11 ต.ค. เวลา 05:20 • ท่องเที่ยว
วัดโสธรวรารามวรวิหาร

รถไฟไปฉะเชิงเทรา (ชื่อธรรมดา ที่แฝงความหมายการเดินทาง)

วันก่อนเดินทาง
ครั้งแรกที่พี่ไทน์ส่งโปสเตอร์ว่า รับสมัคร MiniCreativeTrail ผมเลยตัดสินใจสมัครเลย โดยที่ไม่คิดอะไร ผมเลยคุยกับผู้ช่วยผมว่า เราจะไปเรียนรู้ที่ไหนกันดี ผู้ช่วยเลยบอกผมว่า งั้นเราไปฉะเชิงเทรากันไหม อยากไปพอดีเลย ผมว่ามันก็ดีนะ เพราะว่าไม่เคยไป จากนั้นเราก็มีการประชุมกัน จนออกแบบเป็นโปรเจคนึงที่ชื่อว่า รถไฟไปฉะเชิงเทรา แต่.............เราไม่ได้จบแค่ไปฉะเชิงเทรา แต่เราจะไปวัดใกล้ๆบ้านด้วย เช่นวัดไตรมิตร วัดมังกร วัดคอกหมู ฯลฯ
วันเดินทาง และ หลังเดินทางเสร็จ 30.8.67
เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้นคือ ผู้ช่วยผม ติดสอบของมหาลัยรามคำแหง ทำให้ไม่สามารถไปกับผมได้ ผมเลยตัดสินใจไปเอง โดยเลือกเที่ยวรถไฟ เวลา 8.00 - 9.30 น. ที่สถานีกรุงเทพ(หัวลำโพง) ราคา 13 บาท ในระหว่างการเดินทาง ผมได้พบเจอผู้คนหลากหลายร้อยพ่อพันแม่ ไม่ว่าจะเป็นคนขายของบนรถไฟ (ที่ส่วนตัวแนวคิดผมคือ น่าจะเปิดอีกตู้ที่ใช้ขายของไปเลย โดยให้ผู้ขายจ่ายค่าเช่า การรถไฟจะได้มีรายได้จากส่วนนี้ และสะดวกต่อการเดินหรือนั่งในรถไฟ) นักศึกษาที่จะทำไปมหาลัย พี่ป้าหน้าอาที่ไปท่องเที่ยว กลับบ้าน ฯลฯ
พอถึงสถานีชุมทางฉะเชิงเทราเสร็จ ผมเจอรถสองแถวสีเหลือง กับลุงคนนึงที่ตะโกนตลอดเวลาว่า "หลวงพ่อครับ ไปวัดหลวงพ่อ" ค่ารถเพียงแค่ 10 บาท ระหว่างการเดินทางผมรู้สึกถึงความแตกต่างมากระหว่างกรุงเทพฯ กับ ฉะเชิงเทรา ตึกรามบ้านช่อง การคมนาคม ต่างๆ ทำให้ผมรู้สึกว่า กรุงเทพที่เป็นบ้านเกิดผม วันๆ ตั้งแต่เช้าถึงเย็นต้องกระตือรือร้น แต่ที่นี่กลับไปเรื่อยๆ ใช้ชีวิตธรรมดา พอถึงวัดหลวงพ่อ ผมนี่เรียกได้ว่างงเลย ก็อาศัยการตามผูัอื่นบ้าง อ่านป้ายบ้าง สอบถามพ่อค้าแม่ขาย ผู้ดูแลวัดบ้าง ก็วนไปจนไหว้พระทำบุญ ทำสังฆทานเสร็จ ผมเอ๊ะใจสิ่งนึงคือ ทำไมเขาต้องไหว้ไข่? แล้วไข่คือเยอะมากจนนับไม่ถ้วน ผมเลยเข้าไปถามว่า ทำไมต้องไหว้ไข่หรอครับ ผู้ดูแลวัดบอกว่าอ๋อหลวงพ่อท่านชอบกินไข่ และสมัยก่อนฉะเชิงเทราเป็นแหล่งเลี้ยงไก่ ที่แท้การไหว้ไข่มาจากเหตุการณ์นี้นี่เอง ผมหายข้อสงสัยผมก็ไปทานข้าวที่ตลาดพร้อมกับซื้อของฝากกลับบ้าน นั่นคือขนมจาก ผมงงเลยมีหลายเจ้ามากกกก เลือกซื้อไม่ถูกเลย สุดท้ายผมเลยเลือกซื้อเจ้าที่ไม่ใช้แม็กในการหนีบหรือกลัดใบจาก แต่ใช้ไม่หลุดแทน พร้อมกับถามคุณยายที่ขายว่า ทำไม่ต้องขายขนมจากครับ คุณยายตอบว่าที่นี่อ่ะใบจากมันเยอะ เขาเลยมาทำใช้ห่อขนมกัน และเป็นของฝากของเมืองแปดริ้ว ผมนี่เกาหัวเลย แปดริ้ว? ทำไมถึงชื่อแปดริ้ว คุณยายบอกว่า ก็ไม่รู้เหมือนกันน่ะ ยายอยู่มาเขาก็เรียกแล้ว ผมเลยต้องค้นหาโดยการถามอากู๋ อากู๋ก็บอกว่า ที่นี่เป็นแหล่งอุดมสมบูรณ์ อู่ข้าวอู่น้ำ ทำให้มีปลาช่อน พอแล่ออกมาก็ยาวถึง 8 ริ้ว จึงเรียกว่า เมืองแปดริ้วนั่นเอง
พอซื้อของเสร็จผมจะนั่งรถสองแถวไปลงที่สถานีชุมทางฉะเชิงเทรา จากนั้นก็ซื้อตั๋วรถไฟกลับ ในเวลา 12.35 - 14.10น. ในระหว่างเดินทางกลับ ผมจึงเขียนเรื่องราวตลอดการเดินทางที่เกิดขึ้นไว้ในโน๊ตที่ทุกท่านกำลังอ่านอยู่นี้
หลังจากที่ถึงกรุงเทพฯ ผมได้มองย้อนกลับไปรถไฟที่ผมนั่ง พร้อมกับพูดว่า "การเดินทางคนเดียวก็สนุกเหมือนกันนะเนี่ย" มันทำให้ผมนั้นได้ออกจากตัวเมือง 50 เขต ไปสัมผัสบรรยากาศใหม่ๆ ได้ทั้งสาระและความรู้จากการเดินทางครั้งนี้ ตามที่ผมได้เขียนไปในข้างต้น
#รถไฟไปฉะเชิงเทรา #Feeltrip #MiniCreativeTrail #วัฒนธรรมการเรียนนรู้ใหม่
โฆษณา