5 ต.ค. เวลา 05:45 • หุ้น & เศรษฐกิจ

โอ้กะจู๋ เข้าเทรดวันแรก ราคาเปิดตลาดการซื้อขายพุ่งไปที่ 10.90 บาท

โอ้กะจู๋ เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์วันแรก ราคาเปิดตลาดการซื้อขายพุ่งไปที่ 10.90 บาท เพิ่มขึ้น 4.20 บาท หรือคิดเป็น +62.69% จากราคา IPO 6.70 บาท
บมจ. ปลูกผักเพราะรักแม่ เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย 4 ต.ค. นี้ ด้วยมูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO 4,080.30 ล้านบาท โดยใช้ชื่อย่อ OKJ จ่ายเงินปันผลไม่น้อยกว่า 40% ของกำไรสุทธิ
นายอำนวย จิรมหาโภคา ผู้ช่วยผู้จัดการ หัวหน้ากลุ่มงานผู้ออกหลักทรัพย์ 1 ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ ยินดีต้อนรับ บมจ. ปลูกผักเพราะรักแม่ เข้าจดทะเบียนและเริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในกลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร หมวดอาหารและเครื่องดื่ม
โอ้กะจู๋ เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ วันแรกราคา เปิดตลาดการซื้อขายพุ่งไปที่ 10.90 บาท
โดยใช้ชื่อย่อในการซื้อขายหลักทรัพย์ว่า “OKJ” ในวันที่ 4 ตุลาคม 2567
บริษัทมีธุรกิจหลักคือธุรกิจบริการและจำหน่ายอาหารภายใต้แบรนด์ “โอ้กะจู๋” ธุรกิจอาหารจานด่วนภายใต้แบรนด์ “Ohkajhu Wrap & Roll” และ ธุรกิจร้านน้ำผักผลไม้เพื่อสุขภาพ ภายใต้แบรนด์ “Oh! Juice”
OKJ มีทุนชำระแล้วหลังการเสนอขาย IPO 304.50 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท บริษัทเสนอขายหุ้น IPO จำนวนรวม 159 ล้านหุ้น โดยได้เสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรกระหว่างวันที่ 23 – 25 กันยายน 2567 ที่ผ่านมา ในราคาหุ้นละ 6.70 บาท คิดเป็นมูลค่าระดมทุนรวม 1,065.30 ล้านบาท และมีมูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO เท่ากับ 4,080.30 ล้านบาท
ทั้งนี้ ราคาเสนอขายหุ้น IPO คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E ratio) เท่ากับ 24.13 เท่า พิจารณาจากกำไรสุทธิในช่วง 12 เดือนย้อนหลังซึ่งมีกำไรสุทธิเท่ากับ 169.08 ล้านบาท หารด้วยจำนวนหุ้นสามัญหลังเสนอขายซึ่งเท่ากับ 609 ล้านหุ้น คิดเป็นกำไรสุทธิต่อหุ้น (Fully Diluted EPS) เท่ากับ 0.28 บาท โดยมี บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่ายหุ้นสามัญ
โอ้กะจู๋ เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ วันแรกราคา เปิดตลาดการซื้อขายพุ่งไปที่ 10.90 บาท
นายชลากร เอกชัยพัฒนกุล ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. ปลูกผักเพราะรักแม่ (OKJ) เปิดเผยว่า บริษัทมุ่งมั่นสร้างการเติบโตในฐานะ “King of Organic Salad” ในประเทศไทย ซึ่งการระดมทุนและเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยครั้งนี้ นับเป็นก้าวสำคัญที่ช่วยเสริมความแข็งแกร่งทางด้านเงินทุนของบริษัท และช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันเพื่อรองรับโอกาสการเติบโตทางธุรกิจในอนาคตอย่างยั่งยืนต่อไป
โดย OKJ มีผู้ถือหุ้นหลักภายหลัง IPO ได้แก่ กลุ่มผู้ก่อตั้งคือ
1) กลุ่มครอบครัวเอกชัยพัฒนกุล ร้อยละ 34.3
2) นายจิรายุทธ ภูวพูนผล ร้อยละ 16.6
3) ครอบครัวสุชัยบุญศิริ ร้อยละ 8.3 รวมร้อยละ 59.1
