4 ต.ค. เวลา 09:05 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์

REVIEW THE SUBSTANCE (2024) : ความสวยสะอิดสะเอียน และเสียงเพรียกร้องของความไร้ตัวตน

กว่า 13 นาทีของเสียงปรบมือที่กึกก้องและชัยชนะแห่งรางวัลบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ณ เมืองคานส์ของ The Substance ก็ดูจะเป็นอะไรที่ไม่เกินเลยนัก หากจะพูดถึงความยอดเยี่ยมและโลดโผนของภาพยนตร์เรื่องนี้จากฝีมือการสรรค์สร้างของ Coralie Fargeat
The Substance มีจุดเด่นอย่างมากในการพกพาภาษาภาพยนตร์มาอย่างเต็มเปี่ยม เฉกเช่นในแง่ของงานภาพที่แข็งแรงอย่างมาก เรียกได้ว่าผู้สร้างมีความปราณีตแบบช็อตต่อช็อต ในสิ่งที่ต้องการจะสื่อความ ซุกซ่อนสอดแทรกนัยยะที่เสียดสี เปรียบเทียบ เย้ยหยันไว้เยอะแยะ
ถึงขนาดที่ว่าต่อให้เราปิดเสียงภาพยนตร์ทั้งเรื่องก็ยังสามารถที่จะรับสารที่ผู้สร้างตั้งใจจะสื่อได้อย่างครบถ้วน จนสามารถเทียบเคียงได้กับ Parasite (2019) ในแง่ที่มันสามารถหยิบจับประเด็นหนักๆ มาเล่าผ่านภาษาภาพยนตร์ได้อย่างเข้าใจง่าย โดยที่ถึงแม้จะไม่เข้าใจนัยยะที่ซ่อนเร้นอยู่ในหลายๆ จุดก็ตาม
ความเจนจัดในด้านภาพหรือในแง่หนึ่งก็ดูเป็นสไตล์โดดเด่นที่ผู้สร้างเลือกจะหยิบยกมาใช้เกือบตลอดทั้งเรื่องก็คือการใช้ช็อตแบบใกล้มาก ซึ่งมีผลในลู่ทางที่มันนำพาคนดูไปอยู่ในจุดที่ “ใกล้มากเกิน” กว่าปกติ จนปลดเปลือยอารมณ์ของคนดูออกมาอย่างหมดจด
ซึ่งในสภาวะที่คนดูถูกบังคับจองจำ มันก็ทำหน้าที่ในการถ่ายทอด Sex Appeals ที่เสิร์ฟรับมาตรฐานความงามออกมาได้อย่างชวนฝัน แต่ในอีกทาง มันก็เป็นเครื่องมือเดียวกันที่ถูกใช้ในการขับเน้นอารมณ์ของความโรยรา ไปจนถึงความสะอิดสะเอียน สั่นคลอนหลอนประสาทจนอยากเบือนหน้าเช่นกัน ผสมผสานกับความเฉียบคมในการใช้ซุ้มเสียงของอากัปกิริยาที่ละเอียดบาดหู ชั้นเชิงในการเล่นไดนามิคของความดังเบา ก็ยิ่งมัดตึงคนดูจนแน่นเฮือกจนแทบจะหายใจไม่ออกเลยทีเดียว
และด้วยความแข็งแรงของทักษะการเล่าเรื่อง สิ่งนี้จึงเป็นดั่งแรงขับส่งให้ The Substance มีฉากเปิดเรื่องที่เรียกได้ว่าน่าจะยอดเยี่ยมติดอันดับต้นๆ ของภาพยนตร์ในศตวรรษนี้เลย เพราะมันสามารถขมวดสรุปชีวิตตลอดทั้งวงการของตัวละคร Elisabeth ออกมาได้อย่างชาญฉลาดภายในเวลาไม่กี่นาที
