Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
ดั่งเม็ดทราย
•
ติดตาม
17 ต.ค. เวลา 15:49 • ความคิดเห็น
Catch Me If You Can : ตำนานอายุน้อยพันล้านของ 'บอสพอล'
/////
● ปฐมบท ●
1
พอลคือชื่อของเด็กหนุ่มที่เริ่มต้นจากค้าขายของที่บ้าน จนกระทั่งยุคที่ Facebook Ads เริ่มให้บริการ
ตอนนั้นคนยังไม่สนใจการยิงแอด ค่าแอดในการทำโฆษณาเรียกว่าเอาคนได้ที่โหล่มาทำแอดก็ยังกำไร เพราะต้นทุนต่อค่าโฆษณาอยู่ที่คลิกละ 5 สตางค์เท่านั้น
หรือพูดง่าย ๆ จ่ายเงินให้เกิดการคลิกเข้ามา 20 ครั้ง เสียเงินแค่ 1 บาท
ดังนั้นถ้าใครอยู่ในยุค "ตื่นแอด" ช่วงแรก ๆ เรียกว่าสามารถกอบโกยชนิดที่ซื้อบ้าน ซื้อรถ ซื้อที่ดินกันได้เลยจริง ๆ
พ.ศ. 2556 (ค.ศ. 2013) คือยุคเริ่มต้นเมื่อ Facebook ประกาศให้มีการแสดงโฆษณาได้บนประเทศไทย
พอลจึงหัดยิงแอดออนไลน์ขายสินค้าของตัวเองจนชำนาญ เขากลายเป็นพอลผู้ทำการตลาดออนไลน์เก่งมากคนหนึ่งตั้งแต่สมัยนั้น (จะไม่เก่งได้ไงก็ค่าโฆษณามันยังถูกมากเหลือเกิน)
การจะรู้ว่าทำไมพอลถึงเก่งและหัวใสแยบยลได้อย่างที่เห็นทุกวันนี้
เราต้องย้อนกลับไปดูเรื่องราวการสร้างตัว การสร้างกิจการ และการสร้าง 'ตัวตนแห่งบอสพอล' ของเขาเมื่อสิบปีที่แล้ว
ผู้ที่ปั้นพอลให้เก่งอย่างทุกวันนี้ เขามีชื่อว่า 'คุณธเนตร' การกล่าวถึงคนนี้เขาไม่ได้เป็นคนทำผิดบาปอะไรนะ เขาเป็นนักการตลาด MLM ที่เก่งที่สุดคนหนึ่งในเมืองไทยระดับต้น ๆ ก็ว่าได้
คุณธเนตร ได้สมัครเข้าไปทำการตลาดกับ Jeunesse Global
ซึ่งเป็นบริษัทขายตรงทั่ว ๆ ไปเหมือนแอมเวย์ และกิฟฟารีน ซึ่งไม่ได้ผิดกฎหมายในประเทศไทย
แต่มันมีจุดหนึ่งที่น่าสนใจก็คือ การตลาดยุคนั้นมีกฎห้ามนำสินค้ามาโพสต์ขายออนไลน์ เพื่อเลี่ยงการตัดราคาและเลี่ยงการที่สมาชิกไม่ซื้อสินค้าผ่านบริษัทโดยตรง
เรียกว่าใครโพสต์ขายหรือชวนคนออนไลน์ จะโดนตัดรหัสทิ้งทันทีเพราะเป็นการทำผิดกฏบริษัท
แต่ดันมีนักการตลาดชาวมาเลเซียคนหนึ่ง ชื่อว่า Patric Chan
ได้ไปดีลกับ Jeunesse ว่า "จะขอพัฒนาระบบชวนคนออนไลน์ได้ไหม" โดยให้เหตุผลว่า..จะสามารถทำสปอนเซอร์ข้ามประเทศได้ จะทำให้ Jeunesse มีสมาชิกทั่วโลกได้
เช่นเราทำอยู่ที่ไทย เราอาจจะมี Down line อยู่ที่เคนย่า ลาว ไต้หวัน ได้หมด นั่นเป็นไอเดียที่ Jeunesse ตอบตกลงให้ Patric Chan ทำได้
จึงเกิดเป็น "ระบบชวนคนออนไลน์" ขึ้นมา ตอนนั้นแค่ชวนสมัครสมาชิกนะ การสั่งซื้อสินค้าก็ยังคงสั่งผ่านหน้าเวบไซต์ Jeunesse อยู่ดีไม่มีอะไรซับซ้อน
