17 ต.ค. เวลา 10:14 • ข่าว

เก็บค่าธรรมเนียมรถติด เห็นด้วยครับ แต่….

มีข่าวออกมาว่ารัฐบาลเตรียมเก็บค่าธรรมเนียมรถติด
ในเขตพื้นที่การจราจรหนาแน่น เช่น สุขุมวิท
เพื่อเอาเงินไปโปะรถไฟฟ้า ให้คนได้ใช้ถูกๆ
ต้องบอกตรงๆว่าผมเห็นด้วยมาก
แม้ว่าตัวเองคงต้องจ่ายเป็นประจำไม่น้อยเลย
ทั้งรถตัวเอง รถบริษัท หากประกาศออกมา
ดันมีโกดัง มีช้อปเฟอร์นิเจอร์แถวนั้นนี่นะ
วันละห้าสิบต่อคัน ก็เอาเถอะ กาแฟแพงกว่านี้อีก จ่ายได้
ต้องบอกว่า ตามหลักการบริหารการจราจรในเมืองใหญ่
แนวคิดนี้ถูกต้องแล้วนะครับ อย่าเพิ่งไปด่ารัฐบาล
ในประเทศที่เจริญแล้ว แม้แต่จีน
การใช้รถในเมืองใหญ่ รัฐมักจะพยายามเพิ่มค่าใช้จ่าย
ให้มากที่สุด บางครั้งมากจนคนจ่ายไม่ไหวเลยก็มี
เช่น ในโตเกียว สิงคโปร์ ฮ่องกง จะเห็นชัดมาก
หลักคิดคือ ให้มันมีรถน้อยที่สุดในย่าน downtown
ต้องรวยจริงๆ หรือจำเป็นจริงๆเท่านั้น ถึงจะขับรถมาได้
บางเมือง ก็ใช้วิธีเก็บค่าที่จอดแพงมหาโหดแทน
การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมภาครัฐตรงๆ
แนวนี้ส่วนมากจะในยุโรป อเมริกา
เข่น ในนิวยอร์ก ลอนดอน โรม เป็นต้น
มันเป็นการบีบ ให้คนที่ไม่จำเป็น ไม่ขับรถมา
และกันไปใช้บริการสาธารณะแทน
แต่แน่นอน ว่าบริการสาธารณะให้ดีแค่ไหนมันไม่ส่งถึงที่
ต้องมีเดินหรือมีต่อพาหนะแบบอื่นด้วย ซึ่งอันนี้แหละที่จะเป็นปัญหาของ กรุงเทพ หากอยากจะทำแบบเมืองใหญ่อื่น….
ปัญหาจริงๆของกรุงเทพ แทบทุกอย่าง
มันมาจากผังเมืองที่แย่ ไร้ทิศทางมาตลอดอายุของมัน
สองร้อยกว่าปีนั่นแหละครับ
นึกจะสร้างอะไร ก็สร้างกันแบบขาดการควบคุม
แม้จะมีกฎหมาย ก็ยังสู้อำนาจเงินง้าง ทนายหัวหมอ
และข้าราชการขี้โกงไม่ได้
มันทำให้เกิดปัญหา ผังเมืองสุดพิศดาร ที่ไม่เหมือนใครในโลก
มีตรอกซอกซอยลึก เยอะ จากการขยายตัวแนวลึก
ของเมืองที่ไม่ถูกหลักการวางผังเมือง
และบ้านพักอาศัยอยู่ปะปนกับสถานประกอบการต่างๆ
มากจนเกินไป จนมั่ว ยากต่อการบริหารจัดการ
นี่แหละจะเป็นปัญหา เมื่อมีแนวคิดจะจัดการการจราจร
และเมื่อจะเก็บเงิน จะเก็บอย่างไร ให้เป็นธรรม
ระหว่างคนอยู่อาศัย ที่ไม่มีผลประโยชน์อื่น
กับภาคธุรกิจ ที่ได้กำไรจากสถานที่…
1
…มันดูแล้วแฟร์ยากครับ…
เมื่อคุณจะเก็บเงินค่ารถติด จากทุกคนที่ใช้ถนน
มันอาจต้องมองในแง่ว่า บางคนเขาไม่ได้รวย
แต่จำเป็นต้องอยู่แถวนั้น แล้วบังเอิญว่ามี และต้องใช้รถเก๋ง
จะทำอย่างไร
