17 ต.ค. เวลา 11:19 • ประวัติศาสตร์

“ซินเธีย เลนนอน (Cynthia Lennon)” ภรรยาผู้น่าสงสารของ “จอห์น เลนนอน (John Lennon)”

หลายคนที่เป็นคอดนตรีน่าจะต้องรู้จัก “จอห์น เลนนอน (John Lennon)” เป็นอย่างดี
เขาผู้นี้คือนักดนตรีในตำนานระดับโลก เป็นหนึ่งในสมาชิกวง “เดอะบีทเทิลส์ (The Beatles)” วงดนตรีระดับโลกที่ครองใจแฟนเพลงทั้งรุ่นเก่าและรุ่นใหม่
และเมื่อพูดถึงจอห์น เลนนอน หลายคนก็มักจะพูดถึง “โยโกะ โอโนะ (Yoko Ono)” ภรรยาของจอห์น เลนนอน หากแต่น้อยคนที่จะพูดถึง “ซินเธีย เลนนอน (Cynthia Lennon)” ภรรยาคนแรกที่ถูกทอดทิ้งของจอห์น เลนนอน
1
จอห์น เลนนอน (John Lennon)
เรื่องราวของเธอเป็นอย่างไร ผมจะเล่าให้ฟังครับ
“ซินเธีย พาวเวลล์ (Cynthia Powell)” เกิดในปีค.ศ.1939 (พ.ศ.2482) ที่ประเทศอังกฤษ โดยเป็นเด็กที่มีพรสวรรค์ด้านศิลปะและการออกแบบ ทำให้เมื่อเติบโตเป็นวัยรุ่น ซินเธียจึงเข้าศึกษาในวิทยาลัยศิลปะลิเวอร์พูลในปีค.ศ.1957 (พ.ศ.2500)
ที่วิทยาลัยศิลปะลิเวอร์พูลนี้้เอง คือที่ที่ซินเธียจะได้พบกับ “จอห์น เลนนอน (John Lennon)” ชายที่จะเปลี่ยนชีวิตของเธอไปตลอดกาล
ซินเธียได้พบและรู้จักกับจอห์นในคาบเรียนหนึ่งที่วิทยาลัย ซึ่งจอห์นก็ได้เข้ามาแนะนำตัวและทำความรู้จักกับซินเธีย ซึ่งในทีแรก ซินเธียก็ยังไม่ได้รู้สึกพิเศษกับจอห์นเนื่องจากจอห์นไม่ใช่ผู้ชายในแบบที่ซินเธียชอบ แต่ก็รู้สึกมีอะไรบางอย่างในตัวจอห์นที่พิเศษกว่าคนอื่นๆ
ซินเธีย เลนนอน (Cynthia Lennon)
ทั้งคู่เริ่มออกเดทกันในปีค.ศ.1958 (พ.ศ.2501) และความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ดูจะไปได้ไม่ดีตั้งแต่ทีแรก
ซินเธียพบว่าจอห์นนั้นเป็นคนที่มีอารมณ์ร้อนรุนแรง อีกทั้งยังขี้หึงอย่างมาก
ซินเธียเคยให้สัมภาษณ์โดยเล่าให้ฟังว่าครั้งหนึ่ง จอห์นเคยตบเธอเพราะหึงที่เห็นเธอเต้นรำกับ “สจ๊วต ซุตคลิฟฟ์ (Stuart Sutcliffe)” หนึ่งในสมาชิกยุคแรกของเดอะบีทเทิลส์
จอห์นกับซินเธียขณะเป็นนักศึกษาวิทยาลัยศิลปะ
ซินเธียถูกจอห์นตบจนหน้าไปกระแทกกับท่อน้ำ ก่อนที่จอห์นจะเดินหนีไปด้วยความโมโห
จากเหตุการณ์นี้ทำให้ซินเธียจบความสัมพันธ์กับจอห์น แต่อีกสามเดือนต่อมา จอห์นก็ได้มาขอโทษและง้อขอคืนดี ทำให้ซินเธียใจอ่อน และยอมตกลงกลับมาคบกับจอห์น
