17 ต.ค. เวลา 06:06 • นิยาย เรื่องสั้น

ฉันมาศาลเจ้าทุกวันอาทิตย์

"ฉันถามเธอจริง ๆ เถอะ มาศาลเจ้าเกือบทุกวันอาทิตย์แบบนี้ ไม่เบื่อเลยหรือ"
ใจจริงแล้ว เพลงพิณ ก็ไม่ได้อยากจะก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของ ปวริศา เพื่อนสนิมที่รู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก แต่ดูเหมือนความขี้สงสัยบวกกับความอยากรู้อยากเห็น ทำให้เธอเผลอพลั้งปากถามออกไปจนได้ ก็จะให้ทำอย่างไรกันล่ะ ก็ปวริศามักจะมาขอคำอธิษฐานที่ศาลเจ้าทุกวันอาทิตย์เป็นประจำ จะไม่ให้เกิดข้อสงสัยได้อย่างไร
ด้านปวริศาก็ยังไม่ตอบคำถามของเพื่อน เธอยังตั้งจิตนิ่งและหลับตา เพื่อที่จะอธิษฐานต่อหน้าศาลเจ้าที่เธอเคารพนับถือ ผ่านไปสิบนาทีเธอก็กลับมาสนใจเพลงพิณอีกครั้ง แต่ก็ใช่ว่าจะตอบคำถามของอีกฝ่าย เหตุผลคือปวริศาคิดว่าหากเธอเล่าเรื่องราวทุกอย่าง เพลงพิณอาจจะไม่เข้าใจการกระทำของเธอก็ได้
แต่ในขณะเดียวกันเพลงพิณเองก็เหมือนพยายามจะเค้นถาม เพราะอยากรู้เหตุผลที่เธอทำแบบนี้ไปทำไม ทั้งที่ตัวปวริศาในอดีตไม่ใช่คนที่เชื่ออะไรแบบนี้เลยด้วยซ้ำ
"นิ้งหน่อง ฉันหิวแล้วไปหาอะไรกินกันดีกว่า" ปวริศาหันมายิ้มให้กับเพื่อน และเดินไปซื้อของกินจากร้านอาหาร
เพลงพิณยืนมองแผ่นหลังของเพื่อนเล็กน้อย เธอรู้ได้ในทันทีว่าปวริศาพยายามบ่ายเบี่ยงไม่ยอมตอบคำถาม แน่นอนว่าฝั่งปวริศาเองก็รู้ดีว่าลูกไม้นี้ใช้ไม่ได้ผลกับเพื่อนคนนี้
แต่แล้วระหว่างที่กำลังรอคิวอาหารที่สั่งไว้ สายตาของหญิงสาวก็ไปสะดุดตา ที่ผู้ชายคนหนึ่งที่พึ่งเดินผ่านหน้าเพียงครู่เดียว ในเสี้ยววินาทีที่ปวริศาเกือบจะทักแล้ว แต่พอตั้งสติได้ก็รู้ว่าแม้จะแต่งกายเหมือนกัน ก็หาใช่คนที่เธอกำลังคิดถึงตอนนี้
ชายหนุ่มผู้เป็นเหตุผลเดียวที่เธอยังคงมาที่ศาลเจ้า เพื่อตั้งจิตอธิษฐานทุกวันอาทิตย์เช่นนี้
.
❤️❤️❤️❤️
.
