5 ต.ค. เวลา 02:19 • นิยาย เรื่องสั้น

หน้ากากแก้ว

"อเดล มัวทำอะไรอยู่ ใกล้ถึงคิวที่เธอต้องขึ้นแสดงแล้ว"
เสียงร้องบอกดังมาจากด้านหลังของ อเดล ที่กำลังนั่งบริหารเสียงร้องของตัวเองอยู่หน้ากระจก หลังจากที่เธอจัดการแต่งหน้าตัวเองเสร็จแล้ว และกว่าอเดลจะได้ขึ้นเเสดงจริง ๆ ก็ต้องรอคิวอีกสิบคน ดังนั้นเด็กสาวจึงไม่เข้าใจความหมายของคำว่า "ให้ถึงคิว" ของหัวหน้าคณะเลยสักนิด หากฟังจากน้ำเสียงก็แสดงออกชัดเจนว่าอยากให้เธอเฉิดฉายบนเวทีเต็มแก่แล้ว
อเดลถอนหายใจออกมาเล็กน้อย พร้อมกับมีเสียงข้อความเข้ามาในโทรศัพท์มือถือ อเดลคว้ามันขึ้นมาเปิดข้อความ สีหน้าของเธอผิดหวังเล็กน้อย เพราะคนที่ส่งข้อความมาคือ กาเบรียล พี่ชายเพียงคนเดียวของเธอ ที่ดูแลเธอมาตั้งแต่เด็กหลังจากที่พ่อแม่เสียชีวิต ปัจจุบันกาเบรียลได้กลายเป็นทหารยศนายร้อย มีผลงานมากมายในกองทัพ
และพี่ชายคนนี้ก็เป็นคนส่งเสียให้เธอเรียนในสิ่งที่ชอบ จนได้กลายเป็นนักร้องและนักแสดงตามความฝันจนสำเร็จ แน่นอนว่าการแสดงรอบนี้ของอเดล มีหรือที่กาเบรียลจะพลาดเพราะทันทีที่รู้ว่าเธอจะขึ้นแสดง พี่ชายแสนดีคนนี้ก็รีบจองตั๋วก่อนเป็นคนแรกเสมอ ทว่าคนที่อเดลรออย่างมีความหวังว่าจะมาชมการแสดงของเธอ กลับไร้วี่แววของการตอบรับ ราวกับข่าวการแสดงนี้ไม่เคยส่งไปถึงเขาคนนั้นเลย
อเดลวางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะและหันไปหยิบสร้อยคอเส้นหนึ่ง แล้วนำมาสวมไว้ที่คอในใจนึกหวังว่าหากเขามาในวันนี้ อาจได้เห็นสร้อยเส้นนี้และรับรู้ว่าเธอไม่เคยลืมเขาเลย นับตั้งแต่เหตุการณ์นั้น
วันที่อเดลได้เจอกับเด็กหนุ่มผู้มีนามว่า แม็กเครย์
.
🧙🏻🧙🏻🧙🏻🧙🏻
.