แต่ไม่แน่ใจนักว่าการตัดสินใจของซินเธียนั้นถูกหรือไม่ เพราะหลังจากที่ทั้งคู่แต่งงานและมีลูกด้วยกัน ดูเหมือนทุกอย่างก็ยิ่งเลวร้ายลงไปอีก
1
ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ.1962 (พ.ศ.2505) ซินเธียได้จบการศึกษาจากวิทยาลัยศิลปะลิเวอร์พูลและกำลังจะเริ่มทำงานเป็นครูสอนศิลปะ หากแต่เธอก็พบว่าตนนั้นกำลังตั้งครรภ์บุตรของจอห์น
เมื่อจอห์นได้รับทราบข่าวนี้ จอห์นก็พูดกับซินเธียเพียงว่า
“ก็เหลือทางออกแค่ทางเดียวแล้วล่ะนะซิน เราต้องแต่งงานกัน”
หนุ่มสาวทั้งคู่แต่งงานกันอย่างเงียบๆ ในลิเวอร์พูลเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม ค.ศ.1962 (พ.ศ.2505)
ในเวลานั้น จอห์นได้เป็นสมาชิกคนสำคัญของเดอะบีทเทิลส์ และอนาคตทางดนตรีของจอห์นก็ดูแล้วจะไปได้ไกลทีเดียว ทำให้ซินเธียต้องใช้ชีวิตในช่วงแรกหลังแต่งงานอยู่เพียงลำพังในลิเวอร์พูล คอยดูแล “จูเลียน เลนนอน (Julian Lennon)” บุตรชายซึ่งกำลังแบเบาะ ส่วนจอห์นก็ออกทัวร์คอนเสิร์ตไปทั่วโลก
ในช่วงที่เดอะบีทเทิลส์โด่งดังสุดขีดไปทั่วโลก “ไบรอัน เอ็ปสไตน์ (Brian Epstein)” ผู้จัดการวงเดอะบีทเทิลส์ได้พยายามทำทุกทางเพื่อปกปิดให้เรื่องการแต่งงานของจอห์นเป็นความลับ
หากแต่ข่าวลือเรื่องที่ว่าจอห์นแต่งงานแล้วก็ได้แพร่กระจายออกไป ซึ่งทางวงก็ได้ปฏิเสธมาโดยตลอด หากแต่สื่อก็ตามขุดไม่เลิก ทำให้ซินเธียต้องคอยหลบนักข่าวที่มานั่งออกันหน้าบ้านเพื่อตามถ่ายภาพของเธอ
1
จอห์น จูเลียน และซินเธีย
ค.ศ.1964 (พ.ศ.2507) จอห์นได้ชวนซินเธียไปสหรัฐอเมริกา ซึ่งที่สหรัฐอเมริกา นักข่าวก็ได้ตามถ่ายภาพคนทั้งคู่ขนาดอยู่ด้วยกัน และในที่สุด ความลับก็ได้ถูกเผยออกไปว่าซินเธียคือภรรยาของจอห์น เลนนอน นักดนตรีระดับโลก
ตั้งแต่ค.ศ.1964 (พ.ศ.2507) ซินเธียและจอห์นก็ได้อาศัยอยู่ด้วยกันอย่างเปิดเผย โดยทั้งคู่ซื้อบ้านที่หรูหราขนาด 22 ห้องนอนในเซอร์เรย์ และตั้งชื่อว่า “เคนวูด (Kenwood)”
1
แต่ความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่ก็ยังคงวุ่นวาย โดยว่ากันว่า จอห์นมักจะกดขี่ซินเธียตลอดช่วงเวลาที่ทั้งคู่แต่งงานกัน และเมื่อถึงปีค.ศ.1965 (พ.ศ.2508) จอห์นก็ได้ติดยาอย่างหนัก ทั้งกัญชาและยาหลอนประสาทต่างๆ โดยจอห์นยอมรับในภายหลังว่าในช่วงเวลาห้าปี ตนนั้นใช้ยาแอลเอสดีไปกว่า 1,000 ครั้ง
3
เคนวูด (Kenwood)