เขาไม่ใช่ไปติดต่อธุรกิจ แต่คือกลับบ้าน
เมื่อบ้านลึก มันก็มีความจำเป็น ที่จะต้องใช้รถเก๋ง
เผื่อฝนตก แดดแรง กลับดึก ซึ่งอันนี้พวกผู้หญิงจะเดือดร้อน
จะไปตีว่า คนแถวนั้นต้องมีเงิน ถึงจะอยู่ได้หมด
มันคงไม่ได้หรอก
สุขุมวิทนี่ก็เหอะ เข้าซอยลึกๆไปมาก
ค่าเช่า หรือมูลค่าที่ดิน มันก็ไม่ได้สูงอะไรนัก
แล้วคนกลางๆ หรือแรงงาน ก็อยู่กันตรงนี้เยอะมาก
คนระดับกลางๆหลายคน ที่ต้องทำงานแถวนั้น
มักจะไปเช่าอยู่กัน มันเลยจำเป็น ที่พวกเขาต้องมีรถ
การเพิ่มค่าใช้จ่ายเดือนละ 1,000 บาท มันอาจไม่มาก
ถ้ามีเงินเดือนเกินสองหมื่น และไม่มีภาระ
แต่ถ้าไม่ มันก็หนักเอาเรื่องอยู่แหละ
ในมุมหนึ่ง คนกลุ่มนี้ อาจใช้มอเตอร์ไซค์ซะเยอะ
บางทีผมอาจคิดมากไปเองก็ได้นะ
แต่รัฐก็ควรคิดเผื่อไว้บ้างแหละ
ว่าจะเก็บเงินอย่างไร ให้เป็นธรรมที่สุด…
…ส่วนคนไปติดต่อธุรกิจ ผมว่าคงไม่ได้เดือดร้อนอะไร
มันเป็นต้นทุน แค่กังวลว่า จะเก็บยังไงมากกว่า ขืนตั้งด่านเก็บเงิน ผมว่ามันจะยิ่งทำให้รถติดวายวอดเลยนะนั่น….
กรรมอย่างหนึ่งของเมืองร้อน ฝนชุกอย่างไทย
มันทำให้คนจำเป็นต้องใช้รถยนต์ครับ อันนี้เข้าใจจริงๆ
ผมไม่เคยต่อว่าคนเงินเดือนน้อยแล้วพยายามซื้อรถนะ
เข้าใจจริงๆว่ามันจำเป็น เมื่อถนนเรา มันซอยเยอะ
และลึกมากจนเดินกันไม่ไหว
ใครมีลูกเล็กยิ่งหนักเลย จะไปโรงเรียนทีก็
ลูก เมีย เผื่อฉุกเฉิน สามอย่างนี่คือสิ่งที่ทำให้
คนรายได้ไม่มาก ยังต้องฝืนใจซื้อรถยนต์ครับ
อย่างในประเทศที่เขาผังเมืองดีๆ จะว่ากันเป็นบล็อกๆ
เป็นย่านไป มันก็ยังพอเดินกันได้ เมื่อลงจากรถโดยสาร
ในถนนสายหลัก ถึงจะร้อนหน่อยแบบสิงคโปร์ก็เหอะ
…บล็อกมาตรฐานในต่างประเทศจะไม่เกินสองร้อย
คูณสองร้อยเมตร และการรวมบล็อกเพื่อเชื่อมถนนใหญ่
ที่มีรถสาธารณะ จะต้องไม่เกินสองกิโลเมตร
นี่คือกฎเหล็กของการวางผังเมืองในต่างประเทศเลย…
…ทำให้เดินกันสบายๆไม่เปลี่ยว และมันแผ่ออกในลักษณะสี่เหลี่ยมตารางต่อกัน ไม่ใช่เส้นก๋วยเตี๋ยวซอยลึกแบบไทย
ที่บางครั้งลึกได้มากกว่า 10 กิโลเมตร แล้วยังมีซอยย่อยอีก
ซึ่งบางทีซอยย่อยก็ลึกได้อีกหลายกิโลเมตร เช่น ถนนคู้บอน
หรือย่านโชคชัยสี่ ที่ถูกเรียกว่าผังเมืองที่เละที่สุดของกรุงเทพ
ด้วยถนนเมืองไทย ถ้าบ้านคุณอยู่ในซอย
อย่างน้อยที่สุด คุณต้องมีมอเตอร์ไซค์ หรือสกู๊ตเตอร์แหละ
ถึงจะเข้าออกซอยได้
…ปัญหาก็คือ เมื่ออกจากซอยมา คุณอยากนั่งรถสาธารณะต่อ
คุณก็ไม่มีที่ฝากรถแบบในต่างประเทศอีก ….
