เราอ่านคำถามแล้วก็ต้องแอบอมยิ้ม คือเราตั้งข้อสังเกตว่า คงไม่น่าจะมีใคร ที่กล้าแสดงตนหรือบอกให้รู้ว่า ตนได้ออกจากศาสนาใด โดยส่วนมากแล้วที่เรามักจะพบเห็นได้เสมอ ก็คือการแสดงตนให้รู้ว่า "ตนได้เข้านับถือศาสนาใด" เสียมากกว่า ด้วยเหตุที่การเข้านับถือศาสนาเป็นการแสดงการเข้าพวก เพื่อให้ผู้คนในศาสนานั้นๆ ได้ยอมรับการเข้าพวกนั่นเอง เพราะเราต้องไม่ลืมว่า มนุษย์คือสัตว์สังคม
เราคือพุทธมามกะ ซึ่งเราประกาศตนแสดงเจตนาชัดเจน ขอถือพระพุทธเจ้าว่าเป็นสรณะ (ที่พึ่ง ที่ระลึก) ซึ่งอันที่จริง มันก็คือการประกาศตนว่าเป็นผู้นับถือศาสนาพุทธนั่นแหละค่ะ และที่เราต้องแอบอมยิ้ม ก็เพราะว่า ในอดีตทั้งเราและพี่สาว เคยเรียนพระคริสต์ธรรมทางไปรษณีย์ด้วยเหมือนกันกับเจ้าของกระทู้ ด้วยเหตุที่ครอบครัวเราต่างก็มีอุปนิสัยรักการแข่งขัน ล่าแต้มใบประกาศนียบัตรต่างๆ เพื่อไว้อวดข่มกัน ก็เท่านั้นเองค่ะ
แปลกอยู่เหมือนกันที่ชีวิตเราและครอบครัว ก็วนๆเวียนๆจวนเจียนจะเข้าเป็นคริสตศาสนิกชน ตั้งแต่สมัยพ่อเราป่วยหนัก ไปนอนรักษาตัวที่รพ.ที่มีแพทย์พยาบาลเป็นมิชชันนารี คุณแม่เราไปเข้าโบสถ์ที่ชั้นบนของอาคาร เพื่อขอพรให้พ่อเราทุกวัน วันใดที่พ่อมีอาการกระเตื้อง ก็ทำให้แม่เราเกือบจะเปลี่ยนไปนับถือคริสต์อยู่รอมร่อ
แฟนคนแรกของเราก็นับถือคริสต์ เราจึงตามเขาเข้าโบสถ์ทุกวันอาทิตย์ ตอนนั้นเราอิหลักอิเหลื่อมาก แต่สนุกตรงที่ได้ไปยืนร้องเพลง แล้วก็ได้กินขนมบิสกิต มีปาร์ตี้ในสวน โบสถ์คริสต์นั้น มีความหรูหราโอ่อ่า สะอาดสะอ้านกว่าวัดบ้านๆ แถมมีหนุ่มฝรั่งวัยรุ่นหล่อๆ มาสอนภาษาอังกฤษให้ฟรี และมีเกมมาให้เล่นอีก
ครั้นพอเราเติบโดมีหน้าที่การงาน เราจำเป็นต้องไปงานต่างๆ เกือบทุกศาสนา ไม่ว่าจะเป็นงานแต่ง หรืองานศพ พุทธ คริสต์ อิสลาม คุณลองไปดูคนญี่ปุ่่นรุ่นใหม่เถอะ เขานับถือพุทธ แต่เลือกจัดพิธ๊แต่งงานในโบสถ์คริสต์ ขึ้นอาคารห้างร้าน เราก็ทำพิธีพราหมณ์ มันปะปนกันไปหมดแล้วล่ะค่ะ
สิ่งสำคัญจึงควรอยู่ที่
เราต้องตอบ และเตือนตัวเองให้ได้ว่า
แก่นคำสอนสำคัญทางศาสนานั้นๆคืออะไร
ต้องแยกเปลือกออกจากแก่นให้ได้แค่นั้นเอง
โฆษณา
- ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
- © 2024 Blockdit
