัดการประเด็นดังกล่าวเหล่านี้
1
เนื่องจากการค้าระหว่างประเทศและเศรษฐกิจได้กลายเป็นปัจจัยสำคัญในนโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ ในยุคหลัง ทั้งนี้ ประเด็นทางเศรษฐกิจมีผลกระทบต่อการตัดสินใจด้านความมั่นคงและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมากขึ้นเรื่อย ๆ ในเวลาต่อมา
นอกจากการขอคำแนะนำจากทีมงาน NSC ที่นำโดย McGeorge Bundy แล้ว ประธานาธิบดี Kennedy ยังได้แต่งตั้งนายพลแมกซ์เวลล์ เทย์เลอร์ (General Maxwell Taylor) ในช่วงต้นปี 1961 ให้ทำหน้าที่เป็นตัวแทนทางทหารของประธานาธิบดี Taylor ให้คำแนะนำในด้านการทหาร การข่าวกรอง และการวางแผนยุทธศาสตร์ในห้วงสงครามเย็น
Taylor มีบทบาทสำคัญในการให้คำแนะนำเกี่ยวกับวิกฤตการณ์เบอร์ลินและปัญหาในอินโดจีน โดยเฉพาะภารกิจสำคัญที่ร่วมกับ Walt Rostow เพื่อเดินทางไปยังอินโดจีนในปี 1961 รายงานจากภารกิจนี้มีผลโดยตรงต่อการตัดสินใจทางทหารของสหรัฐฯ โดยนำไปสู่การเพิ่มความช่วยเหลือทางทหารแก่เวียดนามใต้ และกลายเป็น
การเปิดช่องทางให้สหรัฐฯ เข้าสู่ความขัดแย้งของสงครามเวียดนามในเวลาต่อมา
Taylor มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับประธานาธิบดี Kennedy และมีบทบาทสำคัญในการให้คำปรึกษาด้านการทหาร เมื่อเขาออกจากตำแหน่งในปี 1962 ตำแหน่งของเขาไม่ได้รับการแทนที่ในทันที อย่างไรก็ตาม ในปีเดียวกันนั้น เชสเตอร์ โบว์ลส์ (Chester Bowles) อดีตปลัดกระทรวงการต่างประเทศ (United States Under Secretary of State) ซึ่งเคยมีความขัดแย้งกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ดีน รัสก์ (David Dean Rusk) ได้รับการแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษาพิเศษด้านกิจการต่างประเทศให้กับประธานาธิบดี
โดย Bowles เข้ามามีบทบาทสำคัญในการให้คำแนะนำด้านนโยบายการต่างประเทศในช่วงที่สหรัฐฯ กำลังเผชิญกับความท้าทายในยุคของสงครามเย็น อาทิ การขยายอิทธิพลของสหภาพโซเวียตและขบวนการคอมมิวนิสต์ทั่วโลก ซึ่งส่งผลกระทบต่อภูมิภาคต่าง ๆ โดยเฉพาะในยุโรปตะวันออก เอเชีย และละตินอเมริกา การขยายอิทธิพลของคอมมิวนิสต์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บทบาทของสหรัฐฯ ในด้านความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจและการพัฒนาผ่านโครงการต่าง ๆ แก่ประเทศพันธมิตรสำคัญ
โดยเฉพาะการที่ Bowles เข้าไปมีมีบทบาทสำคัญในการพัฒนานโยบายต่อประเทศโลกที่สาม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการปรับทิศทางนโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ ในช่วงสงครามเย็น Bowles มุ่งเน้นการสร้างความสัมพันธ์เชิงบวกกับประเทศกำลังพัฒนา และสนับสนุนการให้ความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจและการพัฒนาแก่ประเทศเหล่านี้ เพื่อป้องกันการขยายอิทธิพลของคอมมิวนิสต์ในภูมิภาคเหล่านั้น
อย่างไรก็ตาม หลังจากทำงานในทำเนียบขาวเป็นเวลาหนึ่งปี Bowles ได้ลาออกจากตำแหน่งที่ปรึกษาพิเศษด้านกิจการต่างประเทศของประธานาธิบดี และได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งใหม่ในฐานะเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำอินเดีย การแต่งตั้งครั้งนี้สะท้อนถึงความเชี่ยวชาญของ Bowles ในการเจรจาและสร้างความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับประเทศโลกที่สาม โดยเฉพาะอินเดีย ซึ่งเป็นประเทศที่มีบทบาทสำคัญในภูมิภาคเอเชียใต้และมีความสัมพันธ์ที่ละเอียดอ่อนกับมหาอำนาจในสงครามเย็น
