15 ต.ค. เวลา 11:58 • การเมือง

การเมืองนิ่ง บ้านเมืองเน่า ….

ผมเคยเขียนบทความลักษณะนี้ครั้งนึงแล้ว
ตอนคดีกำนันนกดังๆ….
ที่ปรากฏว่าพี่แกได้งานภาครัฐแบบสุดเวอร์ สุดปัง
ประเภทบริษัทยักษ์ใหญ่ยังงง ว่าทำได้ไง
แล้วยังไปเกี่ยวกับส่วยทางหลวง ตำรวจดังอีก
คดีนั้น ถึงไหนแล้วไม่รู้
แต่ที่แน่ๆ มันมีความพยายามตัดตอนก่อนหน้านี้
ในรัฐบาลคุณเศรษฐา เพื่อให้จบเร็วที่สุด
เพราะดูทรงแล้ว น่าจะเกี่ยวโยงไปได้ถึงคนในพรรคร่วมรัฐบาล
มาตอนนี้ ท่าทางจะเป็นหนังม้วนเดิม กับคดีแชร์ลูกโซ่
เมื่อปรากฎคลิปเสียง”คล้าย” นักการเมือง
จากพรรคที่กำลังเสื่อมอำนาจ หลุดออกมา
ทำท่าว่าจะพัวพันกับบริษัทเจ้าปัญหา
…ใช่ไหม คงต้องไปพิสูจน์กัน ปัจจุบันเรื่องคลิปนี่
เอกชนที่มีความสามารถตรวจสอบทางวิทยาศาสตร์ได้
มีเยอะ และเชี่ยวชาญกว่าหน่วยงานรัฐด้วยซ้ำ เพราะพวก
ช่างเทคนิคด้านนี้เทพๆ อยู่กับเอกชนหมด….
…ถ้าไม่ไว้ใจคนไทยด้วย ส่งนอกเลยครับ….
ท่านว่าไม่ใช่ ก็ต้องกล้าให้เขาพิสูจน์หน่อย
ไม่ใช่บอกว่าเป็น AI ทำ แล้วหน้าแหก
จนต้องออกมายอมรับทีหลัง
ก่อนแก้เกี้ยวด้วยการฟ้องว่าเป็นการดักฟัง
โดยไม่พูดถึงเนื้อหาของคลิปเลย
…ไม่รู้นะ แต่พรรคพลังประชารัฐนี่ คลิปหลุดเยอะจริงๆ 555…
…ขยันสาวไส้กันเองแท้ๆ….
ที่เขียนนี่ ไม่ได้จะฟันธงว่าพรรคการเมืองอะไร
เข้าไปเกี่ยวข้องนะ
แต่ จะบอกว่า มันเป็นธรรมดาเมื่อการเมืองเปลี่ยนขั้ว
โดยเฉพาะเมื่อมีกลุ่มอำนาจใดก็ตามที่ครองประเทศมานาน
ต้องเสื่อมอำนาจลง มันก็จะยิ่งมีการเขย่าสังคมในทุกวงการ
ได้มาก ในลักษณะของการแปรผันตรงกันและกัน
อยู่นาน เรื่องเน่าๆ มันก็เยอะ ยิ่งเป็นพวกอำนาจนิยมยิ่งหนัก
มันเป็นแบบนี้ทุกที่บนโลกครับ ไม่ใช่แค่ในไทย
…อย่างจีนนี่ ถ้าสี่จิ้นผิงตาย เชื่อผมเหอะ คนมาใหม่
คงตามไล่ถล่มแขนขาของสี่ตอนนี้ยับเยินเหมือนกัน
ก็เป็นวังวน เหมือนกับที่สี่ทำกับคนสายเจียงเจ๋อหมิงก่อนนี้…
จะปูติน ราชวงศ์ฮุน คิม หรือพวกลุงทหาร เหมือนกันหมดครับ
ถ้าพวกนี้ตาย หรือเสื่อมอำนาจลง ก็จะเห็นเหมือนกับที่บ้าน
เราเป็นอยู่ในตอนนี้ หรือจีนก่อนหน้านี้นั่นแหละ
มันเป็นธรรมชาติที่น่ากลัวที่สุด ของระบอบอำนาจนิยม
เพราะหลักในการบริหารอำนาจนั้น
ย่อมต้องมีผลประโยชน์หยิบยื่นให้พอใจทั้งนั้น
ไม่ต้องมองไประดับการเมืองหรอก
เอาแค่บริษัทเอกชนนี่ก็เห็นแล้วล่ะ
