คุณจอห์นเริ่มด้วยการบอกว่างานซีอีโอนั้นง่ายสุดเมื่อเทียบกับงานอื่นๆ เพราะงานซีอีโอหลักๆก็คือการหาคนที่ถูกต้องที่เรียกว่า “A” player หรือคนระดับเจ๋งๆเข้าในองค์กร ถ้าไม่มีคนเก่งๆ ลืมไปได้เลยว่าจะไประดับโลกได้ไม่ว่า strategy จะดีแค่ไหนก็ตาม
3
2. Culture
พอมีคนเก่งมาแล้วก็ต้องสร้าง culture ที่ถูกต้องด้วย ถ้ามีคนเก่งแต่ culture ที่ห่วยก็ไปไหนไม่รอด คุณจอห์นยกตัวอย่าง Palo Alto research center ของ xerox สมัยก่อนที่มีแต่คนเก่งๆ คิดนวัตกรรมต่างๆมากมายเต็มไปหมดจนเมื่อ bill gates กับ steve jobs ไปทัวร์แล้วตกใจในสิ่งที่ได้เห็นแล้วแอบเอามาประยุกต์ใช้กับบริษัทตัวเองหลายอย่าง ทั้งคู่เคยถามว่าทำไมมีของดีๆถึงไม่เอาไปใช้ คนที่ research center ก็บอกว่าทางผู้บริหารไม่สนใจเพราะกำไรจากธุรกิจเดิมดีอยู่แล้ว ไม่อยากไปเสี่ยงทำอะไรใหม่ๆ
3
3. เรื่อง xerox นี้นำมาสู่บทเรียนของคุณจอห์นเองว่าอย่าไป get addicted to high margin เพราะทำให้ไม่กล้าลองทำ ลองขยายอะไรใหม่ คุณจอห์นบอกว่าตอนที่ agoda เริ่มเป็นเว็บท่องเที่ยวเล็กๆ มีคู่แข่งในไทยสิบกว่าราย ทุกคนมีมาร์จิ้นที่ดีจนไม่พัฒนาอะไร ไม่กล้าไปลองวิธีใหม่ๆ พอ agoda ปรับเปลี่ยนวิธีใหม่ที่ขยายตลาดใหญ่ขึ้นมากแม้ margin จะลดลง คู่แข่งก็ปรับตัวไม่ได้และก็ล้มหายตายจากไปหมด
6. คุณจอห์นเตือนว่าหลายครั้งที่คนในบริษัทเองเป็นอุปสรรคในการหาคนเก่งระดับ A player ไม่ชอบรับคนเก่งมา ทำให้บริษัทได้แต่คนในระดับ B และ C เข้ามา คุณจอห์นบอกว่ามีสองสาเหตุ สาเหตุแรกก็คือหัวหน้างานไม่อยากได้คนเก่งเพราะกลัวว่าคนที่เข้ามาจะเก่งกว่าตัวเองและทำให้ตัวเองสูญเสียความสำคัญไป หรืออีกสาเหตุก็คือหัวหน้างานเป็นคนที่ไม่น่าทำงานด้วย ชวนคนเก่งพอได้คุยก็ไม่มีใครอยากทำด้วย คุณจอห์นบอกว่าเราต้องเอาหัวหน้าแบบนั้นออก เอาออกแล้วฝ่ายนั้นพัฒนาขึ้นเยอะมาก
1
7. คุณจอห์นเล่าว่าที่เขาขึ้นมาเป็นซีอีโอได้เพราะแต่ก่อนพอไปคุมฝ่ายไหนก็ชอบรับคนเก่งกว่าในระดับ A มาทำงาน พอมีคนเก่งมากๆ คุณจอห์นก็ย้ายไปทำฝ่ายอื่นแล้วรับคนเก่งมาอีก จนในที่สุดเจ้าของก็เลยให้คุณจอห์นเป็นซีอีโอเพราะคนเก่งที่อยู่ตามฝ่ายต่างๆนั้นคุณจอห์นเป็นคนจ้างมาทั้งสิ้น พอเป็นซีอีโอ นอกจากจะมีคนเก่งทำงานให้แล้ว คนเก่งเหล่านั้นก็จงรักภักดีต่อคุณจอห์นด้วยเพราะคุณจอห์นเป็นคนจ้างคนเหล่านี้มาเป็นส่วนใหญ่
3
8. คนเก่งไม่ใช่เป็น cost center แต่เป็น investment คนเก่งมักจะมีค่าตัวที่แพง ถ้ามองเป็นค่าใช้จ่ายเราก็จะไม่กล้ารับ แต่ถ้ามองว่าเป็นการลงทุน ถ้าใส่คนเก่งไปในที่ที่ถูก ผลตอบแทนที่ได้นั้นคุ้มแสนคุ้ม แต่ก็ต้องระวังในการรับ A player ที่ทำงานกับคนอื่นได้ด้วย เพราะถ้ารับคนที่อีโก้จัด แล้วทำงานกับคนอื่นไม่ได้จะทำให้บริษัทมีรอยร้าว บริษัทก็จะเดินหน้าต่อไปไม่ได้เช่นกัน
