9 ต.ค. เวลา 10:20 • นิยาย เรื่องสั้น

เรื่องเล่าสยองขวัญเรื่องที่ 9 ฝาแฝดน้าบัว

วันนี้ฉันจะมาเล่าเรื่องหนึ่งที่เคยเกิดขึ้นกับฉันเอง มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครั้งที่ฉันไปงานศพแม่ของพี่ที่เป็นญาติสนิทคนหนึ่ง ฉันขอตั้งชื่อเรื่องว่า ฝาแฝดน้าบัว
ย้อนกลับไปเมื่อสองเดือนก่อนถ้าจำไม่ผิดเหมือนช่วงนั้นจะเป็นช่วงปิดเทอมก่อนขึ้นปี 4 ฉันกับครอบครัวได้ข่าวว่าแม่ของพี่โจ้ที่เป็นญาติสนิทเสียชีวิตด้วยอาการป่วยเรื้อรังที่สะสมมานาน
ในวันเสาร์ช่วงบ่ายฉันกับครอบครัวก็ไปที่งานศพก่อนเวลาเพื่อช่วยจัดเตรียมงาน พอไปถึงงานเจอกับพี่โจ้ฉันก็ทักทายแกตามปกติแต่ดูวันนี้หน้าตาของพี่โจ้ดูเหนื่อยและก็ดูเศร้ามาก ก็ไม่แปลกหรอกแกเสียแม่ทั้งคนจะให้มายิ้มสดใสเหมือนคนปกติก็ไม่ได้
ฉันยืนคุยกับพี่โจ้อยู่ครู่ก่อนจะขอตัวแยกออกมาไปไหว้ศพน้า ฉันใช้เวลาไม่นานในการไหว้ก่อนจะขอแยกตัวเพื่อไปหาลูกพี่น้องคนอื่นๆที่ด้านหลังของศาลาจัดงาน
เดินมาถึงยังด้านหลังของศาลาพบกับแซนญาติคนสนิทกำลังจัดเตรียมของที่จะแจกแขกที่มางานอยู่ ฉันก็เข้าไปทักทายตามปกติเหมือนในทุกๆครั้งก่อนจะเข้าไปช่วยจัดของพร้อมกับพูดคุยกันตามภาษาคนสนิทเหมือนเคย
แต่ในขณะที่ฉันกำลังพูดคุยกับแซนอยู่นั้นจู่ๆหางตาของฉันก็ดันไปเห็นอะไรบางอย่างที่ด้านหลังของแซนไกลๆด้านนอกศาลา ฉันหยุดการกระทำทุกอย่างและหันไปมองมันอย่างช้าๆและพบกับว่าสิ่งนั้นก็คือ หญิงสาวในชุดเดรสสีดำกำลังยืนจ้องมองพวกเราอยู่ ฉันช็อคยืนค้างนิ่งมันไม่ใช่อะไรเพราะเธอคนนั้นไม่มีขาน่ะสิ และที่สำคัญเธอยังหน้าเหมือนน้าบัวแม่ของพี่โจ้อีกด้วย
ในตอนนั้นเองการกระทำของฉันทุกอย่างหยุดชะงักลงพร้อมกับกับค่อยๆเอื้อมมือที่สั่นเทาไปกำเสื้อของแซนแน่นด้วยความกลัวก่อนจะค่อยๆหันกลับมายังดังเดิม
“มึงเป็นอะไรเนี่ย กำเสื้อกูทำไม”
แซนหันมาถามด้วยความสงสัยก่อนที่ฉันจะส่ายหัวตอบกลับไปแทนคำตอบ ขณะเดียวกันฉันก็เหลือบหันไปมองอีกครั้งแต่กลับพบว่าผู้หญิงคนนั้นหายไปแล้ว ฉันถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งใจก่อนจะหันมาจัดการธุระตรงหน้าต่อ
เอาจริงๆฉันอยากจะบอกแซนมันนะ แต่อย่างที่คุณรู้ว่าถ้าเจออะไรแบบนี้ห้ามทักเป็นอันขาด อีกอย่างฉันก็กลัวว่าแซนมันจะกลัวด้วยเลยเลือกที่จะเก็บเอาไว้ดีกว่า
