17 ต.ค. เวลา 08:00 • หุ้น & เศรษฐกิจ

“เงิน 10,000 ฟื้นเศรษฐกิจได้ชั่วคราว” ดัน GDP ปี 67 โต 2.8%

เกียรตินาคินภัทร ชี้มาตรการแจกเงินหนุนเศรษฐกิจไทยฟื้นชั่วคราว ปรับ GDP ปี 67 เป็น 2.8% ปี 68 เป็น 3% แนะรัฐเร่งปฏิรูปเชิงโครงสร้าง
จากบทวิเคราะห์ของ KKP Research โดยกลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร ระบุว่าแม้เศรษฐกิจไทยยังเผชิญความท้าทายจากปัญหาเชิงโครงสร้างในระยะยาว แต่ KKP Research ยังคงปรับประมาณการเศรษฐกิจในปี 2567 เพิ่มขึ้นจาก 2.6% เป็น 2.8% และปี 2568 เพิ่มขึ้นจาก 2.8% เป็น 3% เพื่อสะท้อนแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในระยะสั้น
จาก 2 ปัจจัยบวกที่สำคัญ คือ 1.การแจกเงินให้กลุ่มเปราะบางของภาครัฐในช่วงไตรมาส 4 ปีนี้ และงบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมที่ตั้งรอไว้สำหรับปีหน้า
KKP ชี้มาตรการแจกเงินหนุนเศรษฐกิจไทยฟื้นชั่วคราว
2.การปรับตัวดีขึ้นของการส่งออกบางกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าที่เกี่ยวข้องกับอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งเป็นการฟื้นตัวตามวัฏจักรอิเล็กทรอนิกส์โลก
ในขณะที่การลงทุนภาคเอกชน การผลิตบางกลุ่มและการบริโภคสินค้าคงทนยังเป็นปัจจัยฉุดเศรษฐกิจไทยในช่วงที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยยังเป็นการปรับตัวดีขึ้นในระยะสั้นเท่านั้น จากแรงกดดันเชิงโครงสร้างในระยะยาวต่อเศรษฐกิจไทยที่ยังมีอยู่ ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างประชากรที่เข้าสู่สังคมสูงอายุ ปัญหาความสามารถในการแข่งขันระยะยาวในภาคการผลิต และหนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูง
KKP Research ประเมินว่าการเติบโตระยะยาวของเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มโตได้ต่ำกว่า 2.5% หากไม่มีการปฏิรูปเศรษฐกิจที่ชัดเจน
การส่งออกปรับตัวดีกว่าคาด แต่ผลต่อเศรษฐกิจอาจไม่มาก
KKP Research ปรับประมาณการการส่งออก (ที่แท้จริง) ในปี 2567 เพิ่มขึ้นจาก 1.3% เป็น 2.3% จากการส่งออกช่วงที่ผ่านมาขยายตัวดีกว่าที่ประเมินไว้ในหลายกลุ่ม แต่มีข้อสังเกตที่น่าสนใจคือผลบวกต่อเศรษฐกิจจากการส่งออกอาจมีไม่มากเท่ากับในอดีตจากหลายสาเหตุ ได้แก่
  • 1.
    การส่งออกที่ปรับตัวดีขึ้นในบางสินค้ามีแนวโน้มเกิดจากการ “Rerouting” หรือการเปลี่ยนเส้นทางการค้าจากจีนไปสหรัฐฯ โดยเป็นการส่งสินค้าจากจีนผ่านไทยไปยังสหรัฐฯ เพื่อหลีกเลี่ยงการกีดกันทางภาษี ซึ่งอาจมีมูลค่าเพิ่มภายในประเทศค่อนข้างน้อย
  • 2.
    การส่งออกที่เป็นตัวเงินปรับตัวดีขึ้น ในขณะที่การส่งออกที่แท้จริงอาจปรับตัวสูงขึ้นน้อยกว่า
  • 3.