ถ้าคุณต้องการมีอำนาจ ก็ต้องเกลี่ยผลประโยชน์ให้ได้
อาจเป็นการขึ้นเงินเดือน เพิ่มเปอร์เซ็นต์
หรือต้องวางเฉยบ้าง กับบางเรื่อง อันนี้มีกันทุกบริษัท
ต่อให้มีเจ้าของแบบเบ็ดเสร็จก็ตาม
หรือขยับมาหน่อย ในวงราชการ
ตำแหน่งขึ้นหิ้ง เข้ากรุ อย่างพวกผู้ทรงคุณวุฒิ
หรือผู้ตรวจการ มันก็ถูกสร้างมาเพื่อบริหาร
อำนาจ และผลประโยชน์ ไม่ให้องค์กรพัง
จากการแฉ แหกอกกันเองนั่นเอง
ดังนั้นภาพใหญ่ คือการเมืองนั้น ย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้
กับการบริหารอำนาจลักษณะนี้
ยิ่งอยู่นาน ก็ยิ่งต้องมีการแลกเปลี่ยผลประโยชน์มาก
มันก็เป็นที่มาของการโกงมาก
โกงกันมาก ก็้ต้องฟอกมาก เลยมีธุรกิจเทาๆมากไปด้วย
…แม้ว่ารัฐบาลประชาธิปไตย ก็มีลักษณะนี้ แต่มันค่อนข้าง
น้อยกว่ารัฐบาลแบบอำนาจนิยมมากทีเดียว…
ในรัฐบาลแบบอำนาจนิยม โดยเฉพาะพวกรัฐทหารนั้น
การแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ในลักษณะต่างๆ มันมาก
และตรวจสอบไม่ได้ เพราะกลไกการตรวจสอบและกฎหมาย
มันอยู่ในมือคนมีอำนาจทั้งหมด
ในสังคมเผด็จการนั้น การท้าทายอำนาจ มักมาจากคนมี
อำนาจด้วยกันเอง ยิ่งอีกฝ่ายมีอำนาจมาก ก็ยิ่งต้องใช้ค่า
ปิดปากหรืออุดปากมากขึ้นตาม จึงจะเอาอยู่
ในกรณีรัฐบาลประชาธิปไตย มันทำได้ยาก
เพราะการบริหารอำนาจ อาจไม่ได้ส่งผลอย่างที่ต้องการ
เนื่องจากมีความเสี่ยง ที่จะถูกชาวบ้านล้างไพ่ได้
เมื่อครบวาระ แล้วมีการเลือกตั้งใหม่
…คือ ในรัฐบาลประชาธิปไตย ทั้งคนให้ผลประโยชน์
และคนรับ มันกลัวว่าถ้าวันหนึ่งครบวาระแล้วหมดอำนาจ
มันจะโดนตามเล่นงาน หรือขาดทุนที่ให้ไป
ดังนั้นก็เลยยังเหนียมๆ ไม่กล้าทำอะไรมาก ไม่ใช่ว่าคนดีหรอก
1
และพรรคการเมือง นักการเมือง ก็มักมีนายทุนช่วยจ่าย
ในส่วนนี้ จึงไม่ต้องมาทำอะไรสีเทาๆ เพื่อเลี้ยงและบริหาร
ผลประโยชน์ต่างๆ ควักเอง จ่ายให้จบกันเองในวงได้
แต่กับรัฐบาลทหารนั้น ไม่ใช่แบบนั้น
ทหารไม่ใช่เศรษฐี หรือพ่อค้า ที่จะมีมากพอ
ที่จะควักจ่ายให้จบเองได้
วิธีบริหารผลประโยชน์ของเครือข่ายทหารนั้น
มันมีสูตรสำเร็จทั่วโลก แค่สามวิธีเท่านั้นแหละครับ
1 ) เอางบประมาณนั่นแหละแจก พูดง่ายๆ คือให้เครือข่าย
นั้นเข้ามาโกงการจัดซื้อจัดจ้าง ผ่านงานภาครัฐ
…ในไทยนี่ก็ประมาณกำนันนกนั่นแหละ และมีอีกเยอะที่โตมา
ในลักษณะนี้ในยุคของ คสช…..
