10 ต.ค. เวลา 06:54 • ความคิดเห็น
เรื่องราวของการสร้างบุญกุศล เราเคยฟังมา เรื่องการ ทำบุญ เรื่องราวของพระ เรื่อราวการชักผ้าป่า ..พระสมัยต้นพุทธกาล ท่านอยู่ป่า นานๆ ถึงจะออกมาบิณฑบาต อุบาสก ก็มานั่งรอ รอที่จะนำอาหารมาใส่บาตร พระที่ท่านเดินมา ..หากเห็นไม่พร้อม ไม่ได้มารอ ไม่มีกิริยา พร้อมที่จะ สร้างบุญกุศล ท่านก็เดินเลยผ่านไป
หากผู้ใดพร้อม มารอ พร้อมด้วยจิตใจ นอบน้อมในการกระทำสร้างบุญสร้างกุศลของตนเอง ระลึกว่า ได้นำธาตุทั้งสอง เอามือทั้งสองของพ่อแม่ ไปหยิบนำปัจจัยข้าวปลาอาหาร ที่ตนเหน็ดเหนื่อยหามา ด้วยกายพ่อแม่ที่จิตอาศัย กายพ่อแม่ที่จิตนั่นใช้ ก็เหน็ดเหนือย กายของใครกันที่เหน็ดเหนื่อย เมื่อนำมากระทำ สร้างบุญกุศล ก็นำกายพ่อแม่มาอยู่ในกิริยาที่ดี กิริยาของผู้ที่มีบุญ มีกายเแล้วบุญ กายก็นิ่ง จิตก็นิ่ง ตามองจ้องดูที่มือทั้งสองของพ่อแม่ ประคองข้าวห่อแกงห่อ
เมื่อพระท่านเห็นว่า กายนิ่ง จิตนิ่ง (พระสมัยนี้น อ่านวาระจิตออก) ดีแล้ว ก็เปิดบาตรให้ใส่ ใส่ไปแล้ว ก็ให้พูดให้หูได้ยิน กายบิดามารดาอนุโมทนา เพื่อบันทึกเรื่องราวของการสร้างบุญกุศลลงไปที่จ้ตที่ธาตุทั้งสี่ ว่าได้้นำกายบิดามารดามาสร้างเป็นบุญกุศล บุญกุศลนี้ก็จะย้อนไปหากายพ่อแม่ผู้ที่ให้กำเนิด เป็นการตอบแทนพระคุณพ่อแม่ เรื่ิงราวของการสร้างบุญกุศล ต้องพรัอมทั้งผู้ที่รับ และผู้ที่ยื่น หยิบปัจจุบัน มาสร้างบุญกุศล พร้อมด้วยกายวาจาใจ ในการสร้างบุญกุศล
เรื่องชักผ้าที่เค้าแขวนในป่า พระที่ไปขัก เห็นว่า จำเป็นต้องใช้ ท่านก็ชัก ผู้ที่ชัก ก็ต้องเป็นผู้ที่รับผิดชอบ ในสิ่งที่ตนเองไปชักมา ..ชักแล้วกายต้องมีการประพฤติปฏิบัติธรรม ตอบแทนคุณ แล้วก็ต้องนำธาตุ นะโม มากระจายบุญกุศล ส่งคืนให้กับ ผู้ที่อนุโมทนาผ้านั้นมา ผู้ใดที่ชักผ้ามาแล้ว ไม่ปฏิบัติธรรมส่งคืน ส่งบุญกุศลคืนไป ก็เหมือนเป็นหนี้ หนี้เวรกรรม ที่ผู้ที่ไปหามาด้วยความเหนื่อยยากลำบากกาย…แล้วมันเป็นทุกข์มั้ย
..เมื่อเป็นทุกข์ของผู้ที่สละมา สร้างเป็นบุญ เมื่อไปหยิบทุกข์ สิ่งที่เจือไปด้วยทุกข์ ก็ต้องเป็นหนี้เวรหนี้กรรมของผู้ที่อนุโมทนามา ..นั่นก็คือเมื่อไปกระทำไปกินไปหยุดจับ สิ่งที่เป็นน้ำเลือดน้ำหนองเจือปนไปด้วยกรรม นำมาประทังสังขารแล้ว ผู้ที่นำไปใช้ไปเสพ .ก็ต้ิงส่งคืน เป็นบารมีกุศลขึ้นมา
มีพระองค์หนึ่ง ท่านไปรอพบหมอที่โรงพยาบาล นั่งรอนังที่เก้าอี้รถเข็น มีคนนำปัจจัยมายื่นให้ ..ท่านก็เฉยๆ ..ถามโยมว่า โยมไม่เสียดายเงินทอง ที่เหยื่ิอยยากไปหามาหรือ เอามาให้ฉันทำไม ฉันไม่รับ . โยมก็ผงะ ..ท่านก็บอกว่า อยากจะให้ฉันรับ ก็ต้องทำตามที่ฉันบอก
..เอ้า..ทำตัวให้ดียืดกายตรงๆ หายใจลึกๆ ..มองดูที่มือ .จ้องมองอย่าให้ตาไปมเง มองที่มือทั้งสองของพ่อแม่ ที่หยิบปัจจัยมา มื่อซ้ายมารด มือขว่าบิดา ..ไปหาเงินทองมาเหน็ดเหนื่อย มองดู ..พูดว่า ..อ้อ ..กายนิ่ง ..จิตเฉย ไม่นึกคิดอะไร .. สำรวจตัวเอง หายใจลึก กั้นใจไว้ พูด ..กายนิ่ง จิตเฉย . พูดว่า จิตของข้าพเจ้าอาศัยอยู่ในเรือนกายของคุณบิดามารดา จิตของข้าพเจ้ามีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่ง
..แล้วท่านก็บอกให้ ทำกายนิ่งๆ จิตเฉย มองดูที่มือหยิบปัจจัยนั้น เมื่อเห็นว่า โยมนิ่งท่านก็บอกให้พูดบอกว่า กายบิดามารดาอนุโมทนา จึงวางผ้าลงให้โยมวางปัจจัยลงที่ผ้าที่ท่านวางลงไป แล้วท่านก็สวดให้พร ปัจจัยที่ญาตโยมถวายท่านมา ท่านก็เก็บไว้ในย่ามไม่ได้ กลับกุฏิต้องรีบไปวางหน้าพระ
..เรื่ิองปัจจัยที่เค้าถวาย มาท่านก็ไม่นำมาใ้ช้รักษาตัว ไม่ใช่เป็นการส่วนตัว ท่านก็ใช้เงินทองจากลูกของท่านที่มาดูแล ..ปัจจัยญาติโยม ท่านก็แบ่งไป กระจายไปเป็นบุญทาน เป็นภัตตาหาร ให้แก่พระชี ผู้ที่มาปฏิบัติธรรม ท่านก็กระจายบุญกุศลออกไปอย่างนั้น ท่านจะระมัดระวัง เรื่องปัจจัยที่เค้าอนุโมทนามา
เราคงตอบไม่ตรงที่ถาม ..ขอโทษะละกันน่ะ
โฆษณา