9 ต.ค. เวลา 04:00 • ไลฟ์สไตล์

ไหนใครว่าอกหักไม่กระทบกับการทำงาน?

ความรักเป็นสิ่งที่มีพลังมาก ทั้งในทางที่สร้างสรรค์และในทางที่ทำลายล้าง เมื่อความรักที่เรามีให้ใครสักคนถูกตัดขาดออกไปอย่างฉับพลัน ความเจ็บปวดนั้นไม่ใช่เพียงแค่เรื่องของหัวใจ แต่ยังแผ่ขยายไปสู่ทุกส่วนของชีวิต ไม่ว่าจะแข็งแกร่งแค่ไหน เมื่ออกหัก เราทุกคนต่างได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะเมื่อเราต้องเผชิญกับความท้าทายในการทำงาน
บางคนอาจบอกว่า "แค่แยกเรื่องส่วนตัวกับเรื่องงานออกจากกันก็พอ" แต่ในความจริงแล้วมันไม่ง่ายเลย การพยายามปิดกั้นความรู้สึกในเวลาที่ต้องการทำงานให้ได้ดี ไม่ใช่เพียงแค่การเดินหน้าต่อไป มันคือการต่อสู้กับอารมณ์ที่ไม่อยากให้โผล่ออกมา การอยู่ในออฟฟิศหรือการประชุมสำคัญ แต่จิตใจของเรากลับหวนไปคิดถึงความทรงจำเก่าๆ หรือสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้น มันเหมือนกับการวิ่งไปข้างหน้า แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องแบกน้ำหนักที่หนักอึ้งไว้บนหลัง
เราหลายคนมักจะเก็บความรู้สึกเอาไว้ ไม่ให้เพื่อนร่วมงานหรือหัวหน้ารู้ว่าเรากำลังผ่านช่วงเวลาเลวร้าย การพยายามแสดงออกว่าทุกอย่างยังเป็นปกติ อาจทำให้คนอื่นเข้าใจผิดว่าเราไม่เป็นอะไร แต่ลึกๆ แล้วมันอาจยากกว่าที่ใครจะเข้าใจได้
การทำงานภายใต้ภาวะอารมณ์ที่ไม่มั่นคงเช่นนี้ทำให้เรามีประสิทธิภาพลดลง เราอาจหลงลืมสิ่งสำคัญ หรือทำงานได้ช้าลงเพราะความคิดของเราถูกครอบงำด้วยความเศร้า ความท้อแท้ และความโดดเดี่ยว ความเครียดจากการพยายามทำตัวให้เป็นปกติอาจก่อให้เกิดความกดดันทางจิตใจซึ่งส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจหรือการทำงานร่วมกับคนอื่น
อกหักไม่ใช่เรื่องที่ใครจะหลีกเลี่ยงได้ และไม่มีสูตรสำเร็จในการก้าวผ่านมันไป แต่สิ่งสำคัญคือการให้พื้นที่แก่ตัวเองในการรู้สึกเสียใจและค่อยๆ ฟื้นตัวอย่างช้าๆ การยอมรับว่าเราเป็นมนุษย์ที่สามารถเจ็บปวดได้ และไม่จำเป็นต้องเร่งรีบที่จะ "หายดี" ทำให้เราเปิดใจที่จะรับความช่วยเหลือจากคนรอบข้าง ทั้งในเรื่องงานและเรื่องชีวิตส่วนตัว
สุดท้ายนี้ อย่าลืมว่าการให้ความสำคัญกับสุขภาพจิตของตนเองสำคัญเท่าเทียมกับการทำงาน การให้ตัวเองได้พักในช่วงที่หัวใจยังไม่แข็งแรง ทำให้เราสามารถกลับมาเป็นตัวเราเองได้เร็วขึ้น แข็งแรงขึ้น และพร้อมที่จะรับมือกับความท้าทายของชีวิตต่อไป ทางผู้เขียนขอเป็นกำลังใจให้คนที่กำลังอกหักอยู่ให้กลับมาเป็นคนเดิม ยิ่มและเบิกบานได้ครับ
โฆษณา