7 ต.ค. เวลา 12:30 • การ์ตูน

EP : 1,283 ยามาบิโกะ no. 13

ในลิสรายชื่อนักเขียนชื่อดังในอดีต ชื่อของ อ. เลย์จิ มัตสิโมโต้ คือหนึ่งในนักวาดมังงะชื่อดังที่ผมอ่านงานของ อ. เขาน้อยมาก ไม่ใช่เพราะความดัง แต่เป็นเพราะความหายากของการหามาอ่านซะมากกว่า เพราะจากความทรงจำของผมเอง แม้ในยุคสมัยไพเรทเฟื่องฟูในอดีต ก็ไม่ค่อยจะมีสนพ ไหนหยิบงานของ อ. มาขายซักเท่าไหร่ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าแปลกใจไม่น้อย เพราะในด้านชื่อเสียงแล้ว อ. ถือเป็นอีกหนึ่งนักเขียนชื่อดังที่มีสไตล์การวาดและนำเสนอที่มีเอกลักษณ์ชัดเจนอย่างมากในยุคอดีตจนถึงปัจจุบันครับ
แม้ว่าผลงานที่โด่งดังในวงกว้างที่สุดเรื่องนึงของ อ. อย่างเรื่อง Galaxy Express 999 ได้ถูกตีพิมพ์แบบ LC ในประเทศเราแบบครบถ้วนแล้วก็ตาม แต่ในภาพรวม ณ ปัจจุบัน เราก็ยังหางานของ อ. ทั้งแบบไพเรทและLC มาอ่านได้ยากอยู่เหมือนเดิมครับ
ซึ่งจุดนี้มองอีกมุมนึงผมก็เข้าใจคนที่จะหยิบงานของ อ. มานำเสนอนะ เพราะแม้ในมุมนึง งานของ อ. จะโด่งดังมีเอกลักษณ์น่าอ่าน แต่ในตลาดนักอ่านปัจจุบัน งานแนววิทยาศาสตร์ที่ถ่ายทอดด้วยความเหงาและความรักเป็นตัวนำดั่งบทกลอนของ อ. อาจไม่ตอบโจทย์นักอ่านวงกว้างมากนัก นั่นคือความเสี่ยงที่ผมไม่แปลกใจที่ ณ ปัจจุบันในบ้านเราหางานของ อ. อ่านได้ยากไม่น้อยครับ
เพราะแบบนั้น เมื่อมีใครหยิบงานของ อ. มานำเสนอ มันจึงมีเหตุผลที่มากพอที่จะหาเรื่องนั้นมาอ่านครับ นั่นเลยเป็นที่มาของการรีวิวมังงะเล่มนี้ กับผลงานแนวเรื่องสั้น 6 เรื่อง ที่ถูกเขียนเอาไว้ระหว่างปี 1969-2005 เล่มนี้ กับผลงานอันหลากหลายที่นำเสนอมุมมองจากอดีตที่เชื่อมต่อถึงอนาคตของมนุษย์เราใน “ยามาบิโกะ no.13”
ด้วย ยามาบิโกะ no.13 เป็นมังงะเรื่องสั้นทั้งหมด 6 เรื่องตามที่แจ้งไว้ ผมเลยขอรีวิวแยกเป็นเรื่องๆไป เพื่อให้ทุกคนได้เข้าใจว่าแต่ละเรื่องพูดถึงอะไรกันบ้างนะครับ เรามาเริ่มต้นด้วยเรื่องแรกเรื่องนี้ครับ
1.รถไฟสายทางช้างเผือก (1971)
.. ชิมะ พนักงานเสริฟสาวในร้านราเม็ง สังเกตเห็นเด็กหนุ่มคนนึงที่นานๆจะเข้ามาทานราเม็งร้านที่เธอทำงานอยู่ที ด้วยรูปร่างที่ผมบางและท่าทางที่หมดแรงเหมือนคนป่วย ทำให้เธออดไม่ได้ที่จะคอยสังเกตเขาในวันที่เขาเข้ามาทานราเม็ง