ยิ่งใช้ยา จอห์นก็ยิ่งห่างเหินจากซินเธียและลูก และดูเหมือนจอห์นต้องการจะออกท่องโลก ใช้ชีวิตให้มากกว่านี้
ค.ศ.1966 (พ.ศ.2509) จอห์นได้พบกับศิลปินชาวญี่ปุ่นที่ชื่อ “โยโกะ โอโนะ (Yoko Ono)” ในแกลเลอรีศิลปะที่นิวยอร์ก ซึ่งโยโกะก็แสดงออกอย่างชัดเจนว่าสนใจในตัวจอห์น มักจะส่งจดหมายหาจอห์นและไปหาจอห์นที่เคนวูดเป็นประจำ
ค.ศ.1968 (พ.ศ.2511) สมาชิกเดอะบีทเทิลส์และภรรยาของพวกตน ได้บินไปอินเดียเพื่อศึกษาเรื่องการทำสมาธิ และในเวลานั้นเอง ซินเธียก็เริ่มสงสัยในความสัมพันธ์ระหว่างจอห์นกับโยโกะ โดยแม้แต่เวลาที่จอห์นไปอินเดีย โยโกะก็ยังคงไม่หยุดส่งจดหมายหาจอห์น
โยโกะ โอโนะ (Yoko Ono)
ในขณะที่นั่งเครื่องบินกลับจากอินเดีย จอห์นได้สารภาพกับซินเธียว่าที่ผ่านมาตนนั้นได้นอกใจซินเธียมานับครั้งไม่ถ้วน สร้างความเจ็บช้ำใจให้ซินเธีย หากแต่ความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่ก็ยังไม่ได้จบลงในทันที หากแต่มาจบลงในคราวของโยโกะ
1
ในปีนั้นเอง ซินเธียกลับมาบ้านที่เคนวูดและพบว่าจอห์นอยู่กับโยโกะที่เคนวูด
ซินเธียได้เขียนเล่าเหตุการณ์นี้ลงในบันทึก ความว่า
“ฉันพบผู้หญิงคนนี้ (โยโกะ) นั่งอยู่ข้างสามีของฉัน และทั้งคู่ก็อยู่ในชุดคลุมอาบน้ำ เห็นได้ชัดว่าเธออยู่ที่นี่ทั้งคืน“
1
โยโกะและซินเธีย
ในหนังสือเรื่อง “John” ซึ่งเป็นบันทึกที่ซินเธียได้เขียนตีพิมพ์ในปีค.ศ.2005 (พ.ศ.2548) ซินเธียเขียนเล่าว่า
“ฉันพูดกับจอห์นว่า ”สวัสดีจอห์น ออกไปทานอาหารเย็นด้วยกันมั้ย?“ ตอนนั้นฉันไม่รู้ว่าควรจะพูดว่าอะไรดี และจอห์นก็แค่มองฉัน คนทั้งคู่มองมาที่ฉัน และจอห์นก็พูดแค่ว่า ”ไม่เป็นไร ขอบคุณ“ ฉันไม่รู้ว่าควรจะทำอะไร ฉันต้องเดินออกมาจากสถานการณ์นั้น”
จากนั้นไม่นาน จอห์นก็ได้ฟ้องหย่าซินเธีย โดยจอห์นกล่าวหาว่าซินเธียนั้นนอกใจ คบชู้ หากแต่ความจริงก็ปรากฎในภายหลังว่าโยโกะตั้งครรภ์บุตรของจอห์น ทำให้ซินเธียฟ้องกลับ
ผลจากการหย่า ทำให้จอห์นต้องจ่ายเงินให้แก่ซินเธีย หากแต่จอห์นก็ไม่ยอมจ่ายให้มากเกินกว่า 75,000 ปอนด์ (ประมาณ 3.2 ล้านบาท) เท่านั้น
2
บทความในปีค.ศ.2015 (พ.ศ.2558) ได้เขียนเล่าถึงเหตุการณ์นี้ โดยบอกว่าจอห์นได้กล่าวกับซินเธียว่า
“เงินนั่น (75,000 ปอนด์) ก็เหมือนกับถูกหวยรางวัลที่หนึ่งสำหรับเธอเลยนะ แล้วจะมาคร่ำครวญหาอะไร เธอไม่ได้มีความหมายอะไรอีกต่อไปแล้ว”
