10 ต.ค. เวลา 04:43 • ปรัชญา
ถ้าจำไม่ผิด ในพุทธศาสนา ได้อธิบายไว้เหมือนกันนะครับ ที่ว่าพระพุทธเจ้าจะมาตรัสรู้ต้องเป็นยุคสมัยที่ไม่ตกต่ำเกินไป แล้วไม่เจริญเกินไป เพราะว่าผู้คนจะมองไม่เห็นสัจจะความจริงที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ครับ
เราจะสังเกตเห็นว่าสังคมในยุคสมัยพุทธกาลค่อนข้างที่จะมีนักปราชญ์เยอะ เจ้าลัทธิศาสดาต่างๆเยอะมาก การแข่งขันปะทะโต้วาทีกันและกันในแต่ละลัทธิก็จะมีเยอะมากๆ
แสดงว่าในยุคนั้นผู้คนส่วนใหญ่ต่างแสวงหาสิ่งที่คล้ายกัน
ผมคิดว่าในยุคนั้นเนี่ย มนุษย์ที่เกิดมาค่อนข้างมีบารมีที่จะเต็มแล้ว หมายถึงอินทรีย์บารมีค่อนข้างแข็งแกร่งอย่างมาก
ถ้าหากเราว่ากันตามคัมภีร์ในพุทธศาสนา ที่บอกว่าสวรรค์ชั้นดุสิต ที่เป็นชั้นของพระโพธิสัตว์ที่รอตรัสรู้มาเกิดเป็นพระพุทธเจ้าในแต่ละยุคสมัย ก็แสดงว่าชาวสวรรค์ชั้นเทวดาต่างๆก็ต้องรับรู้ในการลงมาประสูติของพระพุทธเจ้า และต่างลงมาเกิดเพื่อรอคอยการตรัสรู้ของพระโพธิสัตว์น่ะครับ ดังนั้นจึงไม่แปลกนะครับที่สังคมในยุคนั้นจะเต็มไปด้วยผู้มีสติปัญญาที่ลึกซึ้งคมคาย
บางคนลงมาเกิดเพื่อรอพระโพธิสัตว์จนมีอายุแก่ชราแล้วก็มี บางคนลงมาเกิดทีหลัง หลังจากที่พระพุทธเจ้านิพพานไปแล้วก็มีครับ ชาวเทวดาสวรรค์ เขาก็อยากบรรลุธรรมตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่พวกเขาเคยอธิษฐานไว้ ดังนั้นจึงอนุมานได้ว่าสังคมในยุคนั้นค่อนข้างเต็มไปด้วยผู้มีสติปัญญาหลักแหลมนะครับ
คิดว่าในยุคนั้นคงจะเต็มไปด้วยพระอรหันต์ขีณาสพ บางคนก็มีบุญวาสนาใกล้ชิดกับพระพุทธเจ้าตั้งแต่เด็ก บางคนก็ผูกพันลึกซึ้งกับเจ้าชายสิทธัตถะเป็นครอบครัวเดียวกันก็มีครับ สังเกตบุคคลเหล่านี้ถ้าตามนิทานในเรื่องก็จะติดตามพระพุทธเจ้าไปเกิดเกือบทุกภพทุกชาติ ถ้าไปเป็นสัตว์เดรัจฉานก็จะเป็นเหมือนกัน อยู่ใกล้ชิดกันทั้งหมดเลยครับ ลองอ่านดูก็จะสังเกตได้นะครับ
โฆษณา