9 ต.ค. เวลา 04:38 • ธุรกิจ

สรุปวิธีโกง ทุกรูปแบบ ในแวดวงการเงิน แชร์ลูกโซ่ ที่อยู่คู่สังคมไทย

ในประวัติศาสตร์ สังคมไทย จะมีคดีฉ้อโกงทางการเงิน ผุดขึ้นมาเป็นประเด็นร้อนอยู่เสมอ
ทั้งคดีแชร์ลูกโซ่ ระบบเครือข่าย ไปจนถึงการหลอกลวงเงินไปลงทุนใน FOREX, หุ้น, คริปโทเคอร์เรนซี, เหมืองบิตคอยน์ ที่นำเงินไปแล้ว แต่ไม่ได้ไปลงทุนจริง
4
โดยในหลายคดี มีผู้เสียหายเป็นคนไทยจำนวนมาก
บางคดี มูลค่าความเสียหายรวมกันหลายพันล้าน หรือหลักหมื่นล้านบาท
แถมผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการฉ้อโกง ยังเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียง นักธุรกิจชื่อดัง ดารา ไปจนถึงยูทูบเบอร์
2
แล้วทุกวันนี้ เรากำลังเผชิญกับกลโกงทางการเงิน อะไรบ้าง ?
ลงทุนแมนจะสรุปให้ฟัง
 
ตั้งแต่เหตุการณ์ แชร์แม่ชม้อย, แชร์ชาร์เตอร์, แชร์แม่มณี, FOREX-3D, ซินแสโชกุน, ประสิทธิ์ เจียวก๊ก
ซึ่งก็เป็นหลักฐานสำคัญว่า สุดท้ายแล้วคนเราก็ยังไม่สามารถตามทันคำโกหกของผู้อื่น
ดังนั้น เพื่อเป็นการไม่ประมาท เราจึงควรรู้จักกับการโกงในรูปแบบต่าง ๆ
4
ซึ่งหลัก ๆ ก็จะมี..
วิธีที่แรก คือ “Advance Fee”
กลวิธีจ่ายเงินก่อน เพื่อแลกกับเงินก้อนใหญ่ทีหลัง
เป็นวิธีหลอกลวงเอาเงินก้อนหนึ่ง และหลังจากนั้นก็จะหายไปเลย
มักพบทางสังคมออนไลน์ อย่างเช่น Facebook หรือตามอีเมลที่ส่งมา
1
เราอาจเคยเจอกับประโยคว่า
“คุณได้รับรางวัลเงินล้าน เพียงแค่โอนเงินค่าธรรมเนียมมา รับทันที”
หรือ “คุณโอนเงินมาให้ก่อน แล้วเราจะส่งใบแสดงสิทธิ์ความเป็นเจ้าของสินทรัพย์ให้ภายหลัง”
สิ่งเหล่านี้ก็คือ กลโกงแบบ Advance Fee นั่นเอง
1
รู้หรือไม่ว่า ถึงกลวิธีนี้จะดูแสนเชยก็ตาม แต่ยังสามารถกอบโกยได้มหาศาลทั่วทุกมุมโลก..
วิธีถัดมาก็คือ “Pump & Dump” หรือกลวิธีลากขึ้นไปเชือด
ซึ่งเป็นกลโกงยอดนิยมในปัจจุบันอย่างมาก
1
โดยวิธีนี้จะหลอกให้คนเข้าไปลงทุนในสิ่งที่ไม่มีค่าหรือไร้ค่า
หลังจากนั้นเหล่าคนที่อยู่เบื้องหลังการโกง จะคอยปั่นราคาให้สูงขึ้นไปเรื่อย ๆ
และทยอยขายเมื่อราคาเริ่มถึงจุดที่จะไปต่อไม่รอด
1
ปัจจุบันมักพบเจอกลวิธีนี้ในวงการซื้อขายหุ้น รวมถึงสินทรัพย์ดิจิทัล
โดยขั้นตอนคือ จะมีคนส่งสัญญาณปั่นราคาเข้าไปในแอปส่งข้อความต่าง ๆ เช่น Telegram, Line เพื่อให้คนวงในเข้าไปซื้อสินทรัพย์ก่อน แล้วดันราคาให้พุ่งขึ้นสูง
2
หลังจากนั้นคนอื่นจะคิดว่าสินทรัพย์นี้กำลังเป็นที่นิยมและอยู่ในช่วงขาขึ้น
จึงตามเข้าไปซื้อด้วย และเวลาต่อมานี้เองที่เหล่าคนวงในจะขายทำกำไร วัฏจักรการโกงจึงสิ้นสุดลง
2
อีกวิธีซึ่งอยู่กับคนไทยมาอย่างยาวนาน..