จนวันนึงเธออดใจที่จะพูดคุยกับเขาไม่ไหว อยากจะรู้ว่าเขาคือใครและทำไมถึงมีท่าทางอันอ่อนแรงนี้อยู่เสมอ และนั่นคือจุดเริ่มต้นของเธอที่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับชายผู้มีอดีตและใครบางคนที่เขาไม่สามารถอยู่เคียงข้างเธอได้อย่างใจปราถนา
ในแง่ภาพลักษณ์ก่อน เรื่องนี้มีหลายๆส่วน หลายๆอย่างที่ทำให้นึกถึงเรื่อง Galaxy Express 999 แน่นอนนี่ไม่ใช่เรื่องนั้น และนั่นก็ไม่ใช่เรื่องนี้ แม้จะมีบรรยากาศอะไรหลายๆอย่างที่คล้ายกันจนผมนึกถึง แต่สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนว่ามีความใกล้กันมากคืออารมณ์ของเรื่อง การนำเสนอเรื่องราวของคนที่อยู่ห่างไกล ความรักที่ไม่อาจบรรจบกัน ในรูปแบบของการเดินทางผ่านรถไฟปริศนาครับ
เรื่องนี้มีบรรยากาศและการเล่าเรื่องแนวบทกลอนและละครมาก ด้วยการนำเสนอชีวิตของชายผู้หนึ่งที่เฝ้าวนเวียนในการทำบางอย่างในช่วงเวลาหนึ่ง เพื่อที่จะพบใครสักคนที่เขาคิดถึง
เนื้อหาแบบนี้อ่านแล้วเข้าใจไม่ยากครับ แต่อย่างที่บอกว่าจุดเด่นคือการเล่าเรื่องเชิงอารมณ์ที่ชวนคล้อยตามไปกับเรื่องราวความเศร้าของความไม่อาจสมหวังในความรักได้
เอาจริงๆ ว่าเรื่องนี้ทำได้ดีในการเล่าเรื่อง อย่างน้อยก็ทำให้ผมคล้อยตามและเศร้าไปกับเรื่องราวที่อ่านไปไม่กี่หน้าได้ แต่ในขณะนึงหากคนที่ไม่อินคงจะเบื่อกับสไตล์การเล่าเรื่องอย่างนี้น่าดูครับ
แม้ท้ายที่สุดเรื่องนี้ไม่ได้ต้องการนำเสนอให้เศร้าลึกสุดใจโดยไม่มีทางออก แต่เนื้อหาและใจความรวมถึงการเล่าเรื่องที่เต็มไปด้วยอารมณ์ห้วงลึกความคิดถึงและอาทรคือจุดเด่นของเรื่องนี้ และชวนให้คนที่ชอบงานแบบนี้ รู้สึกถึงการเริ่มต้นที่คิดถึงในงานของ อ. ได้เป็นอย่างดีครับ
2. นีแอนเดอร์ทาล (1969)
...เรย์ ฮายามะ คู่หมั้นสาวของเขา ฮาชิ วาตารุ กำลังอยู่ในช่วงเวลาโคม่า หลังเครื่องบินที่เธอขับเกิดอุบัติเหตุที่ไม่คาดฝัน แม้จะโชคดีที่เธอได้รับการรักษาให้รอดชีวิตได้ แต่นั่นกลับทำให้ ฮาชิ ได้พบเหตุการณ์ประหลาดที่อยู่รอบตัว เรย์ คู่หมั้นของเธอ กับเรื่องราวที่เขาไม่อยากจะเชื่อว่ามันจะเกี่ยวข้องกับเขาและเธอ รวมถึงมนุษยชาติแบบนี้
ด้วยเนื้อหาที่มีความเป็นวิทยาศาสตร์สูงมากๆ เรื่องนี้ อาจจะมีปัญหากับการเล่าทุกอย่างในจำนวนหน้าที่ไม่ได้เยอะมาก นั่นคือความเห็นของผมนะ แต่ผมอ่านแล้วเข้าใจกับสิ่งที่เรื่องราวกำลังเสนอ ซึ่งน่าสนใจมากๆ