agoda เป็นบริษัทที่ใช้ประโยชน์จาก data ที่มีเยอะมาก คุณจอห์นบอกว่าเราต้องไปหวงข้อมูลกันจนเกินเหตุ คนเก่งๆในบริษัททุกคนควรจะได้เห็น data ที่บริษัทมีเพราะเขาจะมีไอเดียใหม่ๆ จากการได้เห็น ไม่ว่าจะอยู่ฝ่ายไหนก็ตาม แน่นอนว่านานๆทีอาจจะมีคนพยายามเอา data ไปเวลาย้ายไปคู่แข่ง แต่คุณจอห์นไม่กลัวเพราะไม่คิดว่าคู่แข่งเอาไปก็จะทำอะไรได้อยู่ดี เราจึงไม่ควรหวงและเก็บไว้โดยไม่ใช้ประโยชน์เพราะไม่เช่นนั้นก็ไม่รู้ว่าจะมี data ไว้ทำไม
22. หน้าที่ของซีอีโอที่สำคัญอีกสองประการก็คือ be calm when people are paranoid และ be paranoid when people are calm คุณจอห์นเล่าถึงช่วงโควิดที่ต้องเอาพนักงานออก 25% ตอนที่แจ้งข่าวพนักงานผ่านซูม คุณจอห์นถึงกับร้องไห้ด้วยความเสียใจจริงๆเพราะเขารัก agoda มาก พอเขาร้องด้วยความจริงใจ ปรากฏว่าคนทั้งบริษัทกลับมาเห็นใจ แม้กระทั่งคนที่โดนออกก็ยังเขียนมาขอบคุณและเข้าใจ
คุณจอห์นเล่าถึงเรื่องของเจ้านายเก่าที่ไปเที่ยวซาฟารี ระหว่างพักก็เห็นสิงโตสองตัวเดินมา เจ้านายก็รีบบอกไกด์ที่ไปด้วย ไกด์ยกปืนขึ้นมาแล้วแทนที่จะเล็งไปที่สิงโต กลับเล็งหมุนเป็นวงกลม แล้วบอกว่า the lion that you should be afraid of is the one you do not see เป็นเรื่องราวที่เตือนใจคุณจอห์นในยามสงบมาก
24. มีผู้ฟังซึ่งเพิ่งเริ่มธุรกิจใหม่ถามคุณจอห์นว่า เขาควรจะกำหนด culture ของบริษัทอย่างไร คุณจอห์นบอกว่าCulture ของบริษัทมักจะกำหนดตาม founder เสมอ Steve Job ไม่ใช่เป็น coder แต่เป็น UX เป็น designer วิธีการคิดของ apple ที่เอา design นำก็ออกมาแบบนั้น แต่ bill gate เป็น geek ไม่ได้สนเรื่องการออกแบบ ขนาดจะปิดเครื่องยังต้องกด ctrl alt del เป็นแนว it จ๋ามาก microsoft ก็เป็นแบบนั้น
1
airbnb website ดูสวยมาก มีเทสต์ และมีความลงตัวมากๆ ก็เพราะ founder มาจาก graphic designer จบจาก rhode island design school. founder personality เป็น culture ของ company ตอนเริ่มเสมอแล้วจึงค่อยๆ หาว่าอะไร ที่ make company ticks
1
25. มีผู้ฟังถามว่า agoda เปลี่ยน business model จนชนะคู่แข่งสิบกว่ารายในไทยแล้วโตไประดับโลกได้อย่างไรนอกจากมีคนเก่งๆ มี culture ที่ดีแล้ว คุณจอห์นบอกว่า เดิม agoda ก็เริ่มเหมือนกันบริษัท OTA ทั่วไป คือหาลูกค้าจาก SEO marketing และมีห้องให้จองผ่านนายหน้า ไม่ได้ต่อตรงกับโรงแรม ทุกคนก็ทำและกำไรก็ดีมาก แต่ปัญหาก็มีทั้งที่ SEO ก็ถูก google คุมและ supply ก็มีความเสี่ยง
ต่อมา booking.com เปลี่ยน business model ใหม่ agoda ก็ใช้ไอเดียเดียวกันมาเปลี่ยนแบบขนานใหญ่ โดยยอมจ่าย pay per click (PPV) แทนซึ่งช่วงแรกขาดทุนทุกคลิก และจ้างพนักงานสองร้อยคนเดินสายต่อตรงกับโรงแรม คุยเองต่อรองเอง ต้นทุนพุ่งสูง มาร์จิ้นหดในช่วงแรก แต่คู่แข่งไม่มีใครกล้าทำ
2
แต่พอผ่านไปเริ่มมี traffic โรงแรมก็เริ่มติดใจ agoda ก็เริ่มต่อรองได้ ให้โรงแรมใส่รูปสวยขึ้นเฉพาะที่ agoda มีดีลพิเศษ มีห้องมากกว่า คนก็ยิ่งจองผ่าน agoda เยอะ ในไม่ช้า agoda ก็กำไร PPV ทุกคลิกและเป็น top three บน google
ซึ่งหลังจากนั้นก็ไม่มีใครแข่งได้อีกในสนาม search engine เป็นการพลิก business model ที่กล้าเสี่ยงและทำให้คู่แข่งที่มัวแต่หลงกับมาร์จิ้นสูงๆแต่ไม่กล้าขยับนั้น ขยับไม่ทันจนล้มหายตายจากไปหมด