พอเตรียมของเสริฟแขกเสร็จฉันก็นั่งพักที่ด้านหลังศาลาตอนแรกก็จะไปช่วยเขาเสริฟน้ำด้วยนั่นแหละแต่รอนญาติสนิทอีกคนบอกว่าไม่ต้องเดี๋ยวฉันไปซุ่มซ่ามทำน้ำหล่นใส่แขกให้นั่งรอเฉยๆนั่นแหละดีแล้ว
หลังจากที่คนอื่นๆแจกน้ำกันเสร็จก็พากันมานั่งรวมโต๊ะที่หลังศาลาที่ฉันนั่งอยู่ในตอนแรก ระหว่างที่พระสวดฉันกับญาติคนอื่นๆก็คุยกันไปพลางๆ และในขณะนั้นเองขณะที่ฉันนั่งฟังพระสวดอยู่นั้นจู่ๆรู้สึกบางอย่างที่ข้างขวา มันเป็นความรู้สึกที่เหมือนมีคนเดินผ่านแล้วทำให้เกิดลมเบาๆ แต่พอมานั่งดีๆอีกทีมันก็ไม่มีใครเดินผ่านนี่อีกอย่างตอนนี้มันก็ไม่มีลมอะไรด้วย แล้วมันคือลมอะไรกันล่ะ
ด้วยความสงสัยฉันจึงหันไปมองด้านข้างแต่ก็พบกับความว่างเปล่า มันไม่มีอะไรนอกจากที่โล่งๆ
ขณะเดียวกันเป็นจังหวะที่ฉันหันกลับมาจู่ๆก็มีร่างของใครบางคนมายืนอยู่ที่ตรงหน้า ฉันลอบกลืนน้ำลายที่ฝืดลงคอก่อนจะค่อยๆเงยหน้ามองขึ้นทีละนิด ทันทีที่สายตามองขึ้นไปจนสุดเพราะคนที่ยืนอยู่ตรวหน้านั้นมันคือวิญญาณหญิงสาวชุดเดรสสีดำ และที่สำคัญเธอกำลังจ้องมองมาที่ฉันอีกด้วย
วินาทีนั้นฉันแทบจะอยากร้องไห้ หัวใจแทบจะหยุดเต้นไปในทันที ฉันพยายามจะบังคับตัวเองให้เบนสายตาออกแต่มันกลับไปไม่เป็นอย่างที่คิดกลายเป็นว่าในตอนนี้ฉันกำลังสบตากับสาวชุดเดรสสีดำอยู่ ดวงตาแดงก่ำของเธอจ้องมองมาที่ฉันพร้อมกับเสียงโหยหวนที่เริ่มดังแทรกเข้ามาในโสตประสาทหู ฉันพยายามตั้งสติท่องบทสวดแต่ด้วยในตอนนั้นฉันกลัวจนสติแตกแล้วไม่ว่าจะท่องยังไงมันก็คงไม่ได้ผลอยู่ดี ฉันฝืนตัวเองให้หลับตาลงก่อนจะนึกถึงย่าทวดขึ้นในใจแล้วพูดออกมาเบาๆว่า
“ย่าทวด ช่วยหนูทีหนูกลัว”
ในจังหวะนั้นเองจากบรรยากาศรอบตัวที่เคยอึดอัดจู่ๆก็รู้สึกดีขึ้น ก่อนจะค่อยๆลืมตาและพบว่าวิญญาณหญิงสาวชุดเดรสสีดำนั้นหายไปแล้ว ฉันหันมองซ้ายมองขวาพอเห็นแบบนั้นฉันก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาทันที พูดตามตรงนะว่าฉันเป็นคนที่กลัวอะไรพวกนี้มากเรียกได้ว่าไม่ว่าจะรูปหรืออะไรก็แล้วแต่ถ้าเห็นเป็นต้องเลื่อนผ่านทันที และยิ่งมาเจอของจริงแบบนี้อีกยิ่งรู้สึกเหมือนจะหยุดหายใจไปเลย