และ บริษัท มอดูลัส เวนเจอร์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ บมจ. ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก (OR) ร้อยละ 14.8 ทั้งนี้ ณ วันแรกที่หุ้น OKJ เริ่มทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ บริษัท มอดูลัส เวนเจอร์ จำกัด จะซื้อหุ้นจากกลุ่มผู้ก่อตั้ง 3 ท่าน ได้แก่ นายชลากร เอกชัยพัฒนกุล นายจิรายุทธ ภูวพูนผล และ นายวรเดช สุชัยบุญศิริ บนกระดานรายใหญ่ (Big Lot Board) จำนวนรวม 31.8 ล้านหุ้น
หรือร้อยละ 5.2 เพื่อให้กลุ่ม OR รักษาสัดส่วนการถือหุ้นที่ร้อยละ 20 ภายหลังการ IPO โดยภายหลังการเสนอขายหุ้น IPO และการซื้อขายหุ้น Big Lot ดังกล่าว กลุ่มผู้ก่อตั้งจะถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 53.9
ทั้งนี้ OKJ มีนโยบายจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นไม่น้อยกว่าร้อยละ 40 ของกำไรสุทธิจากงบการเงินเฉพาะกิจการของบริษัทฯ ภายหลังจากหักภาษีเงินได้นิติบุคคลและการจัดสรรทุนสำรองต่างๆ ทุกประเภทตามที่ได้กำหนดไว้ในกฎหมายและข้อบังคับของบริษัทฯ การจ่ายเงินปันผลอาจน้อยกว่าอัตราข้างต้น โดยคำนึงถึงปัจจัยและความเหมาะสมอื่น ๆ
นายชลากร เปิดเผยว่า OKJ พร้อมเดินหน้าขยายธุรกิจภายใต้กลยุทธ์ในการพัฒนาธุรกิจและสร้างแบรนด์ใหม่ ๆ เพิ่มเติมรวมถึงการศึกษาและคิดค้นผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ เพื่อสร้าง New S-Curve โดยตั้งเป้าแผนการดำเนินงานในระยะ 5 ปี (2567-2571) ในการขยายสาขาใหม่ทั้ง 3 แบรนด์
แบ่งเป็น วางแผนจะขยายสาขาแบรนด์ "โอ้กะจู๋" เป็น 67 สาขาจากปัจจุบันที่มีร้านอาหารที่ให้บริการเต็มรูปแบบ (Full-service Restaurant) และร้านอาหารในรูปแบบ Deliver & Kiosk รวมทั้งสิ้น 37 สาขา, ขยายสาขาแบรนด์ "Ohkaihu Wrap & Roll" ให้ครบ 20 สาขา จากปัจจุบัน มีทั้งสิ้น 1 สาขา และขยายสาขาแบรนด์ "Oh Juice" ให้ครบ 70 สาขา จากปัจจุบันมีทั้งสิ้น 8 สาขา ส่งผลให้มีสาขารวมทั้งสิ้น 157 สาขาภายในปี 2571 เพื่อให้ครอบคลุมพื้นที่กรุงเทพฯ ปริมณฑล และเมืองท่องเที่ยวสำคัญ รวมทั้ง หัวเมืองหลักในภูมิภาคต่าง ๆ
นอกจากนี้ ให้ความสำคัญในการวิจัยและพัฒนากระบวนการเพาะปลูกเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพผลผลิต โดยได้ศึกษาและพัฒนาวิธีการเพาะปลูกให้เป็นเกษตรอินทรีย์เชิงอุตสาหกรรมเพื่อเพิ่มผลผลิตให้ได้ปริมาณที่เพียงพอต่อความต้องการของลูกค้าในพื้นที่เพาะปลูกเท่าเดิม โดยจะใช้เงินระดมทุนมาลงทุนในระบบและอุปกรณ์ที่ได้ศึกษาและออกแบบไว้ ซึ่งคาดว่าจะสามารถเพิ่มปริมาณผลผลิตได้อีกประมาณ 300% จากปริมาณผลผลิตที่ได้ในปัจจุบัน
รวมถึงได้เตรียมพัฒนาเครื่องจักรและอุปกรณ์เพื่อเพิ่มผลผลิต และเพิ่มประสิทธิภาพ โดยมีแผนในการสร้างครัวกลางกรุงเทพฯ แห่งใหม่ ในโซนรังสิตจ.ปทุมธานี คาดว่าจะเริ่มดำเนินการเต็มรูปแบบได้ภายในไตรมาส 3/2568 เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตและเพิ่มสายการผลิตสินค้าใหม่ ๆ รวมถึงแผนพัฒนาเครื่องจักร อุปกรณ์ ห้องล้างผัก และเทคโนโลยีต่าง ๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและรองรับการเติบโตในอนาคต
อย่างไรก็ตาม ราคาในการซื้อขายเมื่อเวลา 11.00 น. อยู่ที่ 11.30 บาทต่อหุ้น เพิ่มขึ้น 4.60 บาท หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้น 68.66%
อ่านเนื้อหาต้นฉบับได้ที่ : https://www.pptvhd36.com/wealth/stock-investment/233977
ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมที่เว็บไซต์ https://www.pptvhd36.com
และช่องทาง Social Media
โฆษณา