สิ่งที่ผังเมืองกรุงเทพเป็น มันบีบให้คนใช้รถเก๋งครับ
ซึ่งมันผิดหลัก ที่ปกติเขาพยายาม จูงใจให้คนไม่ใช้รถกัน
โดยให้มีทางเลือกที่สะดวกและประหยัดกว่า
ไอ้เรื่องราคาขนส่งมวลชนนี่ก็เหมือนกัน
ถ้ายังแพงแบบนี้ คนมันก็คิดแหละ ว่าซื้อรถประหยัดกว่า
แค่ค่ามอเตอร์ไซค์รับจ้างนี่ก็เหอะ ผมว่ามาดูแลกันหน่อยดีไหม
มันแพงไร้เหตุผลมาก แต่ก็ไม่มีใครดูแล…
…แล้วแบบนี้ มันจะแก้ไขอะไรได้…
แนวคิดดี และถูกต้อง กับข่าวที่ออกมา
แต่ผมยังมองว่าปัญหาการดำเนินการจริงๆ มันเยอะ
จนแทบเป็นไปไม่ได้เลย
การแก้ปัญหาในกรุงเทพนั้น
เป็นไปไม่ได้ด้วยการแก้ที่ตัวกรุงเทพเพียงลำพัง
วิธีเดียวที่จะแก้ปัญหากรุงเทพ
คือต้องกระจายความเจริญออกไปอย่างถูกต้อง
แล้วไม่ใช่วิธีกระจายแบบที่ทำๆกันมาด้วยนะ
ประเภทกรุงเทพไปปริมณฑลอย่างเดียวนี่ต้องเลิก
วิธีนี้แก้ปัญหาไม่ได้ และจะยิ่งสร้างปัญหา
เพราะต้องมีถนน ตรอกซอกซอยมากขึ้น เพื่อเชื่อมชั้นใน
และปริมณฑลเข้าด้วยกัน
ดูเถอะ กรุงเทพฝั่งธนฯ วิกฤตไหมล่ะ ไปทางนนท์ฯ
หรือลงใต้ไปทางพระราม2 พอกัน มันชัดเจนครับ
ว่าการขยายตัวแบบเอาไข่ขาวล้อมไข่แดงของเรามันไม่เวิร์ค
…มันต้องเปลี่ยนวิธีคิดได้แล้ว ไม่ใช่อะไรๆก็กรุงเทพ…
อย่าหาว่าผมโหดเลยนะ….