คุณธเนตร ก็ได้ไปเรียนกับ Patric Chan ตอนที่เขามาเปิดสัมมนาที่ไทยในปี 2558 (ค.ศ. 2015)
เมื่อคุณธเนตร ได้เรียนรู้ระบบชวนคนออนไลน์แล้ว ประจวบกับการที่พอลมาสมัครเป็น Downline ของคุณธเนตร ก็เหมือนจับเอาเสือสองตัวมาตีคู่กัน
เกิดเป็นพลังต่อสู้มหาศาล คนหนึ่งเก่งเรื่องสคริปต์ชวนคน คนหนึ่งเก่งเรื่องยิงแอด ... ทีนี้แหละความรวยจึงบังเกิด
เกิดเป็นยอดขายพันล้านของคุณธเนตร เกิดยอดขายร้อยล้านของพอล จนทั้งสองคนได้ไปออกรายการต่าง ๆ
พอลได้ไปออกรายการตีสิบ จนได้นามสกุลมาต่อท้ายชื่อว่า“พอลตีสิบ” ใคร ๆ ก็เรียกเขาแบบนั้นระหว่างที่เขายังคงทำ Jeunesse
ตลอดเวลาในช่วงนั้น พอลก็ได้เรียนรู้กลยุทธการทำการตลาดแบบ MLM จากคุณธเนตร จนแตกฉานยิ่งกว่าจบเปรียญธรรม 9 ประโยค
เมื่อพอลรู้แจ้ง เห็นจริงแล้ว เขาก็กางปีกโบยบินแยกตัวออกมาจากคุณธเนตร มาตั้งบริษัทเอง และทำแบรนด์ชื่อว่า "The Icon"
โดยช่วงแรกพอลทำสินค้าพวกกาแฟและคอลลาเจน เพราะสองอย่างนี้พอลศึกษาแล้วว่าจะทำการตลาดชวนคนได้ง่าย เพราะเป็นสินค้าที่คนทั่วไปเข้าถึงได้ง่าย
โดยพอลได้วางระบบชวนคนไว้โดยให้ผลตอบแทนเป็นการ "เที่ยวฟรี" และทำโปรโมชั่นเปิดบิลสมัครสมาชิก "เที่ยวฟรี"
โดยจัดการเที่ยวเน้นไปที่ทะเลพัทยา เพราะดีลค่าโรงแรมได้ถูก พอลฉลาดโดยไม่ได้ดีลโรงแรมห้าดาวอะไร เน้นแค่โรงแรม 3 ดาวก็พอแล้ว โดยมีการจองห้องประชุมไว้ทำสัมมนา
● ลูกค้าของพอล ●
ช่วงแรกพอลมุ่งเน้นไปที่คนอยากเที่ยวและอยากมีเพื่อนฝูงไปด้วย นั่นก็คือ คนที่เกษียณแล้ว หรือคนแก่นั่นเอง
พอลรู้ดีว่ากลุ่มเป้าหมายนี้แหละจะผลักดันให้บริษัทเขาอยู่รอดได้ในช่วงแรก ด้วยการจัดทัวร์เที่ยวกินฟรี (ค่าเดินทางออกเอง)
โดยการเปิดบิลซื้อสินค้า ช่วงแรกจะมีระดับไม่เยอะ จะมีแบบเปิดคนเดียว เที่ยวคนเดียว ถ้าเปิดมากหน่อย สามารถชวนเพื่อนมาเที่ยวได้ฟรี 1 คน 2 คน 3 คน ไล่ไปเรื่อย ๆ
ด้วยหลักการนี้เอง "คนแก่" จึงตอบรับข้อเสนอของเขาง่ายมาก เพราะนอกจากจะได้สินค้ามากินและใช้แล้วก็ยังได้เที่ยวฟรีอีกด้วย
เนื่องจากคนแก่ส่วนมากมักจะไม่อยากไปเที่ยวคนเดียว จึงเปิดบิลที่ชวนเพื่อนได้ 2 คนขึ้นไป และก็เป็นการชวนเพื่อนมาเที่ยวฟรี
การเที่ยวก็ไม่ได้มีอะไรมากมาย ก็คือชวนเพื่อนไปเที่ยวทะเล หลังกินอาหารเช้าแล้ว วันถัดมาก็จะเป็น Event กลางคืน ได้พบกับคนดังที่ออก TV