ในช่วงการดำรงตำแหน่งของ Kennedy สภาความมั่นคงแห่งชาติ (NSC) ยังคงมีบทบาทในการจัดการปัญหาความมั่นคง แต่ความถี่ของการประชุมลดลงอย่างมากเมื่อเทียบกับสมัยของประธานาธิบดี Dwight D. Eisenhower ในช่วงครึ่งแรกของปี 1961 มีการจัดประชุม NSC ประชุมเพียง 15 ครั้ง และตลอดระยะเวลาที่เหลือของการดำรงตำแหน่ง มีการประชุมเฉลี่ยเพียงเดือนละ 1 ครั้ง รวมทั้งสิ้น 49 ครั้งตลอดช่วงที่ Kennedy เป็นประธานาธิบดี
การประชุม NSC ซึ่งเคยเป็นเวทีสำคัญในการตัดสินใจนโยบายต่าง ๆ ในอดีต ถูกแทนที่ด้วยการจัดการผ่านวิธีการอื่น ๆ McGeorge Bundy ที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติของ Kennedy รายงานในเดือนกันยายน 1961 ว่าหลายประเด็นที่เคยนำเสนอในการประชุมประจำสัปดาห์ของ NSC ถูกตัดสินใจผ่านช่องทางอื่น เช่น การจัดประชุมเฉพาะกิจหรือการปรึกษาหารือในกลุ่มเล็ก ๆ ทำให้การประชุม NSC ไม่เป็นช่องทางหลักในการตัดสินใจเชิงนโยบายอีกต่อไป
นอกจากนี้ บางกิจกรรมของ NSC ถูกมอบหมายให้กับกลุ่มเล็ก ๆ ที่เรียกว่า Standing Group ซึ่งประกอบด้วยผู้แทนที่มีบทบาทสำคัญในรัฐบาล โดยในช่วงแรกกลุ่มนี้ประกอบด้วย ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการต่างประเทศฝ่ายกิจการการเมือง (Under Secretary of State for Political Affairs) เป็นประธาน
และมีสมาชิกสำคัญ อาทิ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม (Deputy Secretary of Defense) ผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองกลาง (CIA) และ บันดี ซึ่งกลุ่มนี้ประชุมทั้งสิ้นจำนวน 14 ครั้งในปี 1962 เพื่อพิจารณาปัญหาด้านการต่างประเทศที่มีความหลากหลาย
ต่อมาในปี 1963 กลุ่ม Standing Group กลับมาดำเนินการอีกครั้ง โดยมีการเพิ่มสมาชิกใหม่เพื่อขยายขอบเขตและความหลากหลายในที่ประชุม สมาชิกใหม่ที่เพิ่มเข้ามา ได้แก่ อัยการสูงสุด ประธานคณะเสนาธิการร่วม (JCS) ปลัดกระทรวงการคลัง (Under Secretary of the Treasury) ผู้อำนวยการหน่วยงานข้อมูลข่าวสารของสหรัฐฯ (USIA) และผู้บริหารของหน่วยงานเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศ (AID)
กลุ่มนี้มีบทบาทสำคัญในการพิจารณาและจัดการประเด็นสำคัญต่าง ๆ โดยได้จัดประชุมทั้งหมด 14 ครั้ง ในช่วงเวลาที่เหลือของการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของ John F. Kennedy
ในยุคของประธานาธิบดี Kennedy แนวทางการจัดการนโยบายต่างประเทศและความมั่นคงเปลี่ยนแปลงไปจากสมัยของ Dwight D. Eisenhower โดย Kennedy ละทิ้งแนวทางการวางแผนระยะยาวและหันมาเน้นการสร้างกลุ่มทำงานระหว่างหน่วยงานเฉพาะกิจ ซึ่งมุ่งเน้นไปที่การจัดการวิกฤตในรูปแบบของ "crisis management" มากกว่า
การเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ทำให้การนำกลุ่มทำงานเหล่านี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับกระทรวงการต่างประเทศโดยอัตโนมัติ แต่บางครั้งการนำถูกมอบให้กับเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานอื่น หรือบุคคลที่ได้รับความไว้วางใจจากประธานาธิบดี ตัวอย่างเช่น:
  • 1.
    กลุ่มต่อต้านการก่อการร้าย นำโดย นายพลแมกซ์เวลล์ เทย์เลอร์ (General Taylor)
  • 2.
    กลุ่มรับผิดชอบวิกฤตการณ์เวียดนาม
  • 3.