ซึ่งหากเคลื่อนผ่านมาอีกสักหน่อยจนถึงช่วงที่ตัวเธอนั้นจำต้องแอบเข้าไปในห้องน้ำชาย มุมกล้องระยะไกลที่ตอนแรกดูเหมือนจะถูกตั้งไว้เพื่อแนะนำสถานที่ กลับแปรเปลี่ยนเป็นระยะใกล้มากจดจ่อเข้าที่ปากของตัวละคร Harvey เสียอย่างนั้นนั้น ก็ทำให้เรารับรู้ได้ทันทีเลยว่าภาพยนตร์เรื่องนี้จะถึงลูกถึงคนแค่ไหน
เอาเข้าจริงธีมของเรื่องนั้น นอกจากมันจะพูดถึงเรื่องการไม่ยอมรับร่างกายที่เสื่อมชราของตัว Elisabeth ซึ่งก็มีต้นสายปลายเหตุมาจากการที่ตัวเธอจำต้องใช้ความสวยเพอร์เฟกต์ของร่างกายเป็นลู่ทางของสายอาชีพ
ซึ่งหากจะมองให้ลึกลงไป มันก็คือการที่เธอจำต้องจำนนต่อระบอบชายเป็นใหญ่ ซึ่งเราน่าจะสังเกตเห็นได้อย่างเด่นชัดผ่านตัวละคร Harvey และบอร์ดบริหารที่มีแต่เหล่าผู้ชายสูงวัย (ซึ่งก็ไม่เคยถูกทักท้วงถึงความแก่) แต่ถึงอย่างนั้นผู้สร้างก็ยังซุกซ่อนการจิกกัดอย่างเบาๆ ด้วยการทำให้ตัวละครผู้ชายทั้งเรื่องดูหื่นกามไร้สมอง คิดเป็นแต่เรื่องผู้หญิงและเงินเพียงเท่านั้น
แต่ก็นั้นแหละ ด้วยกราฟที่พุ่งขึ้นอย่างไม่ทันตั้งหลักในช่วงท้ายเรื่องนั้น ก็เป็นเหตุที่ทำให้รู้สึกว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอาจจะดูเลยเถิดไปอยู่หลายเท่าตัว แต่ถึงอย่างนั้น เราก็ยังสังเกตเห็นถึงสิ่งที่ผู้สร้างพยายามจะนำเสนออยู่ ซึ่งหากพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว มันก็ช่วยทำให้สถานการณ์ที่ดูเตลิดเปิดเปิง วกเวียนกลับเข้ามาอยู่ในฐานของความเข้าใจได้
Elisabeth จึงเป็นดังภาพแทนของหญิงสาวที่ถูกหล่อหลอมในสังคมที่ป่วยไข้ ที่ที่ความสามารถภายในไม่อาจเอาชนะผิวพรรณที่เต่งตึง ประสบการณ์ที่เพรียบพร้อมกลับถูกปลดระวางเพราะความสะสวยที่ลดลง เสียงเพรียกร้องที่เธอพร่ำตะโกนบอกว่าเธอยังมีตัวตนในวันที่เธอไร้ตัวตนไปแล้วจึงแหบแห้งโรยรา
ซึ่งการพยายามมองหาความเพอร์เฟกต์ในสัดส่วนของร่างกายหรือการจับจ้องไปที่ภายนอกมากเกินจนสุ่มเสี่ยงที่จะหลงลืมตัวตน ก็ยังคงเป็นปัญหาทางจิตใจที่ยังคงเกิดขึ้นกับใครหลายๆ คนอยู่เช่นกัน The Substance จึงย้ำชัดว่าทำไมการผูกขาดคุณค่าตัวเองไว้กับร่างกายที่รอวันเสื่อมถอยถึงเป็นเรื่องที่น่ากลัว เพราะอันที่จริงแล้ว ทุกคนสามารถมีคุณค่าในตัวเองได้จากภายใน และคุณค่าในรูปแบบนี้ต่างหากที่จะอยู่ค้ำฟ้ามากกว่าดาวที่ประดับ Walk of Fame
โฆษณา