2) รีดไถนายทุน ด้วยสัญญาต่างตอบแทนต่างๆ
ให้มาเป็นสปอนเซอร์จ่ายจบ แทนตัวเองที่ไม่มีจะควัก
…อันนี้ในไทยก็ชัด จากกรณีทุนยักษ์ใหญ่ผูกขาด
ที่เติบโตแบบก้าวกระโดด จากนโยบายสุดเอื้อ
ในเก้าปีของรัฐลุงทหารและคำพิพากษาสุดพิลึกจากตุลาการ
3) ส่งตัวแทน ไปทำหรือเข้าร่วมกับธุรกิจเทาๆ เพื่อหาเงิน
และ ฟอกเงินไปในตัว
…อันนี้ “อาจ” มีในอดีต คือเรื่องแชร์แม่ชม้อย ที่ว่ากันว่า
ถูกล้มกระดานไปตามนายทหารกลุ่มหนึ่ง ซึ่งเคยมีอำนาจ
ในช่วงปี 2524 จากการเกลี่ยอำนาจ เพื่อสยบความพยายามรัฐประหาร
…และว่ากันว่ากลุ่มนี้แหละอยู่เบื้องหลังที่แท้จริง
ของวงแชร์น้ำมันนางชม้อย ก่อนทหารกลุ่มนี้จะโดน
ล้างบางอำนาจ ไปอย่างเด็ดขาดหลังกบฏปี 2528 **….
…อันนี้ผมยังไม่อยากบอก ว่ามันใช่หรือไม่ในกรณีที่เป็นข่าวปัจจุบัน แต่ถ้ามองในแง่ว่าธรรมชาติของรัฐบาลเผด็จการ
เมื่อหมดอำนาจ มักจะพบปัญหาเหล่านี้ มันก็น่าสนใจ….
(** ว่ากันว่ากบฏปี 2528 ส่วนนึงก็เกิดจากทหารกลุ่มนี้ดิ้นเฮือกสุดท้าย และโดนเตะชามข้าว ซึ่งก็คือวงแชร์นางชม้อย
นี่แหละ มันคือฟางเส้นสุดท้าย ที่ทนกันไม่ได้
เพราะรัฐบาลพลเอก เปรม ในขณะนั้น ไปเขียนกฎหมายเพื่อ
เล่นงานนางชม้อยโดยเฉพาะในปี 2527 ก่อนประกาศใช้ปี 28)
เมื่อดูไทม์ไลน์ เทียบกับสถานการณ์การเมือง
ในปัจจุบันยิ่งน่าคิดมากๆทีเดียว
- บริษัทเจ้าปัญหา ตั้งในปี 61 จดทะเบียน 62
ซึ่งเป็นยุคพีคที่สุดในอำนาจของคณะสามลุง
(และใกล้เคียงกับช่วงบริษัทนอมินีของทหารเกษียณหลายคน
ที่ผุดมารับงานภาครัฐเป็นดอกเห็ด ของกำนันนก งานก็พีคมาก
ในช่วงนี้จนถึงปี 65)
- มีการร้องเรียนก่อนหน้านี้ ด้วยข้อหาเดียวกับปัจจุบัน
ต่อบริษัทที่ว่า แต่เรื่องไม่เคยมีการถูกดำเนินการตรวจสอบ
ในระหว่างที่พวกลุงยังมีอำนาจ
- ช่วงมาถึงรัฐบาลเศรษฐา พรรคลุงใหญ่ ยังร่วมรัฐบาล
ก็ไม่มีการตรวจสอบ ทั้งที่มีการร้องเรียนเป็นระยะๆ
- ปัจจุบัน เราเห็นข่าวอยู่ตลอด ว่าพรรคพลังประชารัฐ
มีปัญหากับพรรคเพื่อไทย หรือคุณประวิตร มีปัญหา
กับคุณทักษิณ จนคุณประวิตร โดนถีบไปเป็นฝ่ายค้าน
ล่าสุด ยังบังอาจให้คนไปร้องศาล เพื่อจะล้มรัฐบาลอีก
คนอย่างคุณทักษิณ และเครือข่ายอำนาจปัจจุบัน
ที่เพิ่งมา ยังถอนทุนไม่ได้ มีเหรอจะยอม …
1
…พอมีข่าวพัวพันแบบนี้จากคนในพรรคลุงใหญ่เข้าไปอีก…
…จะไม่ให้ชาวบ้านเขาไม่คิดไม่ตั้งข้อสังเกต
ว่ามันมีการเมืองระดับชาติเกี่ยวข้อง มันก็ยากแหละ…
นี่ไม่นับว่า ในขบวนการของบริษัทที่ว่า มีคนสะสมนาฬิกา
ราคาแพงอยู่ด้วยนะ…เออ…555
…บางคนก็เลยยิ่งสงสัยสิ ว่าใช่ไหม นี่คือคนให้ยืม…
…หรือไอ้คนบอกยืม แต่จริงๆคือฝากไว้ก็ไม่รู้ล่ะนะนั่น…
ชาวบ้านเขามองได้หมดแหละครับ มันประจวบเหมาะกันเกินไป
…แล้วเขาว่า เรื่องบังเอิญ มันก็ไม่มีในโลกอ่ะนะ….