2 ปีก่อนหน้านี้
อเดลพร้อมด้วยเพื่อน ๆ ในคณะละครหน้ากากแก้ว กำลังเดินทางไปยังเมืองใหญ่เพือทำการแสดงละครเวที ทุกคนต่างตื่นเต้นกันมากเพราะนี่เป็นครั้งแรกที่คณะละครเล็ก ๆ จะได้เฉิดฉายบนเวทีใหญ่ที่มีผู้เข้ามาชมกว่าพันคน ระหว่างที่ทุกคนตื่นตาตื่นใจกับความเจริญของเมือง ตามประสาคนที่มาจากเมืองชุมชนเล็ก ๆ มีเพียงอเดลที่รู้สึกชินชากับมัน
มันก็เป็นเพราะเมืองแห่งนี้มันเคยเป็นบ้านเกิดของอเดลกับกาเบรียล สถานที่ที่รถบัสเคลื่อนผ่านล้วนเกี่ยวพันกับความทรงจำในอดีตของเธอทั้งสิ้น สามนาทีต่อมาอเดลตัดสินใจเสียบหูฟังเพลงและเอนหลังกับเก้าอี้บนรถ เพื่อที่จะไม่ต้องดูภาพวิวเมืองด้านนอก แต่ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน รู้ตัวอีกทีพวกเธอก็มาถึงที่พักกันแล้ว
"อเดล ตื่นได้แล้ว" เสียงเรียกจากเพื่อนในคณะละคร เดินมาปลุกเด็กสาวที่หลับอยู่
อเดลสะลึมสะลือตื่นขึ้น "ถึงที่พักแล้วเหรอ มายะ" เธอถามเด็กสาวตรงหน้า
"ใช่แล้ว เธอหลับนานเหมือนกันนะ"
อเดลเดินลงจากรถและลากกระเป๋าเดินทาง เดินตามหลัง มายะ และ กัณณริน สองเพื่อนสนิทเดินเข้ามาข้างในโรงแรม ซึ่งหัวหน้าคณะละครกับคนอื่น ๆ กำลังเช็ดอินห้องพักกันอยู่ ผ่านไปสี่นาทีทุกคนก็ได้ห้องพักของตน โดยหนึ่งห้องคนนอนสามคน และตามเดิมอเดลเลือกนอนกับมายะและกัณณริน หลังจากที่ต่างคนต่างเก็บของไว้ในห้องพักแล้ว
สามสาวตัดสินใจจะไปเดินชมงานนิทรรศการ ซึ่งจัดอยู่ไม่ไกลจากโรงแรมที่พวกเธออยู่ ในตอนแรกอเดลไม่อยากไปเท่าไหร่นัก เพราะเธออยากนอนพักผ่อนมากกว่า แต่สุดท้ายอเดลก็ไม่สามารถขัดขืนสองเพื่อนรักได้เลย จึงต้องตามมางานนิทรรศกาลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
อเดลพบว่างานที่พวกเธอเดินเข้ามา มันคืองานที่ตัดขึ้นเพื่อคนที่มีพลังมานา หรือที่เรียกกันว่า เพลเยอร์ เนื้อหาภายในงานส่วนมาก จะเป็นงานรับจ้างเกี่ยวกับล่ามอนสเตอร์ ด้วยความที่อเดลและสองเพื่อนรักไม่ใช่เพลเยอร์ จึงตัดสินใจเดินออกจากงาน อเดลรู้สึกไม่สบอารมณ์เท่านักที่ต้องมาเสียเวลาแบบนี้
"เพราะเธอสองคนแท้ ๆ เลย" อเดลพูด "แทนที่ฉันจะได้นอนพักผ่อนเก็บแรง แต่กลับต้องมาเสียเวลาแบบนี้เหรอ"
"โธ่ อเดล อย่าโกรธกันสิ" กัณณรินพยายามง้อเพื่อนรัก "ใครจะไปรู้ว่านิทรรศการนี้เป็นงานอะไร"
มายะพยักหน้าเห็นด้วย
"ใช่ ถ้าฉันสองคนรู้ก็คงไม่ไปหรอก" มายะพูดเสริม
อเดลกอดอกเชิดหน้าใส่ทั้งสอง จนมายะและกัณณรินต้องใช้ลูกไม้ออดอ้อน เพื่อให้เธอหายโกรธซึ่งก็ใช้เวลาไม่นาน สุดท้ายอเดลก็โกรธเพื่อนทั้งสองไม่ลง ขณะที่สามสาวตั้งใจจะเดินกลับห้องพัก
บึ้ม !