นั่นคือ "บอสพอล ตีสิบ" โดยพอลจะมาหลังจากทุกคนถึงแล้ว 1 วันเสมอ เพื่อมาปรากฎตัวบนเวที แล้วก็จะขอบคุณสมาชิกทุกคนที่มาเที่ยว
รวมไปถึงชักชวนให้คนที่มาเที่ยวกับเพื่อน สมัครสมาชิกเพื่อซื้อสินค้าและสามารถชวนเพื่อนในทริปหน้ากันได้อีก
โดยคนชวนก็ไม่ใช่ใคร ก็ใช้ "เพื่อนชวนเพื่อน" มันก็ง่ายสิ่คนแก่ขี้เหงายังไงก็ดีกว่ารอลูกหลานพาเที่ยว ... ฉันไปเที่ยวกับเพื่อนสนุกกว่า
ทำให้การเปิดบิลซ้ำ การเปิดบิลใหม่ จึงเกิดขึ้นตามแผนการตลาดอันแยบยลของพอล และด้วยวิธีนี้ทำให้ปีแรก บริษัทของพอลมีกำไรเติบโตทันที
พอลเริ่มซื้อรถ Super Car ก่อนเลย
เพื่อเริ่มเข้าสู่ “โหมดความรวย” เพื่อวางแผนกระเถิบไปหาลูกค้าที่มีความฝัน..อยากรวยตามแบบคนอื่น
พอลเปลี่ยนการตลาดจากคนแก่ มาเจาะ "คนที่อยากเกษียณก่อนกำหนด" คือ เป้าหมายพวกอายุ 35 ขึ้นไปที่ฝันอยากมีรถหรู กระเป๋าแบรนด์เนม..เหมือนคนอื่น
คนเรามีความฝันนั้นดี แต่ต้องไม่ลืมนึกถึงความจริงที่ว่า บางครั้งความฝันมันก็เป็นได้แค่ความฝัน..ที่ไม่มีวันเป็นความจริง
คราวนี้พอลใช้คอร์สสอนออนไลน์ สอนการทำตลาดขายของซึ่งยุคนั้นค่าโฆษณายังไม่แพง แต่ก็เริ่มขยับจากระดับ 10 สตางค์ มาเป็นคลิกละ 50 สตางค์แล้ว แต่มันก็ยังได้ผลอยู่
เพราะจ่ายค่าโฆษณาไป 1,000 บาท ก็สามารถชวนคนได้ถึง 2000 คลิก ตีไปว่าสนใจ 1% ก็ยังมีคนทักมา 20 คน คอร์สก็เป็นการเตรียม Material ต่าง ๆ เอาไว้ให้เรียบร้อยแล้ว
แค่ทุกคนแบกโน้ตบุ๊กของตัวเองมาก็สามารถตั้งโฆษณาได้เลย ทุกคนจะตั้งโฆษณาขายสินค้าและชวนคนเข้าทีม ซึ่งตั้งไว้ที่ 89 บาท
89 บาท นั่นคือค่าเฉลี่ยที่พอลคำนวณแล้วว่าใช้เทคนิค OPM (Other People Money) แบบนี้ตัวเองก็ไม่ต้องยิงแอดเองแล้ว (จากเดิมตอนชวนคนแก่ต้องยิงแอดเอง และสอนทีมงาน)
มาคราวนี้พอลได้พัฒนาระบบการสอน เริ่มมีการตั้งแม่ทีมเพื่อศึกษาวิธีการสอนให้เป็นครู โดยทุกคนก็เอา 89 บาทค่าเรียน ใส่เข้าไปในโฆษณานั่นแหละ
เท่ากับพอลก็จะได้ Facebook Ads Account มหาศาลโดยที่ตัวเองไม่ต้องเสียเวลาสมัคร และไม่ต้องกลัวโดนแบนโฆษณา เพราะถึงโดนก็ไม่ใช่สิ่งที่ตัวเองต้องเหนื่อยลงไปควบคุมเองแล้ว
ด้วยแผนการตลาดแบบใหม่ ทำให้พอลเติบโตแบบก้าวกระโดด ยอดขายพุ่งไปหลายร้อยล้านทันที เพราะมีการวางเกมเรื่องเปิดบิลไว้แล้ว
คนมาอย่างน้อยก็ต้องเสียค่าสมัคร member หลัก 2-5 พัน และถ้าแม่ทีมเก่งก็จะต้อนให้ไปเปิดบิลดีลเลอร์ได้เลย 250,000 เพื่อให้เที่ยวฟรีได้เกือบ 10 ครั้ง แถมยังได้โควต้าชวนคนมาเที่ยวด้วย