สำหรับผู้นิยมเผด็จการ หรือมีแนวคิดสนับสนุนอำนาจนิยม
มักคิดว่าการแย่งอำนาจทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตย
นั้นคือความวุ่นวาย และถ่วงความเจริญของประเทศ
1
แต่ในความเป็นจริงแล้ว การแย่งชิงกันในสังคมประชาธิปไตย
แม้จะน่าเบื่อ น้ำเน่า และเต็มไปด้วยการสาดโคลน
แต่ความน้ำเน่าเหล่านี้ ก็ทำให้เกิดการตรวจสอบ
และไม่ปล่อยให้สังคมฟอนเฟะจนเกินไป
เหมือนรัฐบาลเผด็จการ ที่ดูเงียบสงบแต่เนื้อในเน่า
ลองคิดดูว่า แม้แต่ยุคประชาธิปไตยเทียมๆแบบไทย
ในยุคเผด็จการรัฐสภาสมัยคุณทักษิณ
อย่างน้อย เราก็ยังได้เห็น การตรวจสอบการซุกหุ้น
โกงจำนำข้าว ที่เป็นสาธารณะ ด่าทักษิณผ่านฟรีทีวีน่ะนะ
แต่กับยุคลุงทหาร ที่คุมองคาพยพทั้งหมดของระบบไว้
เรากลับไม่เห็นการตรวจสอบอะไรเลย โดยเฉพาะ
จากองค์กรภาครัฐต่างๆ ที่มีหน้าที่บังคับใช้กฎหมาย
กับสถานการณ์วันนี้…
มันไม่แปลกอะไร ที่เมื่อคนที่เคยมีอำนาจสูงสุด
คือพี่ใหญ่นั้นกำลังเสื่อมอำนาจอย่างรุนแรง
แล้วอะไรๆ ที่อาจเคยซุกไว้ มันจะถูกตรวจสอบอย่างเข้มข้น
…ก็ลุงใหญ่ตั้งตัวเป็นศัตรูกับคนมีอำนาจจริงๆ เองแ่ะนะ
ผลมันก็งี้แหละ จะว่าไม่เจียมในวันที่ตัวเองเสื่อมแล้วก็ได้…
การเมือง ก็แบบนี้ล่ะครับ อำนาจ ผลประโยชน์ไม่ลงตัว
หรือใครจมไม่ลงเมื่อเริ่มเสื่อม ก็ตองโดนถล่มเละนั่นแหละ
โดนถีบไปเป็นฝ่ายค้านร่วมกับพวกหัวแข็ง ขยันแฉ
และไม่คุยด้วยเรื่องผลประโยชน์อย่างพรรคประชาชนซะ
…การเมือง ผลประโยชน์เหนือกว่าทุกสิ่ง…
…ข้ออ้างอื่น มันก็แค่พูดให้ดูดีเท่านั้นแหละครับ…
พูดตรงๆ ไอ้คนในเครือข่ายสามลุงที่ยังรอดอยู่ได้วันนี้
ก็เพราะเป็นสายน้องเล็ก ลุงนายก ที่ยอมพลิกลิ้น
เคลียร์กับคุณทักษิณได้จบแล้วเท่านั้นแหละ
…สายของพี่ใหญ่ น้องรอง โดนไล่เช็คบิลกันเป็นว่าเล่นเลย
ที่ไม่เป็นข่าวอีกเพียบ ทั้งในวงราชการ และเอกชนที่รับงานรัฐ
ธรรมชาติของอำนาจครับ ใครนั่งทับขี้ไว้นานก็งี้แหละ
…เวลาโดนถีบออกจากเก้าอี้แรงๆ ขี้มันเลยกระจาย
เป็นสะเก็ด เป็นละอองไปทั่ว…
…ก็เลยยิ่งเลอะเทอะ เหม็นคลุ้งมากกว่าปกติ 🤣🤣🤣 ….
โฆษณา