    กลุ่มจัดการวิกฤตการณ์เบอร์ลิน ซึ่งนำโดยอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ดีน แอชเชสัน (Dean Acheson)
หนึ่งในกลุ่มที่สำคัญที่สุดที่ถูกจัดตั้งขึ้นในยุคของประธานาธิบดี John F. Kennedy คือ คณะกรรมการบริหารสภาความมั่นคงแห่งชาติ (The Executive Committee of the National Security Council: ExCom) ซึ่งก่อตั้งขึ้นในฤดูใบไม้ร่วงปี 1962 เพื่อตอบสนองต่อเหตุการณ์ วิกฤตการณ์ขีปนาวุธคิวบา ExCom เป็นกลุ่มเฉพาะกิจที่มีขนาดเล็กกว่าสภาความมั่นคงแห่งชาติทั่วไป โดยมีประธานาธิบดี Kennedy เป็นประธาน กลุ่มนี้ประกอบด้วยบุคคลสำคัญที่ใกล้ชิดและมีบทบาทสำคัญในการจัดการวิกฤต เช่น:
  • 1.
    รองประธานาธิบดี
  • 2.
    รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
  • 3.
    รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
  • 4.
    รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
  • 5.
    อัยการสูงสุด (Robert F. Kennedy ซึ่งเป็นพี่ชายของประธานาธิบดี)
  • 6.
    ผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองกลาง (CIA)
  • 7.
    ประธานคณะเสนาธิการร่วม (JCS)
  • 8.
    McGeorge Bundy ที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติ
ExCom มีบทบาทสำคัญในการตัดสินใจเชิงยุทธศาสตร์ในช่วงวิกฤตการณ์ขีปนาวุธคิวบา ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดช่วงหนึ่งของสงครามเย็น กลุ่มนี้ทำงานอย่างใกล้ชิดกับประธานาธิบดีเพื่อพิจารณาทางเลือกต่าง ๆ ในการตอบโต้การติดตั้งขีปนาวุธของสหภาพโซเวียตในคิวบา โดยการประชุมและการตัดสินใจของ ExCom ส่งผลโดยตรงต่อการหลีกเลี่ยงสงครามนิวเคลียร์ในครั้งนั้น
หลังจากที่วิกฤตการณ์ขีปนาวุธคิวบาสิ้นสุดลงด้วยความสำเร็จ ExCom ยังคงประชุมอย่างต่อเนื่อง โดยยังคงเน้นเรื่องคิวบาเป็นประเด็นหลัก แต่ในขณะเดียวกันก็มีการอภิปรายเกี่ยวกับประเด็นอื่น ๆ ที่สำคัญต่อความมั่นคงของสหรัฐฯ ExCom ได้จัดการประชุมทั้งหมด 42 ครั้ง ระหว่างเดือนตุลาคม 1962 ถึงมีนาคม 1963 เพื่อหารือและติดตามความเคลื่อนไหวในคิวบา รวมถึงประเด็นอื่น ๆ เช่น นโยบายความมั่นคงและวิกฤตการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงสงครามเย็น
นอกจากนี้ ในยุคของประธานาธิบดี Kennedy การดำเนินงานทางลับของสหรัฐฯ เช่น ปฏิบัติการทางทหารลับและกิจกรรมแบบกองโจร มักถูกจัดการนอกระบบสภาความมั่นคงแห่งชาติ (NSC) โดยเฉพาะหลังจากเหตุการณ์วิกฤตอ่าวหมูในปี 1961 ซึ่งเป็นความพยายามที่ล้มเหลวในการโค่นล้ม Fidel Castro ในคิวบา เพื่อแก้ไขปัญหา
ความล้มเหลวดังกล่าว
ประธานาธิบดี Kennedy ได้ปรับโครงสร้าง คณะกรรมการ 5412 ซึ่งมีหน้าที่ตรวจสอบปฏิบัติการลับ โดยเปลี่ยนชื่อเป็น กลุ่มพิเศษ (Special Group) ที่มี McGeorge Bundy ที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติ เป็นประธาน คณะกรรมการนี้ยังประกอบด้วย:
  • 1.
    ผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองกลาง (CIA)
  • 2.
    ประธานคณะเสนาธิการร่วม (JCS)
  • 3.
    ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ (Under Secretaries from the State)
  • 4.
