16 ต.ค. เวลา 08:47 • ปรัชญา

หรือมนุษย์ไม่ได้ดีตั้งแต่เริ่ม

เคยมีแนวคิดที่ว่ามนุษย์โดยพื้นฐานนั้นเลวร้ายตั้งแต่กำเนิด มีรากฐานมาจากหลายแหล่งในปรัชญาและศาสนา โดยเฉพาะในแนวคิดของตะวันตกและจีนโบราณ แนวคิดนี้สะท้อนมุมมองต่อธรรมชาติของมนุษย์และการตีความว่าเราจำเป็นต้องถูกควบคุมหรือปรับปรุงจิตใจอย่างไรเพื่ออยู่ร่วมกันในสังคมได้อย่างสงบสุข
1. ปรัชญาตะวันตก
ทฤษฎีบาปกำเนิด (Original Sin): มาจากคริสต์ศาสนา โดยเฉพาะจากคำสอนของนักบุญออกัสติน (St. Augustine) ที่เชื่อว่ามนุษย์ทุกคนเกิดมาพร้อมกับบาปดั้งเดิมจากอาดัมและเอวาที่ฝ่าฝืนพระเจ้าในสวนเอเดน ความบาปนี้ฝังรากลึกในธรรมชาติของมนุษย์ ทำให้มนุษย์มีความโน้มเอียงที่จะทำสิ่งผิดศีลธรรมโดยธรรมชาติ
โทมัส ฮอบส์ (Thomas Hobbes): นักปรัชญาชาวอังกฤษ เสนอในหนังสือ Leviathan ว่ามนุษย์โดยธรรมชาติแล้วเห็นแก่ตัวและมีแนวโน้มจะใช้ความรุนแรงเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัว เขาเชื่อว่าสภาวะธรรมชาติของมนุษย์ (state of nature) คือ "สงครามของทุกคนกับทุกคน" และสังคมจึงต้องการอำนาจรัฐที่เข้มแข็งเพื่อควบคุม
2. ปรัชญาจีน
ซฺวุนจื่อ (Xunzi): นักปรัชญาจีนในยุคราชวงศ์โจว เชื่อว่ามนุษย์เกิดมาพร้อมกับธรรมชาติที่เห็นแก่ตัวและเต็มไปด้วยความปรารถนาที่จะสนองตัวเอง เขาเสนอว่าจำเป็นต้องมีการอบรมสั่งสอน (ผ่านกฎระเบียบและพิธีกรรม) เพื่อพัฒนาจริยธรรมและสร้างความกลมเกลียวในสังคม ซึ่งต่างจากขงจื่อที่เชื่อว่ามนุษย์โดยพื้นฐานมีแนวโน้มที่จะดี
3. แนวคิดทางจิตวิทยาและวิวัฒนาการ
บางแนวคิดในจิตวิทยาและทฤษฎีวิวัฒนาการ เช่น ทฤษฎีความขัดแย้งทางสังคม (social conflict theory) มองว่ามนุษย์มีแนวโน้มที่จะแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัวและแข่งขันกันเพื่อทรัพยากร ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่สืบทอดมาจากสัญชาตญาณดั้งเดิม
แนวคิดที่ว่ามนุษย์มีความชั่วร้ายหรือเห็นแก่ตัวโดยพื้นฐาน และแนวคิดตรงข้ามที่ว่ามนุษย์มีพื้นฐานที่ดีหรือมีศักยภาพในการพัฒนา เป็นข้อถกเถียงทางปรัชญาและจิตวิทยาที่กว้างขวางมาช้านาน แม้แนวคิดเหล่านี้จะไม่สามารถพิสูจน์ได้อย่างสมบูรณ์ในเชิงวิทยาศาสตร์ แต่มีการศึกษาและการทดลองบางอย่างที่ช่วยให้เราเข้าใจด้านมืดและด้านดีของมนุษย์มากขึ้น
1. การทดลองด้านจิตวิทยาสังคม (Social Psychology)
การทดลองเหล่านี้ช่วยทดสอบว่าเมื่อมนุษย์ถูกจัดให้อยู่ในสถานการณ์ที่เอื้อต่อความก้าวร้าวหรือความเห็นแก่ตัว พวกเขาจะมีพฤติกรรมอย่างไร