และเพราะเรื่องนี้เขียนตั้งแต่ปี 1969 ทำให้ลายเส้นอาจดูไม่โดดเด่นมากนักเมื่อเทียบกับงานช่วงหลังที่ลายเส้นต่างๆหาจุดลงตัวได้แล้ว นั่นส่งผลให้คนอ่านอาจจะแยกรายละเอียดไม่ออกก็ได้ครับ
ดีที่ผมเคยอ่านและรีวิวงานของ อ. อย่างเรื่อง SEXAROID มาก่อนการอ่านเรื่องนี้เลยไม่เป็นปัญหา เพราะหากมองในแง่ทั้งลายเส้นและการนำเสนอ 2 เรื่องนี้มีส่วนที่คล้ายกันมากๆ รวมถึงเหล่าตัวเอกด้วยเช่นกันครับ เรื่องนี้จึงเ.ป็นอีกเรื่องที่ทำให้เห็นถึงช่วงเริ่มต้นงานของ อ. ที่เต็มไปทั้งไอเดียแปลกใหม่และโลกของผู้หญิงที่ทรงอำนาจมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัดครับ
3. นางพญามหาแม่มดที่ 3 (1974)
... ทั้งจน หมดสิ้นหนทาง งานการมีก็ไม่ทำ ทำให้ต้องอาศัยอยู่ในที่พักเก่าๆ แบบนี้ ทั้งที่ชะตาชีวิตเห็นๆกันอยู่ว่าจะเป็นแบบไหน ไหงวันนี้ในห้องของเขากลับมีหญิงสาวหน้าตาน่ารักกับร่างกายที่เปลือยเปล่าอยู่แบบนี้ก็ไม่รู้ ที่สำคัญเธอแสดงความต้องการในตัวเขาอย่างชัดเจน และนี่คือจุดเริ่มต้นของเรื่องราวที่ไม่ควรเกิดขึ้นกับเขาและโลกใบนี้
ตั้งแต่ไหนแต่ไร งานของ อ. มักจะนำเสนอผู้ชายในบทบาทที่ต่ำต้อย ดูไม่ได้ ไม่มีความเป็นผู้นำอยู่เสมอ เรื่องนี้ก็เช่นกัน กับตัวละครที่มีลักษณะอันคุ้นตาของ อ. กับเรื่องราวที่ชวนสนุก เหมือนหยิบตำนานอะไรบางอย่างมานำเสนอในรูปแบบวิทยาศาสตร์ครับ เป็นอีกเรื่องนึงที่ให้อารมณ์สนุกทั้งเนื้อหาและตอนจบในรูปแบบนี้ครับ
4.อภิมหาซารุมะตาเกะ (1977)
.... หากมี “ซารุมะตาเกะ” โผล่ขึ้นมาในประเทศของเราแม้เพียงดอกเดียว จะถือว่าญี่ปุ่นกระทำการอันเป็นปฎิปักษ์ รุกล้ำอธิปไตย เราจะตอบโต้ด้วยนิวเคลียร์!!!
นี่คือคำประกาศอย่างเป็นทางการอันเด็ดขาดจากประเทศมหาอำนาจ ต่อประเทศญี่ปุ่น ที่ตอนนี้ทั่วทั้งเกาะมีเห็นปริศนา “ซารุมะตาเกะ” งอกขึ้นมาอย่างมากมาย ในทุกที่ทุกแห่งหน สร้างความเสียหายอย่างมหาศาลให้กับญี่ปุ่นอยู่ในตอนนี้
และเพราะไม่มีใครหาสาเหตุได้ว่าเห็ดชนิดนี้มาจากไหน และมีแหล่งกำเนิดมาจากที่ได้ ภาครัฐและเอกชนญี่ปุ่นจึงได้ร่วมมือกันตั้งเงินรางวัลให้กับใครก็ตามที่สามารถหาต้นตอและกำจัดเห็ดชนิดนี้ออกไปด้วยเงินรางวัลกว่า 1พันล้านเยนพร้อมดินเนอร์กับสาวงามกว่า 100 คน!
เพราะแบบนั้นเขาคนนี้ที่เป็นถึงอาจารย์ในมหาลัย จึงทำการลาออกจากงานเพื่อมุ่งมั่นตามหาสาเหตุพร้อมกำจัดเจ้าเห็ดชนิดนี้ให้ได้ กับเงินรางวัลมหาศาลและสาวงามอีก 100 คน !