การฟ้องร้องยังดำเนินต่อไปและไปสิ้นสุดในปลายปีค.ศ.1968 (พ.ศ.2511) โดยศาลตัดสินให้จอห์นจ่ายเงินแก่ซินเธียเป็นจำนวน 100,000 ปอนด์ (ประมาณ 4.3 ล้านบาท) และสิทธิในการเลี้ยงดูจูเลียนก็ตกเป็นของซินเธีย
แต่ถึงจะหย่ากับจอห์น แต่สมาชิกในวงเดอะบีทเทิลส์อย่าง “พอล แมคคาร์ทนีย์ (Paul McCartney)“ ก็เห็นใจและยังคงติดต่อกับซินเธีย อีกทั้งยังได้แต่งเพลง ”Hey Jude” เพื่อเป็นการปลอบประโลมจูเลียนที่ต้องมาเจอกับความสัมพันธ์ที่ยุ่งเหยิงของผู้เป็นพ่อและผู้เป็นแม่
พอลกับจูเลียน
สองปีต่อมา ซินเธียก็ได้แต่งงานใหม่ หากแต่ก็หย่าร้างกันในเวลาต่อมา ก่อนที่ในยุค 70 (พ.ศ.2513-2522) ซินเธียจะย้ายไปอาศัยยังเวลส์ และเปิดร้านอาหารกับที่พัก B&B ส่วนจูเลียนก็เข้าศึกษาในโรงเรียนละแวกใกล้เคียง
1
ค.ศ.1976 (พ.ศ.2519) ซินเธียได้แต่งงานใหม่อีกครั้ง และได้ตีพิมพ์บันทึกของตนออกวางจำหน่าย ซึ่งจอห์นก็พยายามจะหยุดยั้งไม่ให้หนังสือนี้ได้รับการตีพิมพ์
ค.ศ.1980 (พ.ศ.2523) จอห์นถูกยิงเสียชีวิตที่นิวยอร์ก ซึ่งซินเธียก็ตกตะลึงกับข่าวที่ได้ยิน และได้ให้สัมภาษณ์ในเวลาต่อมาว่าเธอไม่เคยหยุดรักหรือเลิกเป็นห่วงจอห์นเลย
1
ซินเธียได้หย่าขาดจากสามีและแต่งงานใหม่อีกหลายครั้ง แต่สุดท้าย ซินเธียก็ตัดสินใจจะกลับไปใช้นามสกุล “เลนนอน (Lennon)” ด้วยเหตุผลทางธุรกิจ
ซินเธียในวัยชรา
ในช่วงปลายยุค 80 (พ.ศ.2523-2532) ซินเธียได้ออกไลน์น้ำหอมชื่อว่า “Woman” ตามเพลงของจอห์น และเปิดร้านอาหารในลอนดอนชื่อว่า ”Lennon’s“ หากแต่ธุรกิจทั้งคู่ก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จมากเท่าใดนัก
ในไม่ช้า ซินเธียต้องนำของเก่าๆ ที่เคยมีสมัยยังอยู่กินกับจอห์นออกประมูลขายเพื่อนำเงินมาเลี้ยงปากท้อง และในปีค.ศ.1995 (พ.ศ.2538) เธอยังพยายามจะเดบิวต์เป็นศิลปินด้วยเพลง “Those Were The Days” หากแต่เพลงของเธอก็ไม่ใช่เพลงฮิต
1
ซินเธียยังคงทำงานภายใต้เงาของเดอะบีทเทิลส์ต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเสียชีวิตจากโรคมะเร็งในปีค.ศ.2015 (พ.ศ.2558) ด้วยวัย 75 ปี
ก่อนเสียชีวิต เมื่อให้กล่าวถึงชีวิตที่ผ่านมา ซินเธียเขียนลงในบันทึกว่า
“หากฉันรู้ตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่นว่าการตกหลุมรักจอห์น เลนนอนจะนำพาฉันไปเจอกับอะไรบ้าง ฉันจะหันหลังและเดินหนีไปในทันที”
1
โฆษณา