14 ต.ค. เวลา 07:01 • ความคิดเห็น
เราต้องมาดูว่า ให้มันชัดเจน คำว่าความสุขสบายนั้น มันเป็นมายาให้บำรุงบำเรอกาย จิตนั้นก็รับใช้ ที่มีอารมณ์ปรุงแต่งกาย ปรุงแต่งหูตาจมูกลิ้นกายใจ ให้รู้สึกว่าชิบว่าสุขสบาย ตามที่อารมณ์ปรุงแต่งนั่นต้องการ ให้ยึดอยู่กับการ ยึดให้ที่หลับที่นอน นุ่มๆนิ่มๆ มีที่เย็นๆ ให้พอดีให้กายสุขสบาย ร้อนไปหนาวไป ตากแดดก็ไม่ชอบ ใครมาติเรือนกายนี้ไม่ดี ..ก็ไม่ชอบ หงุดหงิด ไปตามลมปากที่เค้าติเตียน ..ฉันก็ว่า ฉันอยู่บ้านฉันดีๆ สะดวกสบาย แกว่าบ้านฉันทำไม ฉันก็รักบ้านหลงบ้าน ยึดบ้านนี้อยู่ มันกินอยู่สบาย
อนิจจา วะตะ สังขารา . บ้านหลังนี้ อยู่ๆไป ไฟมันมืดมันดับ มองไม่เห็น ความเจ็บปรวย แก่เฒ่าชรา คืบคานมา มันกัดมันกร่อนไปเรื่อย .น้ำเลือดน้ำหนอง อุตส่าห์กิน ..เอาอาหารดี ปนเปรอเข้าไป มันก็กลายเป็นของสกปรกออกมา น้ำเลือดน้ำหนองนั้นเป็นกรรม เป็นสีดำสีม่วง ลมที่เข้าที่ออก.เอาออกซิเจนเข้าไป มันก็ไม่เข้าไปเสริมในให้อากาศในน้ำเลือดน้ำนองพอเพียง มันก็บูดเน่า
ก็มีผู้ที่กิน น้ำเลือดน้ำหนอง เหมือนเร่ มากัดกิน หาน้ำเลือดน้ำหนองไปเลี้ยงกายตนเองบ้าง ก็ค่อยแบ่งปัน น้ำเลือดน้ำหนองนั้นกายนั้นไป มีผู้ที่จะเข้ามกัดกินน้ำเลือดน้ำหนองในเรื่อนกาย มียุง มีพยาธิ ต่างๆเข้ามากันกินที่กาย
แม้ไม่ได้้กัดกินที่จิต แต่จิตนั้นก็รับทุกขเวทนา เพราะอาศัยอยู่ในกาย จิตอยู่ใต้ฟ้า..ใต้ฟ้าที่มีวิญญาณโลภโกรธหลง ปกคลุมอยู่ ปิดบังจิต มองไม่เห็นว่า สิ่งที่นำกายไปหามา นั้นเป็นกรรม พอไปเอามากเข้า มันก็กัดกันทั้งเรือนกาย เหมือนปลวกที่แทะบ้านมาประทังสังขาร ปลวกกักินบ้านทั้งหลัง ก็ขับถายของ้สียออกมา เหมือพยาธ้ ต่างๆที่มาเกาะกินเรือน ให้กายนี้ ต้องเสื่อนสลาย กายไปจากโลก จากไปด้วยจ้ต ที่บุญกรรมติดตามไป
โฆษณา