ในแง่เนื้อหา ผมชอบเนื้อหาเรื่องนี้มากเลยนะครับ ด้วยความเรียบง่ายของใจความสิ่งที่ต้องการนำเสนอ เป็นตลกร้ายที่ดูสปรกสิ้นดี ต้องอ่านครับ 5555
5.ยามาบิโกะ13 (1971)
....ในโลกอันทันสมัยจนคุณเกินจะจินตนาการได้แห่งนี้ ยังมีสถานที่ที่เทคโนโลยียังไปไม่ถึงอย่าง “โซนชุมชนโบราณ” แห่งนี้ ที่รวบรวมเหล่าผู้คนและสิ่งของอันตกยุค ที่ไม่สามารถใช้ชีวิตร่วมกับความทันสมัยในเขตอื่นๆด้วย
แม้จะเป็นอย่างนั้น ณ ตอนนี้กลับมีสาวงามพร้อมรถสุดแสนทันสมัยขับเข้าไปยังโซนนี้ เพื่อตามหาชายคนนึง ชายทั่วไปที่ใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก แต่เพราะอะไร เพื่ออะไร เรื่องราวที่มีจุดเริ่มต้นอันน่าสงสัยนี้กำลังเริ่มขึ้น
ด้วยองค์ประกอบของเรื่อง เรื่องนี้เต็มไปด้วยความเป็นวิทยาศาสตร์จ๋ามากๆ ผมชื่นชอบไปทุกองค์ประกอบของเรื่องอย่างไม่ต้องสงสัย บรรยากาศ แนวคิดของเรื่อง การดำเนินเรื่องราวในแนวลึกลับ สืบสวนกับเรื่องที่ดูไม่เข้ากัน ของตัวละครและจุดประสงค์ที่เต็มไปด้วยความเคลือบแคลง
แม้ตัวเนื้อหาที่ผมได้อ่าน เดาได้ไม่ยากในยุคนี้ แต่ต้องบอกเลยว่า รายละเอียดและสิ่งที่เรื่องต้องการเล่า มันน่าสนใจมากๆ ยิ่งมองว่าเรื่องนี้เขียนในยุคไหนแล้ว แนวเรื่อง แนวความคิดที่ใส่มา ไม่ตกยุคและล้ำสมัยอย่างมาก ยิ่งล้อกับสังคมของมนุษย์ที่หากใครตามข่าวจะรับรู้ได้ว่า เรื่องพวกนี้อาจกำลังเกิดขึ้นเล็กๆน้อยๆ และมันจะมุ่งไปสู่เรื่องราวแบบนี้ในอนาคตอย่างไม่ต้องสงสัย เป็นเรื่องที่ทั้งสนุกในเนื้อหาและจุดประสงค์ของเรื่องอย่างมากครับ
6.+ญี่ปุ่นล่มสลาย : อุโมงค์นรก (2005)
... เมื่อ อ.เลย์จิ จะพาพวกเราเข้าไปสู่จุดเริ่มต้นของการกำเนิดมังงะคลาสิคอย่าง
Galaxy Express 999 แน่นอนมันน่าสนใจอย่างไม่ต้องสงสัย แต่สิ่งที่น่าสนใจไปกว่านั้น เรากำลังจะเข้าไปสู่จุดเริ่มต้นที่มาจากจุดจบของมหาสงครามที่ส่งผลต่อผู้คนทั่วโลก รวมถึงญี่ปุ่นอย่างมาก และแน่นอนในฐานะประชาชนคนนึงของญี่ปุ่นของ อ. ด้วยเช่นกัน
เรื่องนี้เป็นอีกเรื่องสั้นที่ผมชอบมาก ส่วนนึงผมชอบการได้อ่านงานที่มีฐานมาจากเรื่องจริง ซึ่งเรื่องนี้มาแนวนี้เต็มๆ การได้เห็นบรรยากาศจุดเริ่มต้นจากจุดจบอันเจ็บปวดของชาวญี่ปุ่นที่ส่งผลให้ญี่ปุ่นเป็นญี่ปุ่นดั่งทุกวันนี้ แม้จะมีเนื้อหาสั้นๆ แต่บอกเลยว่ากินใจและชวนเจ็บปวดไม่น้อย แม้จะสื่อสารผ่านลายเส้นแบบมังงะก็ตาม เป็นอีกหนึ่งตอนสั้นที่ไม่อยากให้พลาดครับ
