12 ต.ค. เวลา 06:43 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์

REVIEW JOKER : FOLIE À DEUX (2024) : วินาทีแห่งการจองจำ ความรักและท่วงทำนองจะนำพาซึ่งเสรีภาพ

ก็นับเป็นความกล้าของ Todd Phillips อีกครั้ง ภายหลังจากรอบก่อนที่เขาเลือกจะหยิบจับวัตถุดิบจากจักรวาลซูเปอร์ฮีโร่ที่ควรจะผ่อนคลาย มาบอกกล่าวเล่าความในมุมที่เงียบขรึม ซีเรียจ เสียดสีประเด็นหนักอึ้งของสังคมอย่างชัดแจ้ง ซึ่งในคราวนี้ Joker : Folie à Deux ก็ได้ถูกครอบหัวด้วยรูปแบบการเล่าแบบมิวสิคัล ซึ่งก็นับว่าแปลกใหม่บ้าบิ่นอยู่ไม่น้อยทีเดียวสำหรับภาพยนตร์ที่ดัดแปลงจากคอมมิคเรื่องนี้
ชั้นเชิงในเรื่องงานภาพยังคงนับว่าเบ็ดเสร็จเด็ดขาดเช่นเดิม เพิ่มเติมคือเรื่องซาวด์ (ซึ่งแม้ในภาคก่อนก็ดีมากเกินพอจนคว้าเบสท์สกอร์แล้ว) ก็โดดเด่นและมีบทบาทอย่างมากในภาคนี้ ซึ่งก็มาทดแทนในส่วนของบทพูดของภาพยนตร์ที่ถูกลดทอนความสำคัญลงไป และใช้ “เพลง” มาเป็นสื่อกลางที่ร้อยเรียงและบอกเล่าเรื่องราวทั้งหมดแทน
ซึ่งก็ต้องยกยอว่า Folie à Deux สามารถถักทอความงดงามทางด้านภาพและใช้ซุ่มเสียงทุกรูปแบบออกมาเป็นชิ้นงานที่มีความละเมียดละไมอย่างมากเสียเหลือเกิน สไตล์ภาพที่ดิบทะมึน สกอร์ที่คาดคั้น อึดอัด รวมถึงการเลือกเพลง Jazz Soul R&B ที่โด่งดังในหลายช่วงยุคมาใช้ก็ปลุกเร้าอารมณ์ร่วมของเราให้เคลิบเคลิ้มไปกับภาพยนตร์ได้อย่างดีตลอดช่วงเวลา 138 นาที
ในทางเนื้อเรื่อง สิ่งที่แปลกแตกต่างก็คือการที่ผู้สร้างเลือกจะเจาะจุดเริ่มต้นเรื่องราวความรักความสัมพันธ์แรกเริ่มของ Harley Quinn และ Joker ซึ่งไม่เคยมีภาพยนตร์เวอร์ชั่นไหนเคยพาเราไปสำรวจมาก่อน อีกทั้งยังตีความตัวละคร ลี ควินเซล ออกมาได้อย่างแตกฉาน จนคลี่คลายถึงความหมกมุ่นหลงใหลในตัว Joker ของเธอออกมาได้อย่างสมเหตุสมผล แบบที่ไม่เคยมีเวอร์ชั่นไหนทำได้มาก่อนเช่นกัน
โดยที่มวลรวมทั้งหมดยังคงยืนพื้นบนฐานของความเป็นมนุษย์อยู่อย่างเต็มเปี่ยมเช่นเดิม ความรักที่ชักจูงนำพา ท่วงทำนองที่ถูกขานขับเพรียกหาเสรีภาพ จวบจนถึงการลงเอยของ “ชีวิตจริง” ที่ฉีกขาดความหวังของผู้ชมจนขาดวิ่น
อย่างน้อยๆ ในห้วงเวลานี้ที่การวิจารณ์ภาพยนตร์มีศัพท์อย่าง Slow Cinema ถูกคิดและหยิบยกขึ้นมาใช้อยู่บ่อยครั้ง มันก็เป็นภาพสะท้อนอย่างดีถึงความอดกลั้นของผู้ชมที่นานวันยิ่งถดถอยน้อยลง ถึงอย่างนั้นผู้สร้างก็ไม่เลือกที่ฉกฉวยโอกาสจากความสำเร็จของภาคก่อนหรือไหลลอยคล้อยตามไปกับพลวัตที่ผันแปร กลับกันกลับซื่อตรงต่อสิ่งที่อยากจะเล่า และปกปักษ์ไว้ซึ่งศาสตร์แห่งศิลปะ
ภาพยนตร์อย่าง Folie à Deux ที่มีความพยายามจะฉีกขอบเขตการรับรู้งอกเงยของจินตนาการที่อิสระเสรีนั้น จึงนับเป็นภาพยนตร์ที่ควรค่าแก่ความน่านับถือ แต่ก็น่าเสียดายที่มันยังไม่เป็นที่ถูกใจของคนหมู่มากอยู่ในช่วงเวลานี้ หากแต่เราเชื่อมั่นอย่างมากว่า ในอนาคตนั้น Folie à Deux จะเป็นภาพยนตร์ที่ถูกกลับมาให้ความสำคัญในฐานะภาพยนตร์ชั้นครูและกอบกู้เครดิตที่กำลังถูกย่ำยีอยู่ ณ ตอนนี้ขึ้นมาอย่างแน่นอน
โฆษณา