เสียงระเบิดดังลั่นมาจากด้านหลังของสามสาว อเดลเหลียวหลังหันไปมองแลเห็นควันสีเทาปนดำ ลอยพ่วยพุ่งขึ้นท้องฟ้าซึ่งบริเวณที่เกิดเหตุ มันอยู่ใกล้กับงานนิทรรศการพอดี ไม่นานฝูงชนก็แตกตื่นพากันวิ่งหนีตายอลหม่าน ตามมาด้วยเสียงคำรามดังก้องกังวาน พริบตานั้นอเดลที่มีสติมากกว่าจึงรีบจูงมือเพื่อนทั้งสอง และพากันวิ่งหนีสุดชีวิต
"เราต้องออกจากที่นี้ !" อเดลร้องบอก "มันไม่ปลอดภัยแล้ว"
"แล้วจะหนีไปไหนกัน" กัณณรินตะโกนถาม
"ไม่รู้ แต่ไม่ควรอยู่ตรงนี้"
ทันใดนั้นเองสิ่งที่อเดลหวาดกลัวที่สุดก็เกิดขึ้น ในช่วงที่ทั้งสามกำลังวิ่งหนีตายกันอยู่ ก็มีฝูงชนอีกกลุ่มซึ่งวิ่งมาจากไหนไม่รู้ พุ่งเข้ามาชนอเดลเต็มแรงส่งผลให้ เธอพลัดหลงกับเพื่อนทั้งสองซึ่งถูกฝูงชนดูดกลืนหายไป อเดลตกใจมากแต่ก็ตัดสินใจวิ่งหนีสุดชีวิต พลางภาวนาขอให้มายะกับกัณณรินปลอดภัย
เสี้ยววินาทีนั้นมีลูกไฟขนาดใหญ่ พุ่งขึ้นฟ้าอยู่บนสูงสุดก่อนจะพุ่งตรงดิ่งสู่เบื้องล่าง ซึ่งอเดลอยู่ในรัศมีของมันพอดี ทว่าจังหวะที่เธอพยายามหนีสุดชีวิตก็มีใครบางคน วิ่งสวนทางกับเด็กสาวไปเผชิญหน้ากับลูกไฟ ไม่กี่อึดใจต่อมาก็บังเกิดแสงสว่าววาบขึ้น จนอเดลตัดสินใจหันกลับไปมองก็เห็นเด็กหนุ่มคนหนึ่ง ซึ่งน่าจะอายุไล่เลี่ยกับเธอกำลังร่ายเวทย์ ป้องกันลูกไฟเบื้องหน้าเพื่อให้ทุกคนหนี
นี่เป็นครั้งแรกที่อเดลได้เห็นจอมเวทในระยะใกล้แบบนี้
"แม็กเครย์ !"
เสียงตะโกนดังจากด้านหลังพร้อมกับเผยเด็กหนุ่มอีกคน ที่กำลังวิ่งไปช่วยอีกคนซึ่งกำลังรับมือกับลูกไฟเบื้องหน้า แต่พออเดลเพ่งสายตาดูอีกครั้งก็พบคำตอบว่ามันไม่ใช่ลูกไฟ มันเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีเปลวไฟโอบล้อมรอบตัว สิ่งที่ขัดขวางตัวมันไว้เป็นเหมือนเกราะที่สร้างจากลม ที่ถูกปล่อยออกมาจากปลายไม้ในมือเด็กหนุ่ม
ไม่กี่อึดใจต่อมาสองเด็กหนุ่มต่างก็ช่วยกันจัดการเจ้าก้อนไฟตัวนี้ โดยใช้เวลากว่าสามสิบนาทีกว่าจะจัดการมันได้ หลังเหตุการณ์ทุกอย่างเป็นปกติแล้ว เด็กหนุ่มที่ชื่อ "แม็กเครย์" ก็เดินตรงมาทางอเดล พร้อมกับยื่นมือมาให้เธอ
"เธอบาดเจ็บตรงไหนไหม" เขาถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง
อเดลสั่นศีรษะตอบไม่รู้ทำไมถึงไม่สามารถเปร่งเสียงออกมาได้ เธอจับมือของเด็กหนุ่มเพื่อพยุงตัวลุกขึ้น เมื่อตั้งสติได้สิ่งที่อเดลนึกถึงอันดับแรกคือสองเพื่อนรัก ที่พลัดหลงกันจากเหตุการณ์หนีตาย
"เธอดูกังวลนะ เหมือนมองหาใครอยู่" เด็กหนุ่มถาม
"อืม ฉันมากับเพื่อนสองคน" อเดลบอก น้ำเสียงแสดงถึงความหวั่นวิตกชัดเจน
เด็กหนุ่มพยักหน้า "พลัดหลงกันสินะ"
"ใช่" เธอตอบ
"งั้นครั้งสุดท้ายที่เจอกันอยู่ตรงไหนล่ะ"
อเดลยังไม่ทันที่จะได้ตอบเธอก็ถูกเจ้าหน้าที่ซึ่งเป็นเพลเยอร์ นำตัวไปอยู่รวมกลุ่มกับผู้รอดชีวิตคนอื่น ๆ ระหว่างนั้นอเดลก็กวาดตามองหาเพื่อนรักทั้งสองด้วย การไม่เห็นวี่แววของมายะและกัณณรินมันทำให้อเดลใจแทบอยู่ไม่สุข ความหวาดวิตกรวมไปถึงการจินตนาการต่าง ๆ นา ๆ มากมายถาโถมเข้ามาไม่หยุด
แต่แล้วก็มีมือของใครบางคนแตะไหล่ของเด็กสาว เมื่อเธอหันไปมองเจ้าของมือข้างนั้น ก็คือเด็กหนุ่มที่ช่วยชีวิตเธอไว้ "ใจเย็น ๆ นะ เต็นท์ของผู้รอดชีวิตไม่ได้มีแค่ที่เดียว" คำพูดของเด็กหนุ่ม ช่วยให้อเดลคลายความวิตกกังวลพอสมควร แล้วทั้งสองก็พากันเดินไปรอบ ๆ เต็นท์ของผู้รอดชีวิตอยู่สี่ถึงห้านาที สายตาของอเดลก็มาหยุดลงที่คนกลุ่มหนึ่งซึ่งเธอจำได้ เป็นคณะละครของเธอเองและดูจากสีหน้าแต่ละคน ก็ล้วนดูวิตกกังวลทั้งสิ้นคาดว่าคงกำลังเป็นห่วงเธออยู่ โดยเฉพาะสองเพื่อนรักอย่างมายะกับกัณณริน
อเดลไม่รอช้าเธอเร่งฝีเท้าวิ่งตรงไปหาเพื่อนทั้งสองในทันที ทุกคนในคณะละครต่างมีสีหน้าโล่งอกอย่างมากที่อเดลปลอดภัย มายะดูจะดีใจมากกว่าใครเพื่อนเนื่องจากในจังหวะที่มีคนวิ่งชนอเดล เธอคือคนที่จับอเดลไว้และเผลอปล่อยมือโดยไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งก็เป็นหน้าที่ของอเดลกับกัณณรินที่ต้องคอยปลอบประโลมเพื่อน ขณะเดียวกันแม็กเครย์ที่ตามอเดลมาก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก พลางคิดว่าหน้าที่ของเขาคงเสร็จสิ้นแล้วจึงหมุนตัวเดินออกมา พอดีกับมีเสียงตะโกนเรียกเขาจากฝั่งซ้ายมือ
เจ้าของเสียงตะโกนเรียกก็ไม่พ้น รัสเซล เพื่อนในกลุ่มของเขา
"แม็กเครย์ นายไปอยู่ตรงไหนมาเนี่ย" รัสเซลพูด "เขาเรียกรวมพลแล้ว"
"รู้แล้วน่า กำลังไป"
เด็กหนุ่มทั้งสองพากันไปรวมกลุ่มของเขา โดยมีอเดลที่หันมามองแผ่นหลังของเด็กหนุ่มที่ช่วยชีวิตเธอเอาไว้
"แม็กเครย์งั้นเหรอ... ฉันจะจำชื่อนายไว้"
.
🧙🏻🧙🏻🧙🏻🧙🏻
.