ก็คือ Ponzi Scheme หรือธุรกิจ “แชร์ลูกโซ่” แบบพอนซี
2
โดยชื่อนี้ตั้งตามชาร์ล พอนซี ชาวอิตาลีที่อพยพมาสหรัฐอเมริกา ในปี 1920
ซึ่งเขาอ้างกับผู้ที่มาลงทุนด้วยว่า จะได้ผลตอบแทน 50% ภายใน 45 วัน
แต่ถ้ารอถึง 6 เดือน จะได้ผลตอบแทนถึง 2 เท่า
2
อย่างไรก็ตาม ความเป็นจริงคือ เขาแค่เอาเงินของนักลงทุน
รายใหม่มาจ่ายให้รายเก่าไปเรื่อย ๆ เช่น สมมติให้ A เป็นสมาชิกก่อน B
เมื่อ B นำเงินเข้ามาลงทุน เงินส่วนนั้นก็จะถูกกระจายไปยัง A
และเมื่อ C เข้ามาเป็นสมาชิกลำดับถัดมา เงินในส่วนนี้เองก็กระจายไปยัง A และ B
1
ซึ่งปัญหาจะเกิดขึ้นเมื่อถึงจุดจุดหนึ่งที่หมุนเงินในระบบ และสร้างผลตอบแทนให้กับคนที่เข้ามาลงทุนไม่ทัน นั่นจึงทำให้แชร์ลูกโซ่ล้มลงไป
เป็นกรณีเดียวกับแชร์ลูกโซ่ครั้งใหญ่ที่สหรัฐอเมริกา ในปี 2008
Bernie Madoff ที่รับประกันว่านักลงทุนจะได้รับผลตอบแทนปีละ 10-15%
ทั้ง ๆ ที่จริงแล้วกองทุนของเขาไม่สามารถทำได้ แต่ใช้เงินจากนักลงทุนรายใหม่มาจ่ายรายเก่าเท่านั้นเอง
2
ซึ่งการฉ้อโกงส่วนใหญ่ในประเทศไทย ก็ถูกจัดอยู่ในประเภทนี้ เช่น แชร์แม่ชม้อย หรือแชร์ชาร์เตอร์
อีกรูปแบบของแชร์ลูกโซ่ จะอยู่ในรูปแบบของ Pyramid หรือธุรกิจ “แชร์ลูกโซ่ แบบเครือข่าย”
1
รูปแบบของกลโกงนี้จะแตกต่างจากพอนซีตรงที่ว่า สมาชิกแต่ละคนจะเป็นคนหาลูกข่ายของตัวเอง เมื่อเทียบกับพอนซีที่จะมีผู้บงการเพียงคนที่จัดระดมทุน โดยสมาชิกในเครือจะแค่รอกำไรเข้ามา
2
ซึ่งวิธีเหล่านี้ บางครั้งอาจใช้การดึงบุคคลที่มีชื่อเสียง มีภาพลักษณ์ที่ดี มาร่วมช่วยโปรโมตด้วย เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ
1
แต่ทั้ง 2 วิธีนี้ จะเริ่มมีปัญหาเดียวกัน เมื่อไม่สามารถหาผู้เข้ามาร่วมในวงคนต่อไปได้
บางบริษัทที่ทำธุรกิจเครือข่ายหรือขายตรง ก็ใช้วิธีการดึงคนเข้าแบบนี้เช่นกัน
จากตอนแรกโปรโมตขายสินค้า ต่อมาก็ชวนขายของด้วยกัน..
4
หลายคนอาจสงสัยว่าทำไม MLM กลับเป็นธุรกิจถูกกฎหมาย ?
