17 ต.ค. เวลา 09:00 • ธุรกิจ

เจาะดีลใหญ่ RS ควบรวมกิจการ GIFT: Milestone ใหม่ รุกสู่ธุรกิจ Consumer Lifestyle ครบวงจร

RS Group X ลงทุนแมน
ถ้าพูดถึงไอคอนแห่งวงการเพลง แน่นอนว่า RS จะเป็นบริษัทหนึ่งที่คนไทยนึกถึง
ล่าสุด มีข่าวใหญ่ว่า RS Group ได้ควบรวมกิจการ บริษัท กิฟท์ อินฟินิท จำกัด (มหาชน) หรือ GIFT ซึ่งเป็นธุรกิจที่เน้นการส่งมอบสินค้าและบริการสำหรับไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่
เมื่อเกิด “การควบรวมกิจการ” ขึ้น 1+1 ย่อมสร้างผลประโยชน์ทางธุรกิจมหาศาล ผ่านศักยภาพของทั้ง 2 บริษัทที่นำจุดแข็งแต่ละฝ่ายมาผสานกันได้อย่างลงตัว
เช่นเดียวกับกรณีของ RS Group เมื่อควบรวม GIFT เข้ามาแล้ว แน่นอนว่าศักยภาพจะต้องแข็งแรงและสมบูรณ์ขึ้น สามารถพัฒนาทั้งธุรกิจเดิมและธุรกิจใหม่ควบคู่กันไป ทั้งยังจะส่งผลถึงการเติบโตที่ก้าวกระโดดของทั้งสองบริษัท
โดยทาง RS Group มั่นใจว่าจะสามารถสร้างรายได้เกิน 7,000 ล้านบาท ในสิ้นปี 2568 และผู้บริหารยังกล่าวเพิ่มเติมว่าจะมีรายได้ทะลุถึง 10,000 ล้านบาทในปี 2570
การควบรวมกิจการครั้งนี้ยังมาพร้อมกับทิศทางธุรกิจใหม่ ที่มุ่งหน้าไปทาง Consumer Lifestyle ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนในปัจจุบันยิ่งขึ้น หรือนี่คือการเริ่มต้นของ RS Group New Era
เบื้องหลังดีลควบรวมกิจการครั้งนี้ มีที่มาที่ไปอย่างไร ?
RS Group ได้ใช้กลยุทธ์แบบไหน เพื่อให้ดีลควบรวมกิจการครั้งนี้ประสบความสำเร็จทางธุรกิจ และต่อยอดให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ผู้บริโภคอย่างไร ?
ลงทุนแมนจะวิเคราะห์ให้ฟัง
เบื้องหลังการควบรวมกิจการครั้งนี้ที่มีมูลค่าการลงทุนทั้งสิ้นไม่เกิน 5,068.2 ล้านบาท เกิดจากบอร์ดบริหาร RS Group ได้อนุมัติการเข้าลงทุนใน บริษัท กิฟท์ อินฟินิท จำกัด (มหาชน) หรือ GIFT โดย RS ซื้อหุ้นสามัญของ GIFT รวมไม่เกิน 1,206.7 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วน 49.99% แบ่งเป็น
1. หุ้นสามัญเพิ่มทุน PP (Private Placement) จำนวนไม่เกิน 651.8 ล้านหุ้น ที่ราคา 4.2 บาท
2. หุ้นสามัญ GIFT จากคุณสุรชัย เชษฐโชติศักดิ์ จำนวนไม่เกิน 238.5 ล้านหุ้น ที่ราคา 4.2 บาท
3. หุ้นสามัญ GIFT จากบจก. เชษฐโชติ โฮลดิ้งส์ จำนวนไม่เกิน 316.5 ล้านหุ้น ที่ราคา 4.2 บาท
ขณะที่ผู้ถือหุ้นใหญ่ของ RS Group ยังคงเป็น เฮียฮ้อ และครอบครัวเชษฐโชติศักดิ์ ในสัดส่วน 36% หลังการควบรวมกิจการในครั้งนี้
ทั้งนี้ แหล่งที่มาของเงินทุนมาจากการที่ RS ออกหุ้นสามัญเพิ่มทุน Private Placement (PP) เสนอขายให้กับคุณสุรชัย เชษฐโชติศักดิ์ และกลุ่มเชษฐโชติศักดิ์ จำนวน 364.2 ล้านหุ้น ที่ราคา 6.4 บาท รวมเป็นมูลค่า 2,330.8 ล้านบาท และการจำหน่ายธุรกิจ RS LiveWell ให้กับ GIFT ด้วยมูลค่ารวม 2,737.4 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังปรับโครงสร้างธุรกิจให้ RS Mall ซึ่งมีมูลค่าประมาณ 600 ล้านบาท ไปอยู่ภายใต้การดูแลของ GIFT
โดยได้มีการเปลี่ยนชื่อบริษัท ‘Gift Infinite’ มาเป็น ‘RSXYZ’ หลังเข้ามาอยู่ภายใต้การบริหารของ RS Group
 
โจทย์เลยมาอยู่ที่ว่า RS Group จะใช้วิธีไหน ในการนำ “จุดแข็ง” ของทั้ง 2 บริษัท มาผสานกันเพื่อทำให้แต่ละธุรกิจมีศักยภาพในการขับเคลื่อนการเติบโตอย่างยั่งยืน
ก่อนอื่นมาดูก่อนว่าทั้ง 2 บริษัทมีธุรกิจอะไรบ้าง ?