นี่คือทั้ง 6 เรื่องสั้นที่รวมกันไว้ในมังงะเล่มนี้นะครับ คราวนี้เรามาพูดถึง สนพ ที่นำเสนอเล่มนี้กันบ้างนะครับ โดยเล่มนี้เป็นผลงานเปิดตัวของค่ายน้องใหม่อย่าง 999 Comics ซึ่งผมดูจากรายละเอียดคร่าวๆ เหมือนทางค่ายจะชอบงานของ อ. เลย์จิ มากๆ ทั้งชื่อ สนพ และการหยิบงานของ อ. เลย์ที่อยู่ภายใต้การเดบิวต์ผลงานกว่า 70 ปี ระหว่างปี 1954-2024 มานำเสนออย่างนี้ ซึ่งมองในแง่นึง คิดว่าเราคงได้เห็นผลงานของ อ. เลย์จิ จาก สนพ นี้ในอนาคตแน่ๆครับ
โดยผลงานเปิดตัวครั้งนี้ ทาง 999 ทำออกมาด้วยรูปเล่มไซด์ BB แบบปกสองชั้นตามสมัยนิยม ปกนอกใช้กระดาษหนา 190 แกรม พิมพ์สีเคลือบมัน ด้วยโทนสีฟ้า ชวนเศร้า งานพิมพ์คมชัดไม่มีปัญหาอะไร ส่วนปกด้านใน ใช้กระดาษหนา 260 แกรม และเลือกใช้ภาพแตกต่างจากหน้าปกนอก ซึ่งจุดนี้ผมชอบมากครับ สร้างความแตกต่าง รวมถึงยังพิมพ์เป็นภาพสีในโทนเดียวกับปกหน้า ช่วยทำให้ภาพรวมปกของงานครั้งนี้ดูน่าสะสมมากขึ้นครับ
ตัวเล่มเปิดอ่านแบบญี่ปุ่น โดยด้านใน มีการพิมพ์ภาพสีทูโทน รวม 16 หน้า ซึ่งทั้งเล่มใช้กระดาษกรีนรีรดหน้า 75 แกรม งานพิมพ์คมชัดดีตามต้นฉบับที่น่าจะมีอายุมากไม่น้อย งานแปลทำออกมาได้ดีอ่านลื่นไหล ไม่มีติดขัดอะไร ภาพรวมคือทำออกมาได้ดีไม่แพ้งานไพเรทที่ได้มาตรฐานของค่ายอื่นครับ
แม้จะไม่ใช่แฟนจ๋าอะไรของ อ. เลย์จิ แต่จากที่ได้อ่านงานของ อ. ที่มี สนพ ไพเรท หยิบมานำเสนออยู่เป็นระยะ ทำให้รู้สึกได้เลยว่า ไม่แปลกใจที่ อ. มีแฟนมังงะทั่วโลก เพราะทั้งแนวคิด การนำเสนอ ที่มีเอกลักษณ์และล้ำหน้าเกินยุคสมัย ทั้งภาพลักษณ์อุปกรณ์และโลกที่แตกต่าง รวมถึงหญิงสาวที่ถูกยกให้เหนือเหล่าผู้ชายเกินยุคสมัยอย่างมาก องค์ประกอบที่เต็มไปด้วยความกล้าในการนำเสนอจากยุคที่ยังไม่ได้รับการยอมรับ มันช่างท้าทายทั้งบริบทและความชอบของผู้อ่านในแต่ละยุคอย่างมาก
เล่มนี้เป็นเรื่องสั้นที่อ่านง่าย มีหลายรูปแบบของการนำเสนอ แต่ล้วนสนุกและมีเอกลักษณ์ ที่สำคัญด้วยความแตกต่างของยุคสมัยที่เขียนออกมา แม้จะเป็นผลงานของ อ. คนเดียวก็ตาม ก็ทำให้เราเห็นความเปลี่ยนแปลงในหลายอย่างจากสิ่งที่ถูกนำเสนอออกมา นี่เป็นอีกเล่มที่อยากให้ลองอ่านครับ แตกต่างจากมังงะในยุคนี้ในหลายๆความหมาย ไม่อยากให้มองข้ามผลงานชิ้นนี้ครับ บอกตรงๆ
ภาพ 8/10
เรื่อง 9/10
ความประทับใจ 9/10
#Manga #รีวิวการ์ตูน #จบ #999Comics #การ์ตูนแนวรัก #การ์ตูนแนววิทยาศาสตร์ #MangaAnimeReviews #การ์ตูนแนวแฟนตาซี #9คะแนน #ยามาบิโกะno13 #หนังสือการ์ตูน #Rate15 #เล่มเดียวจบ #การ์ตูนแนวรวมเรื่องสั้น #เธอๆอ่านเรื่องนี้หรือยัง
โฆษณา