พอจบเหตุการณ์นั้นทุกอย่างก็กลับมาเป็นปกติแม้ในตอนนั้นจะมีแซนและรอนเข้ามาถามบ้างแต่ฉันก็เลือกที่จะไม่ตอบอะไรเพราะกลัวว่าทั้งคนจะกลัวเอา อีกอย่างเหตุการณ์ที่มันเกิดขึ้นก็อยู่ในช่วงการจัดงานศพอีกด้วยเลยคิดว่าไม่พูดจะดีกว่า
ผ่านไปเข้าวันที่สามวันสวดพระวันสุดท้ายฉันกับครอบครัวก็มางานศพตามปกติมีเข้าไปช่วยญาติคนอื่นๆจัดเตรียมของบ้าง ในขณะที่ฉันกำลังจะเดินกลับหลังจากการเสริฟน้ำนั้นจู่ๆก็เกิดเสียงบางอย่างมาจากโลงศพขึ้นมา
ฉันหยุดเดินพร้อมกับหันไปมองแต่ก็ต้องคิ้วขมวดเพราะพบว่าหลังโลงศพนั้นมันมีใครยืนอยู่ ฉันพยายาามเพ่งมองสิ่งที่อยู่ด้านหลังโลงศพนั้นพบว่ามันไม่ใช่ร่างคนแต่เป็นเงาของผู้หญิงคนหนึ่งในชุดเดรส ด้วยความสงสัยฉันจึงเดินตรงไปยังโลงศพ
ในตอนนั้นหัวสมองของฉันคิดไปไกลมากเพราะอย่างที่รู้กันว่าเมื่อวานมันเกิดเหตุการณ์ที่ฉันเจอวิญญาณหญิงสาวชุดเดรสดำไปมันเลยทำให้ตอนนี้ฉันเริ่มระแวงไปหมด
พอเดินมาถึงฉันสูดหายใจลึกก่อนจะรุดเข้าไปยังด้านหลังของโลงศพทันทีแต่กลับกลายเป็นว่าไม่มีใครหรือเงาของคนอยู่เลยแม้แต่นิดเดียว เมื่อเห็นว่าไม่มีใครฉันจึงเลือกที่จะเดินออกแต่ในจังหวะะนั้นเองยังไม่ทันที่ฉันจะได้ก้าวพ้นจู่ๆก็เกิดมีเสียงเคาะโลงดังปึงขึ้นมา
ในตอนนั้นฉันตกใจสุดจนเซเสียหลักแต่ก็ต้องสะดุ้งเฮือกอีกครั้งเมื่อสิ่งเห็นตรงหน้านั้นคือหญิงชุดเดรสสีดำกำลังใช้หัวเคาะโลงศพอยู่ และเหมือนเธอรู้ว่าฉันกำลังมองเธออยู่ทันใดนั้นเองเธอก็ค่อยๆหันมาอย่างช้าๆและเพียงแค่ชั่วพริบตานั้นเองยังไม่ทันที่ฉันจะได้ขยับตัวเธอก็โผล่ที่ตรงหน้าของฉันพร้อมกับแสยะยิ้มสยดสยองและพูดขึ้นว่า
“สวัสดี หลานรัก”
และหลังจากนั้นภาพทุกอย่างก็ตัดไปทันที
ฉันตื่นมาอีกทีก็มาอยู่ที่รถแล้ว ฉันมองไปรอบๆด้วยความสั่นกลัวก่อนจะมีมือของใครบางคนมาแตะเข้าที่แขนจนฉันสะดุ้งเฮือก
“ใจเย็นๆ นี่พี่เอง”
เสียงทุ้มที่คุ้นเคยทำให้ฉันหันไปมองพบว่าเป็นรอนและแซนที่ยืนอยู่ด้านนอกรถ พอเห็นแบบนั้นก็ใจชื้นขึ้นมาพร้อมกับร้องไห้โผเข้ากอดคนเป็นพี่ทันที ฉันใช้เวลาอยู่สักพักกว่าจะสงบไม่นานพี่โจ้ก็เดินเข้ามาดูพร้อมกับถามอาการ หลังจากที่เห็นว่าฉันเริ่มสงบลงแล้วแซนก็เล่าให้ฟังว่าตอนที่ภาพตัดไปนั้นมันเกิดอะไรขึ้นบ้าง