    การผลิตสินค้าบางกลุ่มยังไม่ปรับตัวดีขึ้นตามการส่งออก เนื่องจากสินค้าคงคลังที่ยังอยู่ในระดับสูง เช่น กลุ่ม ICs และ Electronics จากมูลค่าเพิ่มในประเทศที่มีแนวโน้มลดลง
KKP Research ประเมินว่าการเพิ่มขึ้นของการส่งออก 1% จะส่งผลบวกต่อเศรษฐกิจลดลงจากประมาณ 0.3ppt เหลือประมาณ 0.1ppt ถึง 0.2ppt เท่านั้น
ความหวังจากนโยบายภาครัฐใหม่
เศรษฐกิจไทยน่าจะได้รับผลบวกระยะสั้นจากการแจกเงิน 142,000 ล้านบาทให้กลุ่มเปราะบาง หรือคิดเป็น 0.7% ของ GDP โดยการแจกเงินรอบแรกจะส่งผลบวกต่อเศรษฐกิจประมาณ 0.2-0.3 ppt และมีแนวโน้มส่งผลให้เศรษฐกิจไทยในไตรมาส 4 ปีนี้โตได้เกิน 4% ขณะเดียวกันในปีงบประมาณ 67/68 ยังอนุมัติงบอีก 150,000-180,000 ล้านบาท หรือคิดเป็น 0.8%-0.9% ของ GDP ประเมินว่าการแจกเงินก้อนที่สองจะใช้ได้ในช่วงไตรมาส 2-3 ปีหน้า น่าจะช่วยให้เศรษฐกิจไทยในปี 2568 โตขึ้นได้ประมาณ 3%
นอกจากนี้ในช่วงที่ผ่านมารัฐบาลยังประกาศนโยบายเศรษฐกิจใหม่และแนวโน้มสถานการณ์การเมืองไทยที่มั่นคงขึ้นในระยะสั้น โดยนโยบายที่สำคัญคือการปรับโครงสร้างหนี้ การส่งเสริมและปกป้องผู้ประกอบการรายเล็กถึงกลางจากการแข่งขันจากต่างประเทศ การให้ความช่วยเหลือด้านราคาพลังงานและสาธารณูปโภค การดึงเศรษฐกิจนอกระบบเข้าสู่เศรษฐกิจในระบบ และนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม
แต่สิ่งที่น่ากังวลคือหลายนโยบายยังมีแผนดำเนินงานไม่ชัดเจน และข้อจำกัดด้านหนี้สาธารณะของภาครัฐ สะท้อนจากหนี้สาธารณะต่อ GDP ของภาครัฐในปัจจุบันกำลังปรับเพิ่มขึ้นเข้าสู่ระดับ 70% ของ GDP ในขณะที่รายได้ภาษีต่อ GDP มีแนวโน้มลดลง
KKP Research โดยกลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร
4 ปัญหาเชิงโครงสร้างยังคงฉุดให้เศรษฐกิจไทยโตต่ำ
KKP Research ยังคงมุมมองระยะยาวต่อเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มโตได้ต่ำกว่า 2.5% หากไทยยังขาดนโยบายปฏิรูปเชิงโครงสร้างที่ชัดเจน โดยประเมินว่าในระยะข้างหน้าเศรษฐกิจยังคงเผชิญกับสี่แรงกดดันเชิงโครงสร้างที่สำคัญ คือ
1. โครงสร้างประชากร โครงสร้างประชากรไทยในปัจจุบันกำลังเป็นปัจจัยลบต่อศักยภาพเศรษฐกิจไทยในระยะยาว จากจำนวนคนวัยทำงานที่ผ่านจุดสูงสุดไปแล้วในปี 2558
2. ความสามารถในการแข่งขัน ภาคการผลิตไทยเผชิญปัญหาความสามารถในการแข่งขันในหลายอุตสาหกรรม ทั้งยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ ปิโตรเคมี โดยการผลิตมีทิศทางหดตัวลงต่อเนื่องจากทั้งการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและการแข่งขันที่เพิ่มสูงขึ้นจากสินค้านำเข้าจากต่างประเทศ