ปัจจุบัน
อเดลเดินออกมาจากห้องแต่งตัวแล้วเดินมาสมทบกับคนอื่น ๆ ที่ยืนอยู่หลังเวที ดูเหมือนว่าจะเหลืออีกเพียงสองคิวเท่านั้นก็จะถึงตาเธอขึ้นแสดง เด็กสาวโบกมือให้กับมายะที่พึ่งจะเดินลงมาจากเวทีพร้อมนักแสดงในคณะ จากสีหน้าของมายะในตอนนี้อเดลมั่นใจว่าการแสดงในบทบาทของนางเอกครั้งแรก คงจะผ่านพ้นไปได้ด้วยดีและอเดลคิดว่ามายะเหมาะสมกับตำแหน่งนี้แล้ว เช่นเดียวกับกัณณรินที่ได้แสดงฝีมือด้านดนตรีอย่างเซลโล มายะเล่าให้อเดลฟังว่ากัณณรินสามารถสะกดคนดูได้ไม่น่าเชื่อ
แต่อเดลก็สังเกตว่ากัณณรินไม่ได้อยู่กับคนอื่น ๆ มายะรู้ใจเพื่อนดีว่ากำลังมองหาใคร
"เกรซไปเข้าห้องน้ำน่ะ เดี๋ยวก็มาดูการแสดงของเธอ" มายะบอก
อเดลมองหน้ามายะแวบหนึ่ง เธอสัมผัสได้ว่ามีบางอย่างติดอยู่ในใจของมายะ และเธอก็พอจะคาดเดาได้ไม่ยากเย็นว่าเรื่องนั้นคืออะไร
"เธอมองหา "เขา" คนนั่นอยู่ใช่ไหม มายะ"
มายะสะดุ้งเล็กน้อยแต่ก็พยายามจะเก็บอาการ "ใครบอกเธอล่ะ ฉันเปล่าสักหน่อย"
"อย่ามาปิดบังฉันให้ลำบากเลยมายะ สีหน้าของเธอมันแสดงออกหมดแล้ว"
มายะนิ่งไปสองนาทีก่อนจะยอมจำนนเพราะมายะรู้ดีว่า ไม่สามารถปิดบังเพื่อนคนนี้ได้จริง ๆ และขณะเดียวกันตัวอเดลเอง ก็ไม่สามารถปิดบังมายะได้เช่นกัน จึงโดนถามกลับว่าอเดลเองก็อยากให้แม็กเครย์มาดูงานแสดงของตัวเองเหมือนกัน พอโดนกับตัวเองบ้างใบหูของอเดลกลายเป็นสีชมพูจาง ๆ และทำทีเป็นว่ากำลังทบทวนบทเพลงที่เธอต้องออกไปแสดง ซึ่งลูกไม้แบบนี้มายะรู้ทันอเดลดีว่ามันเป็นการกลบเกลื่อนความเขินอายของตัวเอง
"อเดล เธอได้ข่าวของแม็กเครย์มาบ้างไหม" มายะถาม
"ไม่เลย" อเดลตอบและพ่นลมหายใจออกจากปากเล็กน้อย "ข้อความล่าสุดที่อีตานั่นส่งมา ก็ประมาณชาติหนึ่งได้แล้วมั่ง"
"เอาน่าอเดล อย่างน้อยพี่ชายของเธอก็มาในวันนี้นะ" มายะบอก "ฉันเห็นเขานั่งชิดขอบเวทีเลย"
อเดลแสดงสีหน้าเบื่อหน่ายแบบชัดเจนมาก
"พี่ชายฉันขาประจำอยู่แล้วนี่"
ไม่นานหัวหน้าคณะละครก็เดินมาให้สัญญาณกับอเดลว่าใกล้ถึงเวลาแล้ว ที่เธอจะต้องไปทำการขึ้นแสดงให้รีบเตรียมตัวได้เลย อเดลจึงแยกกับมายะและเดินมาอยู่ใกล้เวที ซึ่งเพียงแค่สี่นาทีเท่านั้นในที่สุดการแสดงของเพื่อนในคณะทั้งห้าคนก็เสร็จสิ้น พร้อมกับเสียงปรบมือของผู้ชมมากมายเบื้องหน้า หัวหน้าคณะละครก็เดินมาอยู่กลางเวทีเพื่อทำหน้าที่ในฐานะพิธีกร โดยเจ้าตัวกล่าวอยู่ไม่กี่ประโยคก่อนจะผายมือไปทางอเดล คล้ายเป็นสัญญาณให้เธอเดินออกมายืนบนเวที
เสียงปรบมือดังสนั่นซึ่งพออเดลหันมาเผชิญหน้ากับผู้ชม เธอก็เห็นกลุ่มแฟนคลับตรงด้านหลังสุดที่มีการชูป้ายข้อความติดไฟ มันเป็นชื่อของเธอและมีรูปหัวใจอยู่ท้ายชื่อ อเดลโบกมือให้กับแฟนคลับกลุ่มนั้นโดยไม่สนใจว่า กาเบรียลจะมีสีหน้าไม่พอใจมากน้อยแค่ไหน หลังจากโบกมือทักทายเหล่าแฟนคลับแล้ว เด็กสาวก็หันมาทางนักดนตรีและทำสัญญาณเพื่อเริ่มการแสดงได้ นาทีต่อมาเสียงดนตรีก็เริ่มทำการบรรเลงขึ้น สายตาของผู้ชมการแสดงจับจ้องมาที่อเดล
และเธอก็เริ่มขับร้องบทเพลง
.