RS Group นับตั้งแต่ทรานส์ฟอร์มธุรกิจในปี 2557 ก้าวข้ามขีดจำกัดของธุรกิจเพลงและบันเทิง และขยายสู่ธุรกิจพาณิชย์ที่นำเสนอสินค้าและบริการเพื่อสุขภาพและความงามภายใต้แบรนด์หลากหลาย เช่น Erb, TellmeDarling, well u, beyonde, vitanature+ และอื่น ๆ อีกมากมาย
ผ่านรูปแบบที่หลากหลาย ทั้งธุรกิจที่สร้างขึ้นมาเอง, ซื้อกิจการ และเข้าถือหุ้น เป็นต้น
โดยธุรกิจใหม่ ๆ เหล่านี้ ปัจจุบันได้กลายเป็นเครื่องยนต์หลักที่สร้างรายได้เติบโตให้ RS Group อย่างต่อเนื่องในทุก ๆ ปี
ส่วนทางฝั่ง GIFT ที่ปัจจุบันคือบริษัท “RSXYZ” มี 3 กลุ่มธุรกิจหลัก ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนยุคใหม่ ได้แก่ กลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีและนวัตกรรม, กลุ่มธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม, กลุ่มธุรกิจสุขภาพและความงาม
โดยหลังการควบรวมกิจการเข้าด้วยกันได้มีการปรับโครงสร้างบริษัทครั้งใหญ่ ทำให้ RS Group จะมี 5 บริษัทใหญ่อยู่ในเครือแบ่งเป็น 2 ธุรกิจหลัก
1. Entertainment : RS Music & Entertainment, ช่อง 8
2. Consumer Lifestyle : RSXYZ, RS pet all, ULife
ที่น่าสนใจกว่านั้น 2 ธุรกิจหลักนี้ ยังแตกไลน์ไปยัง 6 ธุรกิจไลฟ์สไตล์ครบวงจร ที่มีถึง 28 แบรนด์ ที่ใช้ขับเคลื่อนรายได้อย่างหลากหลาย ได้แก่
1. Music & Entertainment : COOLfahrenheit, Rsiam, BRIQ Entertainment, FASH, RS Showbiz, RS Broadcast, TCC
2. Health & Beauty : Erb, well u, beyonde, vitanature+, TellmeDarling, DARING & CO., aviance, bbooty, iFresh
3. Food & Beverage : BEAM, OKONOMI, Mom's Touch, Beer Belly
4. Tech & Innovations : A Lot Tech
5. Petcare : Lifemate, HATO, Jungle Monster Thailand, Pet All My Love
6. Platforms : ULife, RS Mall, RS Mall X
ทั้งนี้ รายได้ทั้งหมดจะแบ่งเป็น 2 ส่วนหลัก ได้แก่ ธุรกิจ Entertainment สัดส่วน 25% ส่วน Consumer Lifestyle สัดส่วน 75%
ด้วยสเกลธุรกิจที่ใหญ่ขึ้นกว่าเดิม ทำให้แต่ละแบรนด์จะมีแต้มต่อในการแข่งขันในแต่ละอุตสาหกรรม ขึ้นอยู่กับว่า จะเลือกใช้วิธีไหน ในช่วงเวลาใด
ตรงนี้เองที่ลงทุนแมนเห็นถึงความโดดเด่นที่ได้มาจากการผสานศักยภาพของทั้งสองบริษัท โดยแบ่งง่าย ๆ เป็น 4 ด้านหลัก ๆ ดังนี้
1. Business Diversification เพิ่มความหลากหลายทางธุรกิจสอดคล้องกับไลฟ์สไตล์คนในปัจจุบัน พร้อมสร้างการเติบโตก้าวกระโดด ทั้งยังช่วยกระจายความเสี่ยงทางธุรกิจและลดการพึ่งพิงธุรกิจใดธุรกิจหนึ่ง
1
2. Synergy of Competence ด้วยความโดดเด่นของ Ecosystem ของ RS Group ที่ครบวงจร สามารถผสานศักยภาพธุรกิจหลากหลายในเครือได้อย่างไร้รอยต่อ เช่น
 
- การใช้ประสบการณ์ด้านดิจิทัลแพลตฟอร์มต่าง ๆ ของ A Lot Tech ในเครือ GIFT ที่มีฐานลูกค้าหลายล้านคนต่อเดือน และมียอดขายปีละ 2,500 ล้านบาท มาต่อยอดการขายสินค้าของ RS LiveWell และแบรนด์อื่น ๆ
- พนักงานแต่ละธุรกิจสามารถแชร์ไอเดียการทำงานร่วมกันได้ ที่จะนำมาต่อยอดการสร้างสินค้าและบริการที่ดีขึ้นกว่าเดิม และแตกต่างจากคู่แข่ง
- ด้าน GIFT เองก็สามารถใช้ทรัพยากรบุคคล รวมถึงระบบ Back Office และ Fulfillment ของทาง RS มาเสริมความแข็งแกร่งในการบริการลูกค้าให้ครบลูป ทำให้ประสบการณ์ของลูกค้าดียิ่งขึ้นไปอีก
3. Instant Growth สร้างการเติบโตได้ทันที เพราะ GIFT มีแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จและมีศักยภาพสูงอยู่แล้ว
4. Solid Financial Performance ธุรกิจของ GIFT ล้วนเป็นธุรกิจที่มีมาร์จินสูงและมีศักยภาพในการเติบโตสูง ซึ่งในที่สุดจะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้ RS Group โดยรวมขึ้นไปอีก
สรุปคือ การควบรวมกิจการครั้งนี้เหมือนการเติมจิกซอว์ชิ้นสำคัญ ด้วยการนำจุดแข็งของแต่ละฝ่ายมาผสานกันอย่างลงตัว
ผลลัพธ์ที่ได้คือพลังของ Economies of Scale ที่ช่วยประหยัดต้นทุนและการใช้แต่ละธุรกิจในมือสนับสนุนกัน เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในแต่ละอุตสาหกรรม
นอกจากนี้ ความหลากหลายของธุรกิจยังสามารถช่วยกระจายความเสี่ยงทางธุรกิจ และลดการพึ่งพิงธุรกิจใดธุรกิจหนึ่งอีกด้วย
หลังจากนี้ คงต้องติดตามดูกันต่อไปอย่างใกล้ชิดว่า RS Group จะมีอะไรมาเซอร์ไพรส์อีก เพราะนอกจากความเคลื่อนไหวของ RS Group จะน่าสนใจยิ่งกว่าเดิม การควบรวมกิจการครั้งนี้ของ RS Group ยังเกี่ยวข้องกับเราทุกคนด้วย
อยาก...ฟังเพลงหรือดูคอนเสิร์ต ก็จะมีธุรกิจ Music & Entertainment
อยาก...ดูแลสุขภาพ ก็จะมีธุรกิจ Health & Beauty
อยาก...กินอาหารอร่อย ๆ ก็จะมีธุรกิจ Food & Beverage
อยาก...เลี้ยงสัตว์ให้มีสุขภาพดี ก็จะมีธุรกิจ Petcare
พูดง่าย ๆ คือ RS Group ขยับมาเป็นบริษัท Consumer Lifestyle อย่างสมบูรณ์ โดยคนที่ได้ประโยชน์สูงสุดก็คือ “ผู้บริโภค” นั่นเอง..
เพราะนอกจากจะได้สินค้าและบริการใหม่ ๆ ที่ดีขึ้น ตัวเราเองก็ยังมีตัวเลือก ที่หลากหลายกว่าเดิม เพื่อนำไปเปรียบเทียบว่า “สิ่งไหนดีที่สุดสำหรับตัวเรา”
Reference
-ข้อมูลเปิดเผย RS Group
โฆษณา