3. ภาคการผลิตและการลงทุนภาคเอกชน การลงทุนภาคเอกชนไทยหดตัวลงรุนแรงถึง 5.7% ในไตรมาส 2 ของปีสูงกว่าที่คาดไว้ โดยการหดตัวเกิดขึ้นหลังภาคการผลิตไทยหดตัวต่อเนื่องเป็นเวลานาน ในขณะที่การลงทุนในกลุ่มการก่อสร้างหดตัวลงเช่นกันตามตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่อ่อนแอ
4. สถานะทางการเงินของครัวเรือนที่อ่อนแอ หนี้ครัวเรือนในปัจจุบันยังสูงกว่า 80% ซึ่งเป็นระดับที่เริ่มฉุดศักยภาพการเติบโตของเศรษฐกิจในระยะยาว ประกอบกับหนี้เสียในภาคธนาคารเริ่มปรับตัวสูงขึ้นชัดเจนในช่วงที่ผ่านมาสอดคล้องกับยอดปล่อยสินเชื่อใหม่ของธนาคารพาณิชย์ที่ยังมีแนวโน้มหดตัวลง
ดุลบัญชีเดินสะพัดยังคงอ่อนแอ
ช่วงที่ผ่านมาเงินบาทแข็งค่าขึ้นเร็วและเป็นหนึ่งในสกุลเงินที่แข็งขึ้นเร็วมากที่สุดในภูมิภาค แต่การแข็งค่าของเงินบาทเกิดจากปัจจัยระยะสั้น ได้แก่ การอ่อนค่าลงเร็วของเงินดอลลาร์ จากการคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐปรับลดอัตราดอกเบี้ย บรรยากาศลงทุนปรับตัวดีขึ้น จากสถานการณ์การเมืองที่มีทิศทางชัดเจนขึ้น และราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้น
ระยะต่อไปประเมินว่าปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจในระยะยาวยังไม่สอดคล้องกับเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นในระยะสั้น ดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยยังต่ำกว่าช่วงที่ผ่านมา แม้จำนวนนักท่องเที่ยวกลับไปใกล้เคียงกับระดับก่อนโควิด โดยการเกินดุลในระยะต่อไปจะอยู่ในระดับ 1-3% ของ GDP เมื่อเทียบกับก่อนโควิดที่ระดับ 7-8% เป็นผลมาจากหลายองค์ประกอบ ทั้งดุลการค้าที่เกินดุลน้อยลงตามราคาน้ำมันและความสามารถในการแข่งขัน รายได้จากการท่องเที่ยวที่ลดลง และค่าขนส่งที่ยังสูงกว่าช่วงก่อนโควิด
ดอกเบี้ยเข้าสู่ขาลง
แม้ว่า KKP Research จะปรับประมาณการณ์เศรษฐกิจในปีนี้และปีหน้าขึ้นแต่ยังประเมินว่าธนาคารแห่งประเทศไทยจะเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 1 ครั้งในปีนี้ และลดดอกเบี้ยต่อเนื่องอีก 2 ครั้งในไตรมาส 1 และ 2 ปีหน้าสู่ระดับ 1.75% จากอัตราดอกเบี้ยปัจจุบันอยู่ในระดับค่อนข้างสูงแล้วเมื่อเทียบกับเงินเฟ้อ การเติบโตทางเศรษฐกิจ ระดับอัตราดอกเบี้ยในอดีต และระดับอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงของประเทศพัฒนาแล้ว ในขณะที่หนี้ครัวเรือนที่อยูในระดับสูงเริ่มมีสัญญาณปรับตัวลดลงในช่วงที่ผ่านมา
อ่านเนื้อหาต้นฉบับได้ที่ : https://www.pptvhd36.com/wealth/economic/234733
ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมที่เว็บไซต์ https://www.pptvhd36.com
และช่องทาง Social Media
โฆษณา