    ปลัดกระทรวงกลาโหม (Under Secretaries from the Defense)
กลุ่มพิเศษ (Special Group) ทำหน้าที่ตรวจสอบและอนุมัติโครงการปฏิบัติการลับหลายโครงการในช่วงสองปีแรกของ Kennedy และมีบทบาทสำคัญในการควบคุมและประเมินปฏิบัติการลับต่าง ๆ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความล้มเหลวเช่นเดียวกับเหตุการณ์วิกฤตอ่าวหมู
นอกจากนี้ ประธานาธิบดี Kennedy ยังเพิ่มความรับผิดชอบให้กับ คณะกรรมการที่ปรึกษาข่าวกรองต่างประเทศของประธานาธิบดี (President's Intelligence Advisory Board: PFIAB) ซึ่งก่อตั้งขึ้นในสมัยประธานาธิบดี Dwight D. Eisenhower ในปี 1956
PFIAB ทำหน้าที่เป็นเวทีสำหรับการตรวจสอบและให้คำปรึกษาในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับข่าวกรองและการปฏิบัติการลับ Kennedy ให้ความสำคัญกับคณะกรรมการนี้อย่างมาก โดยเขาได้พบปะกับคณะกรรมการทั้งหมด 12 ครั้ง และปรึกษาหารือกับสมาชิกในระดับบุคคลอย่างบ่อยครั้ง รวมถึงมีบทบาทในการตรวจสอบประเด็นข่าวกรองที่หลากหลาย และได้เสนอข้อแนะนำมากถึง 120 ข้อต่อประธานาธิบดี ซึ่งช่วยเสริมการตัดสินใจในช่วงเวลานั้น
ในฐานะที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติ McGeorge Bundy มีบทบาทสำคัญในกระบวนการกำหนดนโยบายด้านความมั่นคงและต่างประเทศ Bundy ทำงานอย่างใกล้ชิดกับประธานาธิบดี ซึ่งให้ความสำคัญกับความสามารถและความคิดเห็นของเขา เขามักเป็นสมาชิกในคณะกรรมการเฉพาะกิจหลัก ๆ และคณะกรรมการบริหารสภาความมั่นคงแห่งชาติ (ExCom) รวมถึงเข้าร่วมการประชุมอย่างเป็นทางการของสภาความมั่นคงแห่งชาติ (NSC) ในบางครั้ง
อย่างไรก็ตาม แม้ Bundy จะมีบทบาทสำคัญในการกำหนดนโยบาย แต่เขาได้รับการยกย่องว่าเป็นคนที่มีการปฏิบัติหรือการตัดสินใจที่เป็นกลาง ปราศจากความลำเอียง และพิจารณาความเห็นหรือข้อเท็จจริงจากทุกฝ่ายอย่างเท่าเทียมกัน ในการนำเสนอความคิดเห็นจากหน่วยงานต่าง ๆ ต่อประธานาธิบดี แม้ว่าบางครั้งความคิดเห็นเหล่านั้นจะขัดแย้งกับความคิดเห็นส่วนตัวของเขาเองก็ตาม
Bundy มักจะเสนอความคิดเห็นส่วนตัวต่อประธานาธิบดีเฉพาะเมื่อได้รับการร้องขอเท่านั้น ทำให้เขามีบทบาทเป็นผู้ประสานงานที่ไว้วางใจได้และเป็นที่ปรึกษาที่เคารพต่อกระบวนการตัดสินใจของประธานาธิบดี
นอกจากนี้ บทบาทของ McGeorge Bundy ในการกำหนดนโยบายให้กับประธานาธิบดี มักเป็นการใช้อิทธิพลเชิงอ้อมมากกว่าอิทธิพลทางตรง เขาไม่ได้พยายามกำหนดทิศทางนโยบายความมั่นคงและการต่างประเทศตามมุมมองส่วนตัวของเขาเอง แต่บทบาทหลักของ Bundy คือการบริหารงานและปกป้องผลประโยชน์ของประธานาธิบดี เขาจึงทำหน้าที่เป็นผู้นำทีมที่ช่วยผลักดันให้ระบบราชการดำเนินตามนโยบายของประธานาธิบดี และเป็นช่องทางในการสื่อสารกับทีมงานเชิงรุกของเขา
ในช่วงที่ดำรงตำแหน่ง Bundy เป็นผู้นำทีมที่มีความกระตือรือร้นและเชื่อมั่นว่า หน้าที่ของพวกเขาคือการปกป้องผลประโยชน์ของประธานาธิบดี โดยให้คำแนะนำที่เป็นอิสระ และผลักดันระบบราชการที่อาจไม่ปฏิบัติตามนโยบายของประธานาธิบดี ด้วยวิธีการนี้ Bundy ทำให้ทีมงานของประธานาธิบดี Kennedy ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและสามารถรับมือกับความท้าทายในการดำเนินนโยบายได้อย่างราบรื่น
โฆษณา