15 ต.ค. เวลา 09:44 • กีฬา

สงขลา มาเพื่อแชมป์! “สมิหลา” สนามแตก ฟาดแชมป์แรกที่ “ภูธร”

เชียงใหม่
เชียงราย
สงขลา
คือ 3 จังหวัดแคนดิเดตสุดท้ายที่แย่งการคว้าสิทธิ์เป็นเจ้าภาพ คิงส์ คัพ 2024 สุดท้าย สงขลา เป็นผู้ชนะ
แม้ว่าก่อนเกมนัดชิงชนะเลิศกับ ซีเรีย ยังมีกระแสดราม่ามาแว่วๆ เริ่มจากเกมแรกหลังพายุฝนตกลงมาอย่างหนัก ฝ่ายจัดรับมือไม่ทัน ส่งผลให้ต้องพักไปนาน 1 ชั่วโมง ก่อนจะกลับมาแข่งจนจับในสภาพสนามที่ไม่ 100%
ไม่เพียงเท่านั้นยังมีภาพน้องหมาลงมาป่วน ให้หลายคนวิจารณ์ บ้างก็ถึงขั้นแซะ แต่อย่างที่บอกไปหาก สงขลา เป็นรังเหย้าให้ทีมชาติไทยได้แชมป์ ทุกคนจะลืมภาพดังกล่าวทันที
สุดท้ายเกิดขึ้นจริงๆ กับแมตช์ที่มีทุกอารมณ์ และปิดท้ายด้วยลูกไฟของ ชนาธิป สรงกระสินธ์ ซัดประตูชัย ประตูแชมป์ในนาทีบาป 90+1 คว้าแชมป์ คิงส์ คัพ สมัยที่ 16 ไปครอง
ทีมชาติไทย :16 ครั้ง
เกาหลีใต้ : 11 ครั้ง
มาเลเซีย, สวีเดน : 4 ครั้ง
เกาหลีเหนือ, เดนมาร์ก : 3 ครั้ง
จีน, สโลวีเนีย : 2 ครั้ง
รัสเซีย, อินโดนีเซีย, บราซิล, กือราเซา, ลัตเวีย, โรมาเนีย, อิรัก, ทาจิกิสถาน : 1 ครั้ง
นอกจากนี้ สนามกีฬาติณสูลานนท์ สร้างประวัติศาสตร์ใหม่ในศึกคิงส์ คัพ
สถิติเจ้าภาพ ในต่างจังหวัด
สนามสุระกุล (ภูเก็ต) ปี 2005 และ 2009
สนามกีฬาเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา (นครราชสีมา) ปี 2009, 2010 และ 2015
สนามกีฬาสมโภชเชียงใหม่ 700 ปี (เชียงใหม่) ปี 2013, 2022 และ 2023
สนามช้าง อารีน่า (บุรีรัมย์) ปี 2019
สนามกีฬาติณสูลานนท์ ปี 2024
50 ครั้งที่ผ่านมา สนามจากกรุงเทพได้เป็นเจ้าภาพเป็นส่วนใหญ่ ส่วนต่างจังหวัด ได้จัดแค่เพียง 9 ครั้ง โดย 8 ครั้งก่อนหน้านี้ไม่เคยก้าวไปถึงแชมป์
2005 (ภูเก็ต, พังงา, กระบี่) – อันดับ 3
2009 (ภูเก็ต) – รองแชมป์
2010 (นครราชสีมา) – อันดับ 3
2013 (เชียงใหม่) – อันดับ 3
2015 (นครราชสีมา) – อันดับ 2
2019 (บุรีรัมย์) – อันดับ 4
2022 (เชียงใหม่) – อันดับ 3
2023 (เชียงใหม่) – อันดับ 2
ก่อนที่ในปี 2024 จังหวัดสงขลา กลายเป็นเจ้าภาพต่างจังหวัดแรกที่ทีมชาติไทยคว้าแชมป์รายการนี้มาครอบครอง กับสักขีพยานเต็มความจุเฉียดๆ 25,000 คน
เชื่อได้ว่ากระแสบ้าบอลของคนใต้ แสดงให้เห็นแล้วว่ามีพลังแค่ไหน กับการนับหนึ่งแชมป์แรกในยุค อิชิอิ จะปลุกฟุตบอลไทย ให้กลับมาคึกคักอีกครั้ง
เครดิตภาพ : ฟุตบอลทีมชาติไทย / ช้างศึก – ฟุตบอลทีมชาติไทย
เพื่อนๆสามารถติดตามอ่านบทความย้อนหลังได้ที่ https://www.ballthai.com/บทความบอลไทย
.
และติดตามเราได้ผ่านช่องทางโซเชี่ยลมีเดียดังนี้
Website - ballthai.com
ขอบคุณครับ
โฆษณา