12 ต.ค. 2024 เวลา 08:23

ICEBERG MODEL

ทฤษฎีภูเขาน้ำแข็ง (ICEBERG MODEL): มองลึกลงไปในสมรรถนะของบุคคล
ทฤษฎีภูเขาน้ำแข็งเป็นแนวคิดที่น่าสนใจซึ่งคิดค้นโดย Dr. David McClelland นักจิตวิทยาชื่อดัง ทฤษฎีนี้ใช้ภูเขาน้ำแข็งเป็นอุปมาในการอธิบายบุคลิกภาพและสมรรถนะของบุคคลในองค์กร เพื่อช่วยในการประเมินและพัฒนาศักยภาพของพนักงานได้อย่างตรงจุด
ทฤษฎีนี้แบ่งสมรรถนะออกเป็น 2 ส่วนหลัก:
ส่วนที่มองเห็นได้ (เหนือผิวน้ำ):
ทักษะ (Skills): ความสามารถในการทำงานที่บุคคลนั้นๆ ทำได้ดี
ความรู้ (Knowledge): องค์ความรู้เฉพาะทางที่บุคคลมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง
ส่วนนี้สามารถสังเกตและประเมินได้ง่าย รวมถึงพัฒนาได้ไม่ยากนักผ่านการฝึกอบรมและการศึกษา
ส่วนที่มองไม่เห็น (ใต้ผิวน้ำ):
บทบาททางสังคม (Social Role): หน้าที่และความรับผิดชอบที่บุคคลแสดงออกต่อสังคม
ภาพลักษณ์ภายใน (Self-Image): ทัศนคติและความเชื่อเกี่ยวกับตนเอง
อุปนิสัย (Trait): บุคลิกลักษณะประจำตัวที่แสดงออกในชีวิตประจำวัน
แรงจูงใจ (Motive): แรงผลักดันภายในที่นำไปสู่การกระทำและเป้าหมายของแต่ละคน
ส่วนนี้มีขนาดใหญ่กว่าและมีความสำคัญมาก เพราะเป็นแรงขับเคลื่อนเบื้องหลังพฤติกรรมการทำงาน แต่ก็ยากต่อการประเมินและพัฒนา
การนำทฤษฎีภูเขาน้ำแข็งไปใช้:
การคัดเลือกบุคลากร: นอกจากดูทักษะและความรู้แล้ว ควรพิจารณาปัจจัยที่อยู่ "ใต้น้ำ" ด้วย เช่น แรงจูงใจและค่านิยมที่สอดคล้องกับองค์กร
การพัฒนาบุคลากร: ออกแบบโปรแกรมพัฒนาที่ครอบคลุมทั้งส่วนที่มองเห็นและมองไม่เห็น
การบริหารผลงาน: ประเมินผลงานโดยคำนึงถึงปัจจัยทั้งหมด ไม่ใช่แค่ผลลัพธ์ที่มองเห็นได้
ทฤษฎีภูเขาน้ำแข็งช่วยให้เราเข้าใจว่า การพัฒนาบุคลากรให้มีประสิทธิภาพนั้น ต้องมองให้ลึกลงไปกว่าแค่ทักษะและความรู้ที่มองเห็นได้ การเข้าใจและพัฒนาส่วนที่อยู่ "ใต้น้ำ" จะช่วยสร้างความเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนและนำไปสู่ความสำเร็จขององค์กรในระยะยาว
ตัวอย่างการใช้โมเดลในการประเมินพนักงาน:
สมมติว่าบริษัทกำลังประเมินพนักงานสองคนสำหรับตำแหน่งผู้นำ
พนักงาน A:
ส่วนที่มองเห็น: มี MBA และความรู้ด้านการเงิน มีทักษะการวิเคราะห์ที่แข็งแกร่ง
ส่วนที่ซ่อน: ชอบทำงานคนเดียว มุ่งเน้นรายละเอียด แรงจูงใจคืออำนาจและการควบคุม
พนักงาน B:
ส่วนที่มองเห็น: มีประสบการณ์ด้านการจัดการทีม เก่งด้านการจัดการโครงการและแก้ไขความขัดแย้ง
ส่วนที่ซ่อน: มองตัวเองเป็นผู้เล่นทีม ชอบปรับตัว แรงจูงใจคือความสัมพันธ์และความสำเร็จร่วมกัน
การตัดสินใจโดยใช้โมเดลภูเขาน้ำแข็ง:
แม้ว่าพนักงาน A จะมีความรู้ทางเทคนิคที่แข็งแกร่งกว่า แต่สมรรถนะที่ซ่อนอยู่ของพนักงาน B เช่น ความสามารถในการปรับตัว การทำงานเป็นทีม และรูปแบบการเป็นผู้นำที่เน้นความสัมพันธ์ อาจทำให้เขาเหมาะสมกับตำแหน่งผู้นำมากกว่า
การใช้โมเดลภูเขาน้ำแข็งเพื่อความเข้าใจที่ลึกซึ้ง:
สังเกตและวัดสมรรถนะที่มองเห็นได้
สำรวจชั้นที่ลึกกว่าผ่านการสัมภาษณ์และการประเมินทางจิตวิทยา
เข้าใจผลกระทบของปัจจัยที่ซ่อนอยู่ต่อประสิทธิภาพการทำงานในระยะยาว
โมเดลนี้ช่วยให้องค์กรมองไกลกว่าคุณสมบัติที่เห็นได้ชัด และค้นหาคุณสมบัติที่ซ่อนอยู่ซึ่งขับเคลื่อนประสิทธิภาพและความสำเร็จในระยะยาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตำแหน่งผู้นำ
โฆษณา