เรียกว่าอัดโปรโมชั่นกันแบบจุก ๆ เพื่อทำให้คนได้เห็นว่ามาเรียนที่นี่นอกจากจะขายได้แล้ว ยังได้เที่ยวด้วย ทำให้เกิดกระแสบูมไปที่ The Icon
และด้วยการที่พอลศึกษาข้อกฏหมายกับทนายส่วนตัวมาเป็นอย่างดี รวมถึงได้ความรู้จากอาจารย์ตัวเองมา เขาจึงเลี่ยงวลี.."ไม่ได้ทำ MLM"
เพราะรู้ว่าถ้าชวนทำ MLM คนจะไม่มา
เขาจึงเรียกระบบของบริษัทตัวเองว่า "ระบบตัวแทน" เพื่อให้คนไม่รู้สึกต่อต้านกับสิ่งที่เขาทำ
พอลได้ขออนุญาตทางการทำการตลาด ที่เรียกว่า "ตลาดขายตรง" ไว้แล้ว บริษัทของพอลจึงสามารถดำเนินการได้โดยไม่มีความผิด และด้วยเทคนิคนี้ทำให้พอล ก้าวเข้าสู่ยอดขายหลายร้อยล้านได้อย่างง่ายดาย
● ยุคทองของบอสพอล The Icon ●
เมื่อการระบาดของโควิด 19 ซาลง ประเทศเริ่มเปิด คนก็เริ่มหางานทำ นั่นจึงเกิดเป็นยอดขาย 4,949,496,994 บาท บริษัทของพอลมีกำไรสุทธิ 813 ล้านบาทเศษในปี 2564 (ค.ศ. 2021)
เพราะคนแห่มาทำออนไลน์กันเนื่องจากยังคงกลัวโควิดอยู่ แต่ก็ต้องทำมาหากินแล้ว ทีนี้ก็แบกตัวเองมาเรียนเพราะอยากมีอาชีพมีรายได้เสริมมาเลี้ยงครอบครัว
แต่พอมาเรียนแล้วได้เจอกับนักพูดสร้างแรงบันดาลใจ เจอคนขับรถสปอร์ต ใส่แบรนด์เนม ความคิดที่อยากจะมีอาชีพที่มีแค่รายได้เสริมมาจุนเจือครอบครัวมันเปลี่ยนไป
เริ่มมีความฝัน อยากสำเร็จ อยากรวย เพราะเห็นจากภาพความสำเร็จของระบบที่พอลได้ออกแบบเอาไว้
ช่วงนั้น The Icon ของพอลบูมสุด ๆ ก่อให้เกิดกระแสหลั่งไหลเข้ามาเรียนมากขึ้น ชวนกันมากขึ้น เปิดบิลกันมากขึ้น เที่ยวกันให้สะใจ ทีมงานบอสพอลโพสต์ภาพการกินเที่ยวเต็มโซเชียลไปหมด
ภาพถ่ายเหล่านั้นมันดูเหมือนเป็นอนาคตที่สดใสสำหรับทุกคนจริง ๆ ดึงดูดคนให้เข้าเรียนเพิ่มขึ้น
แต่พอคนมาเยอะ มันก็ตรงกับหลัก Supply/Demand เมื่อคนขายมากกว่าคนซื้อ และทุกคนแห่กันไปโฆษณาบน Facebook ...ความฉิบหายจึงบังเกิด
ค่าโฆษณาพุ่งกระฉูดเพราะทุกคนก็ต้องการ Placement บน Platform ไม่ว่าจะจุดไหนก็จะ Bid ราคากันแบบ Auto
ทีนี้ AI ของ Facebook ก็ลากราคาต่อคลิกไปสูงถึง 10 บาท ทีนี้เริ่มไม่มีกำไรละ หลายคนเริ่มเจ๊ง หลายคนสต็อกเริ่มล้น..สินค้าติดมือ
หลายคนเริ่มสู้กับค่าโฆษณาไม่ไหว เพราะยิงแอดไปซ้ำกับคนเดิม "ระบบชวนคน" ทุกบริษัทมันมีข้อเสียตรงนี้แหละ คือทำไปสักพักจะมีรหัสซ้ำ
คำว่า 'รหัสซ้ำ' แปลง่าย ๆ ก็คือทักไปหาคนที่เป็นสมาชิกของ The Icon อยู่แล้ว ดังนั้นการชวนคนจึงไม่ง่ายเหมือนเดิม