การทดลองของสแตนลีย์ มิลแกรม (Milgram Experiment, 1961)
มิลแกรมทดสอบว่าเหตุใดคนธรรมดาถึงทำตามคำสั่งแม้กระทั่งเมื่อคำสั่งนั้นนำไปสู่การทำร้ายผู้อื่น ผลการทดลองพบว่าคนส่วนใหญ่ยอมปฏิบัติตามคำสั่งของผู้มีอำนาจ แม้พวกเขาจะรู้ว่ากำลังทำร้ายผู้อื่น ซึ่งสะท้อนให้เห็นแนวโน้มของมนุษย์ในการทำตามอำนาจโดยไม่คำนึงถึงศีลธรรม
การทดลองคุกสแตนฟอร์ด (Stanford Prison Experiment, 1971)
ฟิลิป ซิมบาร์โด (Philip Zimbardo) แบ่งผู้เข้าร่วมทดลองเป็นผู้คุมและนักโทษ ผลคือ ผู้คุมหลายคนใช้อำนาจเกินขอบเขตและมีพฤติกรรมทารุณอย่างรวดเร็ว การทดลองนี้ชี้ให้เห็นว่าในสถานการณ์ที่เหมาะสม มนุษย์สามารถแสดงความโหดร้ายออกมาได้อย่างง่ายดาย
2. การศึกษาเรื่องอคติและความเห็นแก่ตัว (Bias and Self-interest)
การทดลอง "The Good Samaritan" (1973)
จอห์น ดาร์ลีย์ (John Darley) และ แดเนียล แบตสัน (Daniel Batson) ทดสอบว่านักศึกษาเทววิทยาจะช่วยเหลือผู้ประสบเหตุฉุกเฉินหรือไม่เมื่อพวกเขารีบไปทำงานศาสนกิจ ผลคือคนส่วนใหญ่ไม่ช่วยเหลือหากรู้สึกว่าตนมีเวลาไม่พอ สะท้อนให้เห็นว่าความเร่งรีบและสถานการณ์มีผลต่อพฤติกรรมทางศีลธรรมของมนุษย์
3. การทดลองด้านวิวัฒนาการและการเห็นแก่ตัว (Evolutionary Psychology)
ทฤษฎีวิวัฒนาการอธิบายว่าการแข่งขันและความเห็นแก่ตัวอาจมีรากฐานจากการอยู่รอด
ทฤษฎีเกมเชิงวิวัฒนาการ (Evolutionary Game Theory) เช่น The Prisoner’s Dilemma แสดงให้เห็นว่ามนุษย์มีแนวโน้มจะหาผลประโยชน์ส่วนตัว แม้ต้องทรยศผู้อื่น แต่ในบางกรณี การร่วมมือก็เกิดขึ้นหากคาดว่ามีผลประโยชน์ร่วมกันในอนาคต
4. แนวโน้มเชิงบวกและความเห็นอกเห็นใจ
แม้จะมีหลักฐานว่ามนุษย์สามารถแสดงความชั่วร้าย แต่ก็มีการทดลองที่แสดงด้านดี เช่น
การทดลอง "Baby Lab" (Yale University) โดยพอล บลูม (Paul Bloom) แสดงว่าทารกอายุเพียงไม่กี่เดือนสามารถแสดงความชอบต่อพฤติกรรมที่เป็นธรรมและปฏิเสธพฤติกรรมที่เห็นแก่ตัวของผู้อื่น แสดงให้เห็นว่าความยุติธรรมและความเมตตาอาจมีพื้นฐานในมนุษย์ตั้งแต่กำเนิด
สรุป
แม้จะมีการทดลองที่ชี้ให้เห็นถึงความชั่วร้ายหรือความเห็นแก่ตัวของมนุษย์ แต่หลักฐานก็ไม่ได้สรุปว่ามนุษย์เลวร้ายโดยกำเนิดเสมอไป การกระทำของมนุษย์ดูเหมือนจะขึ้นอยู่กับสถานการณ์ บริบททางสังคม และสภาพแวดล้อม การวิจัยทั้งด้านมืดและด้านดีของมนุษย์ทำให้เราเข้าใจว่ามนุษย์มีศักยภาพทั้งในทางดีและร้าย ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขที่พวกเขาต้องเผชิญ
โฆษณา