เหตุการณ์เมื่อสี่ปีก่อน
ปวริศาซึ่งกำลังเรียนอยู่ชั้นมัธยมปลายปีที่สี่ เธอก็เหมือนวัยรุ่นทั่วไปไม่มีอะไรเด่นเป็นพิเศษ นอกเสียจากเป็น เพลเยอร์ หรือผู้มีพลังพิเศษ แม้จะไม่ใช่พลังเด่นอะไร แต่มันก็ทำให้ปวริศาได้เข้าเรียนโรงเรียนสำหรัยเพลเยอร์ แน่นอนว่ามันทำให้พ่อกับแม่ดีใจมาก จนถึงขั้นเที่ยวป่าวประกาศไปทั่ว
มันให้ความรู้สึกเหมือนเธอเป็นของตั้งโชว์อย่างไรชอบกล แต่อย่างน้อยการที่เธอเรียนอยู่ที่นี้ มันก็ช่วยลดภาวะความเครียดที่ไม่ต้องรับรู้ที่บ้าน กอปรกับข้อแค่เธอไม่สร้างความเดือดร้อนให้ก็พอ สำหรับสังคมในโรงเรียนเพลเยอร์ ปวริศาก็ถือว่าเป็นนักเรียนที่มีผลงานระดับกลาง ส่วนเรื่องของรูปแบบพลังเพลเยอร์นั้น
และวันนี้ก็ถือว่าเป็นวันพักสมองจากการเรียน เนื่องจากทางโรงเรียนมีโปรแกรม ที่จะพานักเรียนเพลเยอร์ตั้งแต่ชั้นปีที่สี่ถึงหก ไปทัศนศึกษาในพิพิธภัณฑ์ของเพลเยอร์ และเพื่อค้นหาตัวเองว่าต้องการเป็นเพลเยอร์แบบไหน ทุกคนต่างตื่นเต้นยกเว้นปวริศา
ก็เพราะเธอมาที่นี้ไม่ต่ำกว่าสามครั้งแล้ว ในช่วงวันหยุดปิดเทอมที่เธอตัดสินใจว่า ต่อให้ปิดเทอมใหญ่ก็จะไม่ขอกลับบ้าน กลายเป็นว่าปวริศาในตอนนี้แทบจะรู้ทุกอย่าง มากกว่าเพื่อนในห้องรวมกันด้วยซ้ำ แต่ด้วยนิสัยไม่ชอบโอ้อวดและเกลียดความวุ่นวาย ปวริศาจึงเลือกอยู่เงียบ ๆ มากกว่า
ระหว่างที่นั่งรถบัสโดยสารเดินทางไปยังพิพิธภัณฑ์เพลเยอร์ เพลงพิณซึ่งนั่งข้างปวริศาก็สะกิดข้างลำตัว แล้วชวนอ่านข่าวบนโลกออนไลน์ ใจความเนื้อข่าวระยุว่าเหตุการณ์กราดยิงใส่ค่ายเยาวชน ที่ประเทศเอนดิเมียนจนมีผู้ได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก ส่วนผู้เสียชีวิตมีเพียงสามคน ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ดูแลค่าย
กลุ่มผู้ก่อเหตุเป็นเพลเยอร์เถื่อนที่ไม่มีการลงทะเบียน ซึ่งถูกจับกุมได้แค่เฉพาะที่ก่อเหตุในค่าย ทางตำรวจเอนดิเมียนเชื่อว่ากลุ่มนี้อาจเป็นเครือข่ายใหญ่
"เลวได้โล่รางวัลเลย มีพลังพิเศษแต่กลับไปข่มเหงคนธรรมดา ทุเรศที่สุด" เพลงพิณพูด
"อืม เห็นด้วย"
สิบสามนาทีต่อมารถบัสโดยสารก็มาถึงพิพิธภัณฑ์เพลเยอร์ บรรดานักเรียนต่างพากันลงมาจากรถ และไปเข้าแถวเพื่อให้เช็คชื่อในตอนนั้นเองที่สายตาของปวริศา ก็หันมาเห็นคนอีกกลุ่มก็รวมตัวกันที่หน้าพิพิธภัณฑ์ด้วย เธอดูเครื่องแบบแล้วน่าจะเป็นทหาร
ที่สำคัญไม่ใช่ทหารของปารวัตรอีกต่างหาก
