13 ต.ค. เวลา 03:00 • ความคิดเห็น
โลกนี้หล่อเลี้ยงด้วยอะไร ขึ้นชื่อว่า มีรูปเป็นสัตว์ ก็ทะเยอทะยาน หา..สิ่งที่เรียกว่า น้ำเลือดน้ำหนอง มาหล่อเลี้ยงสังขาร เป็นพืชก็ อาศัยราชอนไชไปหาอาหาร น้ำเลือดน้ำหนอง หล่อเลี้ยงลำต้น แต่เกิดเป็นสัตว์ ..ก็มีระบบรากไม้ อยู่ที่กระเพาะลำไส้ ต้องไปหาน้ำเลือดน้ำหนอง จากข้างนอก ไปหาจากพื้ชบ้าง เนื้อของผู้ที่มีกรรม ทะเยอทะยานเสาแสวงหา มาเคี้ยวกลืนลงไป ไปเอาน้ำเลือดน้ำหนองของสัตว์มีกรรม มากิน
..กินไปกินมา มันก็กรรมแฝง ในน้ำเลือดน้ำหนอง กินไปกินมาก็มีกรรม สะสมมากขึ้น สัตว์มีกรรม มันมีอารมณ์มั้ย ..มนุษย์ไปกินเค้า มันก็ต้องมีอารมณ์กรรม ต่างานานา ตามเยี่ยงอย่างสัตว์มีกรรม ที่ว่า โลกนี้ หล่อเลี้ยงด้วยกรรม สัตว์ก็มีราคะ ก็มีอารมณ์ คนก็มีราคะ ก็มีอารมณ์ มันต่างๆกันที่ สัตว์ไม่พูดไม่ได้ คนพูดได้ สัตว์พูคพว่าพ่อแม่ไม่ได้ คนพูดคำว่าพ่อแม่ เลี้ยงดูพ่อแม่ได้ ส่วนสัตว์นั้น พอโตขึ้นก็แยกย้าย ไม่รู้จักพ่อแม่เสียแล้ว
เป็นมนุษย์เกิดในป่า ก็กินของในป่า สุกๆดิบๆ พอให้มากินอาหารของคนเมืองปรุงสุก รสนั้นรสนี้ กลับยอกว่า ไมชอบ ..อยากจะกินแบบทร่เคยชิน สุกๆดิบๆ เรื่องนิสัยที่แตกต่างกัน มันไม่เหมือนกันได้เลย เค้าว่า อารมณ์กรรมตัวกระทำ ที่สะสมมาของจิตแต่ละดวง ไม่หมือนกันเลย
คำว่า น้ำเลือดน้ำหนอง นี้ พอพูดถึงมันนึกรังเกียจ แต่เราก็ไม่เคยพิจารณา ..มันพัวพันด้วยเรื่องราวหลายๆอย่างๆ น้ำเลือดน้ำหนองที่หล่อเลี้ยงกาย มันก็มีผู้ที่กินน้ำเลือดน้ำหนองมาเกาะกินน้ำเลือดน้ำหนองต่างๆ มาเกาะกิน เหมือนเปบือกต้นไม้ใหญ่ ..ใต้ผิวหนัง ก็มีอะไรมากัดกินน้ำเลือดน้ำหนอง ที่ว่า พอตายไป ..หนอนอะไรต่างๆ ก็ผุดออกมากัดกินกายที่เน่าเปื่อย .ย่อยสลายไป ..
เรื่องของการเกิด เกิดมามีกายเป็นมนุษย์ แม้แต่จิตที่เป็นเทพยดาอินทร์พรหม ท่านก็กลัว กลัวว่า หมดบุญที่เป็นเหมือนก้อนน้ำแข็งละลายหมด ก็ต้องลงมาเกิด
เกิดมามีกายเป็นมนุษย์ ..ก็เริ่มสะสมบุญกุศลบารมีใหม่ ต้องมากายที่ต้องมีภาระดูแล เอาน้ำเลือดน้ำหนองมาหล่อเลี้ยงเรือนกาย เอาเข้ามาสะสม สะสมธาตุของกรรมน้ำเลือดน้ำหนองของผู้ที่มีกรรม ทำอย่างไรหนอจึงจะทำให้กายที่มีกรรม นั้นเกิดเป็นกายบุญขึ้นมาได้ แล้วใช้ประโยชน์จากายพ่อแม่ที่ให้จิตอาศัย สร้างสิ่งที่เป็นคุณให้แก่จิตของตน ซึ่งมันก็มีความแต่ต่างกัน ในคำว่า จิต จิตมา ..จิตไป.. ไปที่ไหน ..ก็ต้องเรียนรู้จักด้วยจิตของตน
.. เรื่องหนึ่งที่มีความสำคัญคือเรื่องของคำว่า กัลยาณมิตร ..เหมือนพระสารีบุตร ได้เจอะเจอ พระอัสสชิ ..พูดเพียงว่า สิ่งต่างๆ ไหลมาแต่เหตุ ..เพียงแค่นี้ ก็สะกิดเข้าไปถึงจิต . จิตที่สะสมบุญกุศลเรียนรู้มา สะสมปัญญาธรรมมา ท่านก็เข้าใจได้ ว่า ท่านต้องทำอะไร ให้แก่จิตของท่าน เพื่อยุติการเกิด ด้วยคำพูดไม่กี่คำจองพระอัสสชิ
โฆษณา