คืนนี้อีกแล้วสินะ ที่ต้องถูกบีบให้หัวเราะ กับการฝืนยิ้ม
เหนื่อยเหมือนเก่า กับที่ ๆ โดดเดี่ยวอ้างว้าง
กำแพงของความไม่จริงใจ กลอกตาไปมาและความว่างเปล่า
แต่มันหายไปหมด เมื่อฉันเห็นหน้าเธอ
.
ที่ฉันพูดได้ทั้งหมดคือ ฉันดีใจมากที่ได้เจอเธอ
.
ดวงตาของเธอกระซิบว่า "เราเคยเจอกันมาก่อนไหม"
เงาของเธอจากอีกฟากของห้อง
ค่อย ๆ เลื่อนเข้ามาหาฉัน
บทสนทนาที่ดูขี้เล่นก็เริ่มขึ้น
ฉันตอบคำถามเธอทุกคำถามอย่างรวดเร็ว
เหมือนกับการส่งโน้ตลับ ๆ
.
และมันน่ายินดีจริง ๆ ที่ได้พบเธอ
ฉันพูดได้คำเดียวเลยว่าฉันหลงเสน่ห์เธอซะแล้ว
.
คืนนี้ดวงดาวระยิบระยับมากมาย อย่าปล่อยให้มันผ่านไปเลย
ฉันชอบเธอแล้วสิเนี่ย หน้าแดงตลอดทางกลับบ้าน
ฉันใช้เวลาตลอดชีวิตสงสัยว่าเธอรู้หรือยัง
ฉันปลื้มจริง ๆ ที่ได้เจอเธอ
.
คำถามอันยืดยาวนี่มันทำฉันหลับไม่ได้ ตีสองแล้วนะ คือว่าเธอรักใครอยู่
ฉันสงสัยจนกระทั่งฉันตาสว่าง
ตอนนี้ฉันเดินวนไปวนมา หวังให้เธอมาอยู่ที่ประตูบ้านนั่น
ฉันจะเปิดมัน แล้วเธอจะพูดว่า
.
น่าดีใจจริง ๆ ที่ได้พบเธอ
ทั้งหมดที่ฉันรู้คือ ฉันหลงเสน่ห์ที่ได้พบเธอ
.
คืนนี้ดวงดาวยิบระยับมากมาย อย่าปล่อยให้มันผ่านไปเลย
ฉันชอบเธอแล้วสิเนี่ย หน้าแดงตลอดทางกลับบ้าน
ฉันใช้เวลาตลอดชีวิตสงสัยว่าเธอรู้หรือยัง
.
ค่ำคืนนี้มันช่างไร้ที่ติ อย่าปล่อยมันผ่านไปเลย
ฉันชอบเธอเข้าแล้วสิ เต้นไปรอบ ๆ อยู่คนเดียว
ฉันจะใช้เวลาทั้งหมดสงสัยว่าเธอรู้หรือยัง
ฉันหลงเสน่ห์เธอเข้าแล้ว
.
นี่คือฉันที่กำลังภาวนา
นี่มันเพิ่งแค่หน้าแรก ๆ อยู่เลย ไม่ใช่ที่ที่เรื่องมันควรจะจบ
ในหัวของฉันมันมีแต่ชื่อของเธอกึกก้องกระทั่งฉันได้เจอเธอ
คำเหล่านี้ ฉันเอามันกลับมา เพราะมันยังเร็วเกินไปที่ฉันจะหนี
.
ฉันหลงเสน่ห์เธอเข้าแล้ว
ได้โปรดอย่าเพิ่งไปรักใครคนอื่นเลย
ขออย่าให้มีใครรอเธออยู่เลย
.
คืนนี้ดวงดาวยิบระยับมากมาย อย่าปล่อยให้มันผ่านไปเลย
ฉันชอบเธอแล้วสิเนี่ย หน้าแดงตลอดทางกลับบ้าน
ฉันใช้เวลาตลอดชีวิตสงสัยว่าเธอรู้หรือยัง
.
