13 ต.ค. เวลา 02:06 • ปรัชญา
ปลดเปลื้องข้างนอก แล้วจึงปลดเปลื้องภายใน
เราได้ฟังเรื่องราว ที่ว่าท่านเกิดมาดูนิสัยมนุษย์ นิสัยมนุษย์นั่นชอบที่อยากจะเป็นใหญเป็นโต อยากมีบ้านใหญ่ๆ เก็บยึดเค้ามา มากมายก่ายกอง เอาเข้ามาห้อมล้อมกายห้อมล้อมจิต พอเก็บสะสมมามากเข้าๆ ร่างกายมันก็แก่เฒ่า เจ็บไปเรื่อยๆ ก็ไม่มีเวลา ที่จะดูแลปัตกวาดเช็ดถู พอมีบ้านใหญ่ พอมันเก่า มันก็ผุกร่อน ต้องซ่อมแซมดูแล ที่เข้ากรรมนั้นเ่ราไปเอาเข้ามาเอง
อยู่ตัวคนเดียวไม่พอ ก็ต้องไปขันธ์ห้าของคนอื่นมาแบก อยากมีแฟนมีสามีภรรยา มีกิ๊กมีกุ๊กกิ๊ก เรื่องราวพวกนี้ มันก็เป็นกรรมห้อมล้อมกาย ..ในลักษณะที่เค้าว่า อารมณ์กรรมนั้นมันก็อยู่ข้างกาย . อารมณ์ก็อยฟู่ข้างจิต เดี๋ยวนึกอยากเดินไปหยิบสิ่งสิ่งนั่นสิ่งนี้มาใช้ ก็เหมือนจิตที่หยิบเอาอารมณ์มาใช้ นึกถึงคนนั้นคนนี้ไม่ดี ก็ไปติเตียน ไม่ชอบใจเค้าอีกแล้ว นั่นก็คือ กายนั้นก็อยู่ดี ..ก็ใช้กายให้มีกรรม เอากายไปสร้างกรรมบ้าง กรรมที่ตัวเองยึดอารมณ์ที่เกิดขึ้น
แล้วเราก็มาดูว่า เรื่องของความยึดถือนั้น ที่เป็นสาเหตุให้มีกรรม ต้องมาเกิดเกิดตายๆ ก็เพราะเราเกืดมาสะสมกรรม ทั้งข้างนอกข้างใน บ้างก็ว่า ฉันปล่อยวาง ..มันจะปล่อยวางได้ยังไง ก็ยังยึดอยู่อย่างนั้น
คราวนี้ลองดูเรื่องราวของกายปล่อยวาง .. การปลดเปลื้องกรรม ความยึดถือ ..เจ้าชายสิทธัตถะ ท่านปลดเปลื้องสิ่งภายนอก ..ปลดทิ้งโครม ..เดินออกจากเวียงวัง ไปอยู่ป่าด้วยเสื้อผ้าชุดเดียว มีน้ำเลือดน้ำหนองของผู้ที่มีกรรม ที่ไปกินเค้ามา ก็ยังหล่อเลี้ยงสังขาร ไปอยู่ป่า ไปนั่งนิ่งๆ จิตนิ่ง..ไม่ขยับเขยื้อนกาย ไม่ใช้อารมณ์ ..อารมณ์อะไรเกิดมาก็นิ่ง นิ่งเพื่อจะปลดเปลื้องอารมณ์นั้นออกไป นั้นคือ การปลดเปลื้อง ชำระสะสางทั้งข้างนอกข้างใน
คราวนี้ เมื่อเราสละทั้างข้างนอกข้างใน ทำทีเดียวไม่ได้ เพราะมันยึดอยู่ ..เราก็ค่อยสละสิ่งที่เรายึกนั้นออกไป สละเป็นทานเป็นบุญออกไป สิ่งอยู่ข้างกายข้างจิต หรือ อารมณ์โลภโกรธหลงจะได้น้อยลงไป
บางที่เราก็เข้าไม่ชัดเจน ว่า ชีวิตที่เกิดมีเจ็บมีตาย ชีวิตมนุษย์นั้นมีระยะเวลาสั้นๆ แล้วก็ต้องเดืนทางออกจากกาย ไปอยู่ตามที่ต่างๆ เราก็ไม่สนใจที่จะเรียนรู้ศึกษาขึ้นมา จิตคนเรา พอพูดให้ได้ยิน ..เรื่องราวการสร้างบุญกุศล ก็มักเบือนหน้าหนี่ เห็นไม่มีความสำคัญ