ย้อนกลับไปเมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้าในตอนที่ภาพตัดไป ขณะที่แซนกำลังพูดคุยกับพี่โจ้อยู่ที่ด้านหลังศาลาอยู่นั้นจู่ๆก็ได้ยินเสียงกรี๊ดมาจากด้านในงาน แซนและพี่โจ้เลยพากันวิ่งไปดูพบว่าฉันกำลังอาละวาดทำลายดอกไม้กระถางธูปหน้าโลงศพอยู่
แซนและพี่โจ้วิ่งแหวกผู้คนก่อนจะเข้าไปช่วยจับฉันให้นิ่งสงบแต่ไม่ว่าจะจับยังไงฉันก็สลัดพวกเขาออกจนหมด ทั้งที่ปกติในการจะจับผู้หญิงธรรมดาคนนึงโดยใช้ผู้ชายสองถึงสามคนเอาจริงๆมันก็จับแล้วล่ะแต่ในกรณีขนาดผู้ชายตัวใหญ่ตั้งสามคนยังเอาไม่อยู่เลย
ไม่นานรอนก็วิ่งเข้ามาพร้อมกับเอาสร้อยบางอย่างมาใส่ที่คอของฉันก่อนที่ฉันจะกรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด แซนเล่าว่าในตอนนั้นฉันลงไปนอนกับพื้นจับที่คอพร้อมกับร้องโอดโอยอย่างทรมาณก่อนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้งและสั่นเครือ
“กูตายอย่างทรมานไม่มีคนเห็นศพ ไม่มีใครจัดงานให้ ไม่มีใครแม้แต่จะแลดู แต่กับมัน!!! ทั้งที่มันก็ตายไม่ต่างจากฉัน ฮือ!!! ทำไม!!!”
เสียงที่เปล่งออกมาแซนบอกว่ามันเหมือนไม่ใช่ฉันเลยด้วยซ้ำ มันเหมือนเป็นคนละคนไม่เหมือนฉันที่แซนรู้จักเลยสัดนิด
ไม่นานคุณยายของพี่โจ้ก็เดินเข้ามาพร้อมกับตรงเข้าไปจับแขนของฉันพร้อมกับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่สั่นว่า
“นั่นสายใช่มั้ยลูก”
ทันทีที่ได้ยินดังนั้นทุกคนก็ถึงกับหันมองหน้ากันที ฉันในตอนนั้นหันมองคุณยายด้วยหางตาพร้อมกับร้องไห้ออกมา
“แม่ ทำไมแม่ไม่ทำให้หนูบ้าง หนูก็ลูกแม่ไม่ใช่หรอ ทำไม…ทำไมล่ะ ทำไมถึงมีแต่มันที่ได้คนเดียว!!”
คุณยายโผเข้ากอดพร้อมกับพูดขอโทษซ้ำๆ
“แม่ขอโทษลูก แม่ขอโทษ”
ในเวลานั้นทุกคนต่างสงสัยและไม่เข้าใจอย่างมากแต่ก็ไม่กล้าที่จะถาม
“หนูอยากได้อะไรหนูบอกแม่มาสิลูก แต่อย่าทำแบบนี้เลย”
คุณสายในร่างฉันมองคุณยายด้วยสายตาที่แข็งขึงก่อนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ
“งั้นแม่ก็ห้ามจัดงานศพให้มัน ห้ามเผา ห้ามทำพิธีอะไรทั้งนั้น”
“ไม่ได้ลูก ถ้าทำแบบนั้นพี่เขาก็จะไม่ไปเกิด”
จบประโยคนั้นคุณสายก็ถึงกับยิ้มแสยะทันที
“แล้วหนูล่ะ แม่ไม่อยากให้หนูไปเกิดบ้างหรอ ไหนแม่บอกว่าอยากได้อะไรให้บอกไง แล้วนี่อะไร สุดท้ายแม่ก็เลือกมัน ฮือ!!!”