"ทหารจากฟรอนเทียร์นี่" เพลงพิณพูดจากข้าง ๆ ปวริศา
"เธอรู้ได้ไง" ปวริศาถาม
"ก็ดูที่ตราสัญลักษณ์นกฟีนิกซ์ที่แขนเสื้อสิ" เพลงพิณชี้ให้เพื่อนดู "แต่ทหารพวกนี้ดูหน้าเด็กจัง"
ปวริศาไม่ได้สนใจข้อสงสัยของเพลงพิณเลย สิ่งที่เธอสะดุดตาคือหนึ่งในทหารกลุ่มนั้น มีอยู่คนหนึ่งที่ยืนนิ่งไม่แสดงสีหน้าใด ๆ ออกมา แถมยังไม่คิดจะมีส่วนร่วม ในวงสนทนากับเพื่อนเลยด้วยซ้ำ สติของเด็กสาวกลับมาอีกครั้ง และโดนเพื่อนสนิทลากตัวเข้าด้านในพิพิธภัณฑ์ หลังจากเดินเข้ามาแล้ว ก็มีเจ้าหน้าที่คอยบรรยายให้นักเรียนฟัง
ปวริศาแม้จะมีสีหน้านิ่งแต่ข้างใน เบื่อเหลือเกินเพราะเธอรู้มาหมดแล้ว ระหว่างนั้นสายตาของเธอก็ไปสะดุดที่ทหารคนเดิม ที่เดินมากับทหารคนอื่น ๆ ดูเหมือนพวกเขาจะได้รับมอบหมายให้ดูแลที่นี้ ความสงสัยของปวริศาคือทำไมให้ทหารต่างชาติรักษาความปลอดภัย ทั้งที่ความจริงมันควรเป็นหน้าที่ของทหารของปารวัตร
"หวงจือชิน นายคอยลาดตระเวนแถว ๆ นี้นะ เดียวทางปีกซ้ายกับขวาพวกเราจัดการเอง"
"ได้" ทหารเจ้าของนาม หวงจือชิน พยักหน้ารับ ซึ่งก็คือคนที่ปวริศาสะดุดตานั้นเอง
"แหม มองตาไม่กะพริบแบบนี้ ไม่จีบเขาไปเลยล่ะ" เพลงพิณแซวปวริศาเบา ๆ เพราะกลัวอาจารย์จะได้ยิน
"พูดอะไรของเธอ ...."
ยังไม่ทันจบประโยคเสียงกระจกแตกจากด้านบนดังขึ้น พร้อมกับการปรากฏตัวของกลุ่มคนสวมชุดสีดำปกปิดใบหน้า กระโดดลงมาจากเบื้องบนและจากนั้น พวกมันก็ออกอาละวาดทำลายข้าวของทันที ปวริศาเห็นคลื่นพลังมานาจากกลุ่มคนชุดดำ เป็นหลักฐานบอกว่าพวกนี้คือเพลเยอร์เถื่อน
อย่างไรก็ตามคณะนักเรียนแต่ละคน พร้อมด้วยฝูงชนที่มาชมพิพิธภัณฑ์ ก็พากันหนีตายออกไปด้านนอกและมันยังทำให้ ปวริศาพลัดหลงกับเพลงพิณ เด็กสาวพยายามที่จะวิ่งหนีแต่ไม่ว่าจะทางไหนก็เจอแต่คนร้ายดักไว้ตลอด เธอจึงจำต้องไปหลบในห้องจัดแสดงอาวุธ
เท่าที่เคยสำรวจช่วงปิดเทอมห้องนี้ไม่ค่อยมีคนเข้ามาชมมากนัก ทั้งที่อาวุธจัดแสดงในห้องนี้ก็ล้วนเคยเป็นอาวุธของเพลเยอร์ระดับตำนาน แต่กลับไม่มีใครสนใจ ตอนนี้มันคงเป็นหลุมหลบภัยได้ชั่วคราว ระหว่างนี้เธอต้องหาทางออกจากที่นี้ให้ได้
ทว่าทันใดนั้นเองประตูทางเข้าห้องจัดแสดงอาวุธ ก็เปิดออกพร้อมกับร่างคนสองคนที่กำลังต่อสู้กัน ปวริศาตัดสินใจวิ่งไปหลบหลังตู้โชว์ ที่จัดแสดงไม้คทาอันหนึ่ง โดยที่ไม่มีใครทันสังเกตเห็นอัญมณีสีฟ้าบนหัวไม้คทา มันเรืองแสงอ่อน ๆ ออกมา ด้านปวริศาก็แอบมองดูการต่อสู้ตรงนั้นจึงเห็นว่า ทหารที่ชื่อหวงจือชินกำลังสู้กับคนร้ายอยู่