..ช่างไม่เมตตาสงสารจิตของตัวเองเลย ว่า จิตออกจากกายไม่มีชีวิตเป็นมนุษย์อีกแล้ว จิตจะไปอยู่ที่ไหนอีก มีพระเตือนเราบ่อยๆ ให้เมตตาตัวเองสงสารจิตตัวเอง อากาศในโลก ก็เป็นพิษมากขึ่น ให้ได้สูดกันถ้วนหน้า สูดเข้าไปเพื่อละลายสังขารมนุษย์ ดินฟ้าอากาศก็จะเก็บจิตมนุษย์ไปเรื่อย .. เมื่อจิตออกจากกาย ..ไม่มีบุญกุศลบารมี ..ไปไหนๆ ไปโน้น ..อยู่ที่ไหน ..อยู่ในนรก
เรื่องของการขยับเขยื้อนกาย ..มันมีเรื่องราวของการเปลี่ยนแปลงเรื่องราวของขันธ์ห้าเกิดขึ้น มันเปลี่ยนแปลงไปเรื่อย มันพิศดาร ในคำว่า รูปเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณ จิตขยับเขยื้อน ไปอาศัยรูป . รูปของจิตมีกรรม รูปของจิตที่มีบุญบารมี เค้าก็เรื่อนรู้ที่พิศดาร ไม่ใข่แค่ ขันธ์ห้านี้ไม่เที่ยง ก็นึกเอาทั้งที่ตัวเองก็อาศัยในรูป ..ยังออกจากรูปนี้ไม่ได้ แต่พูดเสียก่อนแล้ว
..ที่เค้าว่า รู้แล้วๆ แต่ก็ไม่กระทำให้จิตของตน เรียนรู้จักด้วยจิตของตนเอง ว่าทำไมถึงหลงใหลรูป.นี้นัก ..ก็มันยึดถืออยู่อย่างนี้ ยึดปลดเปลื้องทิ้งเรื่องข้างในไม่ได้ มันจึงต้องมาเกิดแก่เจ็บตายกันเรื่อยไป..ไม่รู้ว่า อะไรทำให้จิตต้องมาเกิด ..ไม่รู้จักความทุกข์ของจิตเลย
เราเกิดมาเรียนรู้ ..บางคนห้อยพระเสียเต็มคน พระ..นั่น ท่านสงบ ท่านยุติการสร้างเวรกรรม นี่มันแปลก ..ก้อยพระเต็มคอ กลับไปยิงไปฆ่าคนเค้าตาย ..เราก็มาดู ..อ้อ..เค้าปลุกเสกกันด้วยคาถาอาคม ที่พระ(จิตที่เป็นพระ)ท่านก็ไม่ไปยึ่งเกียว อุปโลกน์ให้คนหลงใหลว่าดี ของดี ..ห้อยของดีแต่กลับสร้างกรรม ทะเยอทะยาน อยากได้ ยศฐานบรรดาศักดิ์ อยากใหญ่โตกว่าผู้อื่น ใหญ่โตไปทำไม .ซไปเพื่อรังแกข่มแหงผู้อื่น ..แล้วจิตดวงนั้นได้อะไร
..บ้างก็คดโกง เอาเงินโกงกินไปเลี้ยงครอบครัวบุตรธิดา เงินทองมีแต่กรรมที่แฝงมา มันก็นำความเดือดร้อน สู้ครอบครัวบุตรธิดา …ของแบบนี้มันมองยากหน่อย แต่ก็มันก็มีเวลา .เวลาที่เส้นทาง.ชีวิตที่ต้องเจอะเจออุปสรรค เกิดขึ้นที่กายหล่อเลี้ยงด้วยกรรม อยู่กับกรรมก็ไม่รู้จักกรรม
โฆษณา