คุณสายปล่อยโฮออกมาก่อนที่ดอกไม้ต่างๆที่อยู่ด้านหลังจะล้มระเนระนาดอีกครั้งพร้อมกับเสียงกรีดร้องโหยหวนที่ทำเอาทุกคนที่อยู่ตรงนั้นถึงกับต้องวิ่งกรูออกไปข้างนอกด้วยความกลัวทันที
แต่ในจังหวะนั้นเองจู่ๆก็เสียงกรีดร้องก็หยุดไปเหลือแต่เสียงร้องไห้ แซนค่อยๆหรี่ตามองพบว่ามีใครบางคนยืนอยู่ตรงหน้าฉันที่นอนอยู่กับพื้น มันเป็นเงาลางเห็นไม่ชัดสักเท่าไหร่แต่มองลองเพ่งมองดีๆแล้วพบว่าเงานั่นคือน้าบัวแม่ของพี่โจ้นั่นเอง
คุณสายเงยหน้ามองก่อนที่จู่ๆเงาคนบางอย่างก็ค่อยๆลอยออกมาจากตัวของฉันก่อนที่เงานั่นก็มายืนที่ข้างน้าบัวก่อนที่ทั้งคู่จะไปเหลือแต่ร่างของฉันที่นอนสลบไสลและซากข้าวของที่กระจัดกระจายเต็มพื้น
“เธอไปแล้วล่ะ”
คุณลุงของพี่โจ้พูดขึ้นก่อนจะตรงเข้าไปพยุงคุณยายให้ลุกขึ้นมา ก่อนที่พวกแซนจะพาเข้าไปพยุงฉันและพามานอนพักที่รถก่อนเพื่อความปลอดภัย
ส่วนเรื่องวิญญาณสาวชุดเดรสดำตนนั้นพี่โจ้ก็เล่าว่าจริงๆแล้วเธอคือฝาแฝดน้าบัวที่ตายไปเมื่อสิบปีก่อน ส่วนสาเหตุที่เสียชีวิตนั้นก็มาจากที่วันหนึ่งเธอกำลังเดินกลับบ้านจากที่ทำงานแล้วจู่ๆก็โดนกลุ่มผู้ชายกลุ่มหนึ่งมาลักพาตัวเธอไปข่มขืนที่พงหญ้าก่อนจะฆ่าปิดปากเธอโดยการกระทืบและทุบที่ข้อเท้าของเธอจนตายก่อนจะโยนทิ้งร่างของเธอเอาไว้ในพงหญ้านั้นโดยที่ไม่มีใครหาศพของเธอเจออีกเลย
พอได้ยินเรื่องราวทั้งหมดฉันก็รู้สึกสงสารเธอขึ้นมาทันที ฉันเข้าใจเธอนะ เธอตายไม่ดีไม่พอหาศพก็ไม่เจอแถมยังไม่มีใครจัดงานศพให้เธออีกภายในใจของเธอคงจะแค้นและเศร้าน่าดู
หลังจากจบเหตุการณ์นั้นทางคุณลุงก็ตัดสินใจที่จะเผาร่างน้าบัวในวันนั้นทันทีพร้อมกับทำพิธีส่งวิญญาณคุณสายให้ไปสู่สุคติด้วยเพื่อที่จะให้พวกเขาทั้งสองได้ไปอยู่ด้วยกันในภพที่ดีกว่า

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา