10 ต.ค. เวลา 03:12 • ความคิดเห็น
"ครั้งนั้น ความปริวิตกแห่งพระหฤทัยบังเกิดขึ้นแก่พระผู้มีพระภาคผู้เสด็จเข้าที่ลับ ทรงพักผ่อนอยู่อย่างนี้ว่า
ธรรมที่เราตรัสรู้แล้วนี้
ลึกซึ้ง, เห็นได้ยาก, รู้ตามได้ยาก, สงบ, ประณีต, คาดคะเนเอาไม่ได้, ละเอียด, รู้ได้เฉพาะบัณฑิต
ก็หมู่สัตว์นี้แล
ยังยินดีด้วยอาลัย, ยินดีแล้วในอาลัยเบิกบานแล้วในอาลัย
ก็ฐานะนี้ คือ
ความเป็นปัจจัยแห่งธรรมมีสังขารเป็นต้นนี้, เป็นธรรมอาศัยกันและกันเกิดขึ้น
อันหมู่สัตว์ผู้ยินดีด้วยอาลัย, ยินดีแล้วในอาลัย, เบิกบานแล้วในอาลัย
จะพึงเห็นได้ยาก แม้ฐานะนี้ ก็เห็นได้ยาก คือ
ธรรมเป็นที่ระงับสังขารทั้งปวงธรรมเป็นที่สละคืนอุปธิทั้งปวง, ธรรมเป็นที่สิ้นตัณหา, ธรรมเป็นที่สำรอก, ธรรมเป็นที่ดับ, นิพพาน
*ก็ถ้าเราจะพึงแสดงธรรม แต่ชนเหล่าอื่นจะไม่พึงรู้ทั่วถึงธรรมของเรา
ข้อนั้น จะพึงเป็นความเหน็ดเหนื่อยของเรา
ข้อนั้น จะพึงเป็นความลำบากของเรา ฯ"
อนึ่ง ได้ยินว่า คาถาอันน่าอัศจรรย์ยิ่งนักเหล่านี้ ที่พระผู้มีพระภาคไม่เคยได้ทรงสดับมาแต่ก่อน เกิดแจ่มแจ้งกับพระผู้มีพระภาคว่า
*บัดนี้ เราไม่ควรจะประกาศธรรม ที่เราตรัสรู้แล้วโดยยาก
ธรรมนี้ เหล่าสัตว์ผู้ถูกราคะโทสะครอบงำแล้ว จะตรัสรู้ไม่ได้ง่าย
เหล่าสัตว์ผู้ยินดีแล้วด้วยความกำหนัด ถูกกองแห่งความมืดหุ้มห่อแล้ว จักไม่เห็นธรรมอันทวนกระแส ละเอียดลึกซึ้ง เห็นได้ยาก เป็นอณู ฯ
เมื่อพระผู้มีพระภาคทรงพิจารณาเห็นดังนี้
พระหฤทัยก็ทรงน้อมไปเพื่อความขวนขวายน้อย ไม่ทรงน้อมไปเพื่อทรงแสดงธรรม ฯ
อ้างอิง
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎ เล่มที่ ๗ สังยุตตนิกาย สคาถวรรค
พรหมสังยุต ปฐมวรรคที่ ๑ อายาจนสูตรที่ ๑
โฆษณา