และดูท่าจะมีฝีมือพอสมควรเพราะฝ่ายที่เสียเปรียบ ก็คือฝ่ายชายชุดดำทั้งตัวที่ตอนนี้ โดนหวงจือชินทั้งเตะ หมัด ศอก และเข่า ตามด้วยท่าจับโขกด้วยศีรษะของเขา พริบตาเดียวชายชุดดำกระเด็นชนกับตู้กระจก ล่วงหล่นลงมานอนแน่นิ่งกับพื้น หวงจือชินถุยน้ำลายลงพื้นและทำท่าจะเดินออกไป
แต่แสงอัญมณีสีฟ้ายังคงส่องแสงสว่างทั่วห้อง จนหวงจือชินต้องหันมามองด้วยความฉงนใจ ไม่ต่างจากปวริศาที่หลบอยู่หลังตู้ วินาทีนั้นก็มีเสียงแว่วเข้ามาในโสตประสาทรับเสียง
[นายท่าน... ในที่สุดข้าก็ได้เจอสายเลือดของนายท่าน]
"เสียงจากไหนกันนะ" ปวริศาพึมพำด้วยความสงสัยจนไม่ทันสังเกตว่า หวงจือชินเห็นเธอหลบอยู่
"มาหลบอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่น่ะ" เขาถามขึ้น
ปวริศาสะดุ้งเล็กน้อยและหันมาสบตากับอีกฝ่าย เธอทำท่าจะอ้าปากพูดแต่แล้วเสียงฝีเท้าก็ดังมาจากด้านนอก ซึ่งหากลองฟังเสียงดูเด็กหนุ่มคิดว่าน่าจะมีหลายคน เขาตั้งใจจะพาเธอไปซ่อนตัวแต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว พริบตาเดียวพวกมันก็โผล่มาที่ประตูห้องจัดแสดง แถมยังไม่เปิดช่องให้หวงจือชินพักหายใจเลย
มันพร้อมอาวุธครบมือพุ่งเข้าจู่โจมใส่เด็กหนุ่มทันที ฝั่งหวงจือชินก็ยืนบังปวริศาเอาไว้ และคว้ากระบองเหล็กออกมา ตั้งรับอาวุธของศัตรูไม่ให้มาถึงตัวเขา ปวริศาที่แท้จะตกใจแต่ก็ตั้งสติได้ จึงตัดสินใจใช้เวทย์สายฟ้าสร้างเป็นรูปดาบสิบเล่ม พุ่งเข้าโจมตีใส่ศัตรูจนพวกมันพากันถอยรูด แต่ปวริศารู้ดีว่าของแค่นี้ยังเอาชนะไม่ได้
เพราะหากเธอใช้เวทย์ที่ตนเองถนัดละก็ ความเสี่ยงที่จะเกิดความเสียหายภายในห้อง มันค่อนข้างสูงมากเลยทีเดียว
"ผมจะเปิดทางให้ รีบหนีไปซะ !" หวงจือชินพูดกับคนด้านหลัง แต่ตามองพวกศัตรู
"แต่พวกมันมีเยอะมากนะ" ปวริศาแย้ง เธอไม่สามารถหนีเอาตัวรอดได้ หากต้องทิ้งใครไว้
แต่หวงจือชินก็ไม่ตอบอะไรอีกฝ่าย และพุ่งเข้าต่อสู้กับพวกศัตรูในทันที บัดนี้ภายในห้องจัดแสดงอาวุธก็กลายเป็น สนามการสู้รบนามย่อมไปเสียแล้ว ปวริศากำลังคิดจะใช้เวทย์เพื่อช่วยเด็กหนุ่ม ทันใดนั้นเสียงปริศนาก็ดังเข้ามาในจิตใต้สำนึกอีกครั้ง
[นายท่านโปรดใช้พลังของข้า ลำพังแค่พลังของท่านมันไม่เพียงพอ]