ผมคิดว่าควรเก็บค่าอะไรทุกสิ่งอย่างในกรุงเทพ
ให้แพงมากๆไปเลย เหมือนที่อื่นบนโลกนั่นแหละ
มันจะบีบคนและธุรกิจให้ออกไปหาเมืองใหม่อยู่
และพัฒนา สร้างเมืองกันเอง
ธุรกิจอยู่ไม่ได้หรอก ถ้าต้องแบกค่าใช้จ่ายด้านอาคารสถานที่
และค่าดำเนินการมาก เขาจะย้ายหนี แล้วคนก็จะย้ายตามงานไปเอง นี่คือหลักที่ถูกต้อง
มีแต่วิธีนี้เท่านั้นครับ ที่จะแก้ปัญหากรุงเทพ
และความสิ้นเปลืองต่างๆ ที่มีผลจากปัญหา
เมืองหลวงของประเทศไทยได้
เอาแค่เงินที่ต้องมาอุ้มน้ำมันให้คนกรุงใช้ มันก็เยอะมากแล้ว
รถไฟฟ้านี่สร้างกันจัง ไอ้ทีเดียวหกสายก็บ้าทำแบบไม่ฟังใคร
ซึ่งมันแก้ปัญหาอะไรไม่ได้
แบบนี้คนมันก็ยิ่งไม่ไปไหน เพราะธุรกิจมันก็ยิ่งลงทุนเพิ่ม
มันผิดหลักการบริหารจัดการเมืองใหญ่มากๆครับ…
คนกรุงเทพ อาจชอบทวงบุญคุณจากภาษีของตัวเอง
ว่าจ่ายมากที่สุด ซึ่งมันก็ไม่ถูกนัก…
เพราะในความเป็นจริง ค่าใช้จ่ายที่เอามาบริหารจัดการ
กรุงเทพ ที่สร้างปัญหาต่อเนื่องต่างๆ และการเผาผลาญพลังงานที่เปล่าประโยชน์ มันเกินที่คนกรุงเทพจ่ายไปเยอะ…
…จะบอกว่า ความจริงคนกรุงเทพนั่นแหละ
เบียดเบียนคนต่างจังหวัดยังได้เลย ….
กรุงเทพ ด้วยตัวมันเอง แก้อะไรไม่ได้แล้วครับ
จะแนวคิดดียังไงก็เหอะ…
…กระจายความเจริญ สร้างหัวเมืองใหม่เท่านั้น คือคำตอบ…
…ซึ่งยาก เพราะประเทศนี้กับการกระจายความเจริญ
มันเป็นเหมือนเส้นขนาน
มันอาจจริงที่มีเมืองอื่นโตขึ้นมา แต่เชื่อหรือไม่ ว่ามันไม่ได้เกิด
จากการส่งเสริมของรัฐบาลไทยเลย แต่เป็นต่างชาติแท้ๆ
ที่สร้างสิ่งเหล่านี้ขึ้นมา….
…สงครามเวียดนามและฐานทัพอเมริกัน
ทำให้ภาคอีสาน เติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด
…ก่อนที่พวกเขาจะเข้ามาจัดการเรื่องท่าเรือ
และเมืองอุตสาหกรรมในภาคตะวันออก
ร่วมกับญี่ปุ่น จนเป็นอย่างทุกวันนี้…***
…มายุคหลัง เชียงใหม่ ภูเก็ต และแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ
ก็ถูกผลักดันด้วยเงินทุน และธุรกิจจากจีน มากกว่าที่จะเป็น
การสนับสนุนจากคนไทยหรือรัฐบาลไทย…
มันตลกนะ ที่ไม่รู้ว่าทำไม ส่วนกลางไทย
ถึงกลัวจังเลยกับการ กระจายความเจริญ
หรือจะจริงอย่าทฤษฎีสมคบคิดเค้าว่า
…ว่ามันรัฐประหารยากนั่นเอง 🤣🤣🤣….
เออ! แล้วห่วงแต่เรื่องรถไฟฟ้าอ่ะนะ
ทุกวันนี้ชาวบ้านเขาถามกันให้แซด ว่ารถเมล์ทำไม
มันหายไปไหนหมด น้อยเหลือเกิน
*** eastern seaboard แม้จะเป็นโครงการของรัฐบาลไทย
แต่คนผลักดัน หรือจะเรียกบังคับก็ได้ ให้มันเกิด คือ สหรัฐ
และนายหน้าของพวกเขา ซึ่งก็คือญี่ปุ่นและสิงคโปร์
ทั้งเพื่อผลทางยุทธศาสตร์และธุรกิจ ในยุคสงครามเย็น
ไม่ว่าจะชอบสหรัฐหรือไม่ แต่เราต้องยอมรับว่าโครงการนี้
มีส่วนมาก ในการขับดันประเทศไทยให้มาถึงปัจจุบัน
และยังคงเป็นพื้นที่ ที่สร้างรายได้เข้ารัฐมากที่สุด ในปัจจุบัน***
โฆษณา