ค่ำคืนนี้มันช่างไร้ที่ติ อย่าปล่อยมันผ่านไปเลย
ฉันชอบเธอเข้าแล้วสิ เต้นไปรอบ ๆ อยู่คนเดียว
ฉันจะใช้เวลาทั้งหมดสงสัยว่าเธอรู้หรือยัง
ฉันหลงเสน่ห์เธอเข้าแล้ว
.
สิ้นเสียงการขับร้องลงและความเงียบก็เข้าปกคลุมอยู่ชั่วขณะ ก่อนที่เสียงปรบมือจะดังก้องกังวานทั้งห้องการแสดง บรรดาผู้ชมมากมายต่างลุกจากเก้าอี้และปรบมือให้กับการแสดงของเธอ อเดลโค้งคำนับตอบรับเสียงปรบมือเหล่านั้น ทันใดนั้นเองมีเจ้าหน้าที่ดูแลคนหนึ่งเดินขึ้นมาบนเวที มีช่อดอกไม้อยู่ในมือและส่งมันให้กับอเดล ซึ่งในชั่ววูบหนึ่งเด็กสาวคิดว่าช่อดอกไม้นี้คงมาจากกาเบรียล แต่พอเธอสบตากับพี่ชายก็พบว่าแววตากับสีหน้าท่าทางบ่งบอกถึงความตกใจ และพยายามข่มความโกรธไว้ให้มากที่สุด
อเดลรู้ในทันทีว่าช่อดอกไม้นี้ไม่ใช่ของกาเบรียล แต่แล้วสายตาของเด็กสาวก็เห็นกระดาษข้อความที่อยู่ในช่อดอกไม้ ลายมือบนกระดาษอเดลรู้ดีว่ามันเป็นลายมือของใคร โดยข้อความในกระดาษเขียนไว้แค่ว่า
.
"ยินดีด้วยกับการแสดงในครั้งนี้"
ปล.ฉันอยู่แถวหลังจากพี่ชายเธอสามแถว
.
เด็กสาวมองเลยผ่านแถวแรกจนถึงแถวที่สาม สายตาของอเดลมาสะดุดตรงเด็กหนุ่มคนหนึ่ง ซึ่งสวมชุดเหมือนทหารกำลังปรบมือให้กับเธอเช่นเดียวกับผู้ชมคนอื่น ๆ อเดลโบกมือให้กับแม็กเครย์และส่งยิ้มให้ มันทำให้กาเบรียลมีสีหน้าที่ทั้งฉงนใจและเดือดดาล พร้อมกับลุกขึ้นยืนเพื่อมองหาว่าน้องสาวกำลังส่งยิ้มให้ใคร ด้วยสีหน้ากอปรกับท่าทางที่แผ่จิตสังหารออกมา ทำเอาคนที่อยู่บริเวณนั้นรวมทั้งอเดลตกใจไม่น้อยเลยทีเดียว โชคดีที่บังเอิญว่าวันนี้กาเบรียลไม่ได้มาคนเดียว สถานการณ์จึงคลี่คลายลงอย่างรวดเร็ว
อเดลโล่งอกและคิดถูกที่ส่งตั๋วชมการแสดงให้กับ วิลโอนา คู่หมั้นของกาเบรียล ไม่อย่างนั้นคงได้วุ่นวายกว่านี้แน่นอน หลังเหตุการณ์ทุกอย่างสงบเธอก็หันกลับมาทางแม็กเครย์อีกครั้ง ทว่าบัดนี้เก้าอี้ได้ว่างเปล่าไม่มีคนนั่งอยู่เสียแล้ว อเดลพยายามมองหาว่าเด็กหนุ่มลุกออกไปตอนไหน และในเสี้ยววินาทีนั้นเองที่มีเสียงกระซิบผ่านเข้ามาในหูของเด็กสาว เพราะคุ้นเคยกับเจ้าของเสียงนี้ดีมันจึงทำให้อเดลยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว
"แล้วเจอกันนะ อเดล"
.
จบบริบูรณ์
.
🧙🏻🧙🏻🧙🏻🧙🏻
โฆษณา