ปวริศามึนงงและสับสนพลางคิดในใจว่า เธอยังจิตปกติดีหรือไม่ เด็กสาวพยายามมองหาต้นตอของเสียงปริศนา จนกระทั่งสายตาของปวริศามาหยุดลงที่ไม้คทา ที่อัญมณียังคงส่องแสงสว่างอยู่ตลอด เสี้ยววินาทีนั้นเองที่ไม้คทาส่องแสงสีฟ้าวาบจนแสบตา ไม่เว้นแม้กระทั่งหวงจือชินกับศัตรูยังต้องเอามือปิดตาไว้
ผ่านไปครู่เดียวปวริศาลืมตาขึ้นอีกครั้ง ก็ต้องเบิกตาโตด้วยความตกใจ เพราะไม้คทาที่ควรจะอยู่ในตู้โชว์ บัดนี้มันอยู่ในมือของเด็กสาวแล้ว ถึงแม้จะยังไม่เข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร แค่หากเสียงปริศนานี้มาจากตัวไม้คทาจริง ก็หมายความว่าเธอมีโอกาสจะชนะศัตรูได้ ด้านหวงจือชินก็ต้อนศัตรูออกไปนอกห้องได้สำเร็จ
พวกมันยืนอยู่ลานกว้างที่ทำให้เขาเคลื่อนไหวได้สะดวกขึ้น แต่ยังไม่ทันที่หวงจือชินจะทำไรต่อ จู่ ๆ ก็มีมวลน้ำมหาศาลทะลักมาด้านหลัง พุ่งตรงเข้าไปที่กลุ่มศัตรูและพวกมันไม่สามารถขัดขืนได้ สามนาทีต่อมามวลน้ำที่ครอบคลุมพวกมันก็กลายเป็นน้ำแข็งทันที หวงจือชินเหลียวหลังไปมอง ปวริศายืนเหนื่อยหอบมือถือไม้คทาอยู่
[ฝีมือเธองั้นหรือนี่] หวงจือชินคิด
เหตุการณ์วุ่นวายจบลงในเวลาเพียงห้าชั่วโมง บรรดาคนร้ายถูกจับกุมโดยตำรวจปารวัตร เพลงพิณวิ่งเข้ามากอดปวริศาด้วยความโล่งอกที่เพื่อนปลอดภัย เด็กสาวส่งมอบไม้คทาคืนแก่พิพิธภัณฑ์ จากนั้นเธอก็เดินมาหาหวงจือชินที่กำลังให้เจ้าหน้าที่หน่วยแพทย์ ปฐมพยาบาลเบื้องต้น
"ขอบคุณนะ ที่ช่วยฉันเอาไว้" ปวริศากล่าวขอบคุณ
หวงจือชินพยักหน้ารับ "ไม่เป็นไรครับ ผมเองก็ขอบคุณเหมือนกัน เวทย์ที่เธอใช้มันเจ๋งมากเลย"
ใบหูของปวริศาเป็นสีชมพู เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เธอถูกชม จากนั้นไม่รู้อะไรดลใจให้เด็กสาวตัดสินใจแนะนำตัวเองให้อีกฝ่ายรู้จัก ซึ่งหวงจือชินก็แนะนำตัวตามมารยาทเช่นกัน ทั้งสองไม่ได้พูดอะไรมาก ปวริศาจึงต้องแยกตัวกลับไปรวมกลุ่มกับเพื่อนโดยเธอทิ้งท้ายไว้กับเด็กหนุ่มว่า
"แล้วค่อยเจอกันนะ"
.
❤️❤️❤️❤️
.
ปัจจุบัน
นับแต่เหตุการณ์ในครั้งนั้นก็มีช่วงเวลาหนึ่ง ที่ปวริศากับหวงจือชิน ได้ทำความรู้จักกันก่อนที่เขาต้องเดินทางกลับฟรอนเทียร์ และด้วยภาระหน้าที่ที่มีมากขึ้น ก็ทำให้เธอกับเขาติดต่อกันน้อยลง มันจึงกลายเป็นสาเหตุที่ทำไมเธอถึงมาศาลเจ้า ในทุกวันอาทิตย์ก็เพื่อขอพรอธิษฐานให้กับหวงจือชิน
ซึ่งเธอมักอธิษฐานคำเดิม ๆ เสมอมา
.... ขอให้เธอปลอดภัย รอดพ้นจากอันตราย ....
.
❤️❤️❤️❤️
โฆษณา