1
เพราะมันมีกติกาอยู่ว่า ตราบใดที่เงินจากการขายสินค้า มากกว่าค่าธรรมเนียมการเข้า จะยังไม่ถือเป็นแชร์ลูกโซ่นั่นเอง
6
กรณีในประเทศไทยคือ แชร์บลิสเชอร์
ที่ถูกจัดตั้งโดยบริษัท บลิสเชอร์ อินเตอร์กรุ๊ป จำกัด ซึ่งให้บริการที่พักสำหรับผู้ที่สมัครสมาชิกในราคาพิเศษ และหากสมาชิกรายอื่นสามารถหาคนมาสมัครสมาชิกเพิ่มได้ จะมีค่าตอบแทนด้วย
แต่เหตุการณ์ก็ต้องจบลง เมื่อพบว่าบลิสเชอร์ไม่มีที่พักของตนเองเลย บัตรสมาชิกไม่สามารถใช้งานได้จริง
สุดท้ายแล้วแชร์ลูกโซ่รายนี้ก็ล่มสลายหายไป ซึ่งสร้างความเสียหาย 800 ล้านบาท
2
นอกจากนั้น การมีเฉพาะกลโกงอย่างเดียว จะไม่เพียงพอสำหรับหลอกล่อให้ผู้คนเข้ามา
คนฉ้อโกงเหล่านี้จึงทำการตลาดควบคู่กันไปด้วย เช่น
5
Fantastic Promise คำสัญญาที่สวยหรู
“คุณสามารถสร้างรายได้มหาศาล โดยไม่ต้องสร้างสินค้าสักชิ้น”
ทำให้คนเริ่มสนใจ ด้วยวิธีการที่ดูเรียบง่าย แต่ได้ผลตอบแทนที่สูง
Compelling Story นำเสนอเรื่องราวจากดินสู่ดาว
“จากพนักงานออฟฟิศ เงินเดือน 15,000 บาท สู่การเป็นนายของตัวเองที่มีเงินเดือนเป็นล้าน”
เพื่อสร้างความหวัง ซึ่งทำให้หลายคนคิดว่าตัวเองก็สามารถทำได้เช่นเดียวกัน
3
Social Proof มีหลักฐานยืนยันจากสมาชิก
“แค่ผมทำตามที่เขาสอน ผมก็สามารถจับเงินล้านได้ภายในปีเดียวเท่านั้น”
เพราะพฤติกรรมคนส่วนใหญ่มักเชื่อรีวิวจากลูกค้าด้วยกันเอง
1
Sense of Urgency สร้างความรู้สึกรีบร้อน
“รับสมาชิกเพียง 30 คนเท่านั้น รอบครั้งก่อนเต็มเร็วมาก สมัครด่วนหากไม่อยากพลาดโอกาส”
คำโปรยที่ส่งผลให้การตัดสินใจของเรา เน้นการใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผล
2
Not a Scam การบอกว่าตัวเองไม่ใช่กลโกง
เพื่อเป็นการยืนยันให้เหล่าสมาชิกในเครือข่ายมีความเชื่อมั่นมากขึ้น
แม้ความจริงจะรู้อยู่แล้ว ว่าตัวเองเป็น Scam
1
ซึ่งวิธีนี้นี่เอง OneCoin เคยใช้บอกกลุ่มผู้ถือเหรียญดิจิทัลของตน ก่อนที่จะถูกจับได้ว่าเป็นเพียงแชร์ลูกโซ่เท่านั้น..
1
ปิดท้ายด้วยข้อมูลที่น่าสนใจ
งานวิจัยหนึ่งที่สำรวจกลุ่มผู้เสียหายจากการโดนฉ้อโกง เพื่อหาลักษณะร่วมกันของกลุ่มคนเหล่านี้
1
ปรากฏว่า กลุ่มคนเหล่านี้ไม่มีอะไรที่สัมพันธ์กันเลย.. ไม่ว่าจะเป็นการศึกษา ความฉลาด หรืออายุ
2
เรื่องนี้ถูกตอกย้ำจากความจริงที่ว่า แม้แต่ Stephen Greenspan ผู้เขียนหนังสือ Annals of Gullibility หนังสือที่ว่าด้วยเรื่องการจับผิดกลโกง ก็ยังเคยตกเป็นเหยื่อของ Bernie Madoff แชร์ลูกโซ่ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศสหรัฐอเมริกา..
4
แล้วถ้าหากถามว่า กลโกงเหล่านี้ ทำไมมันยังอยู่ ?
แถมยังสามารถวิวัฒนาการตามรูปแบบของสังคม ที่เปลี่ยนไปได้มายาวนานเป็นร้อยปี จากประเทศโปเยส ยุคที่หลอกขายพื้นที่บนประเทศที่ไม่มีอยู่จริง
มาจนถึงยุคของเรา ที่ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ เป็นเครื่องมือ
4
คำตอบข้อเดียว ก็คือ “ความโลภ” ของมนุษย์ที่ยังคงฝังอยู่ในทุกยุคสมัย
ทำให้มนุษย์เลือกที่จะเชื่อในสิ่งที่สวยหรู แม้มันเป็นเรื่องหลอกลวง
3
ดังนั้น ก่อนที่เราจะเข้าไปลงทุนในอะไรก็ตาม
โปรดอย่าเริ่มต้นจากการดูว่า เราจะได้รับผลตอบแทนเท่าไร
2
จุดเริ่มต้นที่ควรจะเป็นก็คือ การลงทุนครั้งนี้ มันสมเหตุสมผลแค่ไหน
และมันจะสร้างความเสียหายให้กับเรามากสุดได้เท่าไร ถ้ามันไม่เป็นความจริง..
2
โฆษณา