เริ่มเจอหน้าซ้ำ เริ่มเจอคนระดับรากหญ้า เป็นแม่ค้าผักบ้าง เป็น รปภ.บ้าง ทำให้ยอดขายปีถัดมาตกลงเหลือ 3 พันกว่าล้าน
พอลต้องการต่ออายุธุรกิจของตัวเองให้เดินหน้าต่อเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้ลูกค้า เขาจึงเริ่มหา "ลมใต้ปีก" มาช่วยพยุงธุรกิจ
และรู้ ๆ กันอยู่ว่าลมใต้ปีกชั้นดีก็คือ..ดารา
และดาราคนแรก ๆ เลยที่พอลไปทาบทามก็คือ กันต์
กันต์เข้ามาก่อน แต่มายืนถือสินค้าชิ้นแรกหลังพวกดาราคนอื่น
เพื่อส่งเสริมให้บริษัทมันดูน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น พอลจึงแต่งตั้งกันต์ให้เป็น CMO (ประธานเจ้าหน้าที่การตลาด) ซะเลย
เพราะจะได้การันตีว่าบริษัทฉันน่ะมันสะอาดโปร่งใสนะ ฉันไม่โกงหรอก เห็นไหมว่า..ขนาดพิธีกรระดับประเทศยังมาทำงานร่วมกับฉันเลย
กันต์และดาราอีกขโยงหนึ่งทำให้ใคร ๆ ก็เชื่อมั่นใน The Icon
หากชวนเปิดบิลหลักแสนก็ใจอ่อน ไม่ต้องหวั่นไหวเพราะมีดาราการันตรี มีดาราพารวย
แน่นอนว่าช่วงนี้ค่าโฆษณาแพงแล้วนะ แต่มีดารามาการันตี แล้วกำไรมีไหม ก็มีระดับปริ่ม ๆ แต่บางคนก็เริ่มเจ๊งตั้งแต่เริ่มทำ
● เกมนี้บอสพอลลอยนวล ●
จะเห็นได้ว่าไม่มีเหลี่ยมไหนที่จะตั้งข้อกล่าวหาให้เอาผิดพอลในชั้นศาลได้เลย ขนาดจะตั้งข้อกล่าวหายังยาก ไอ้ที่เย้ว ๆ ตั้งธงว่าแชร์ลูกโซ่นี่พอลยิ้มอ่อนเอามือลูบปากคิดในใจ..เสร็จกู
เพราะเคสแบบนีัมันต้องเริ่มที่ สคบ. ก่อนเลย แต่ด้วยเหตุผลของกฎหมาย สคบ. ก็จะตีความว่า การขายสินค้าของพอล...
"ไม่ได้ขายต่อไปยังมือผู้บริโภคโดยตรง แต่จำหน่ายไปที่ตัวแทน"
หรือเคยมีใครได้รับสินค้าจากมือบอสพอลโดยตรงบ้างไหมล่ะ.? ถ้าไม่มีก็ตรงตามที่ สคบ.ตีความเอาไว้นั่นแหละ
จึงทำให้ทุกคนที่เคยร้องเรียนไปยัง สคบ.ได้รับคำตอบกลับมาเหมือนกันคือ สคบ.ทำอะไรไม่ได้!!
เพราะพอลได้ศึกษาข้อกฏหมายเอาไว้แล้ว
ดังนั้นเขาจึงไม่ต้องรับผิดชอบอะไรเลย ยกเว้นการการันตีว่าแอดต้องปัง
พอลเริ่มปรับแผนการตลาด เขาตั้งสำนักงานใหม่ที่รามอินทรา มีรถหรูจอดที่ด้านหน้าเพื่อให้คนมาถ่ายกับรถแล้วก็ไปโพสต์และยิงโฆษณาแทนตนเอง
เริ่มให้คนสร้างภาพว่าทำแล้วรวย แทนที่จะกลายเป็นเที่ยว ไม่เอาแล้วล่ะ กูเน้นทำแล้วรวย แล้วก็คงคอนเซ็ปต์ "ขยันผิดที่ 10 ปีก็ไม่รวย" อยากรวยต้องมาทำกับกูนี่มา
แต่เมื่อคนเริ่มตื่นรู้ ค่าโฆษณาก็แพง การจะชวนไปต่อในระดับลึก ๆทำได้ยาก หลายคนจึงยอมเจ็บแค่นี้ แล้วถอยออกมาหาเงินทางอื่นมาใช้หนี้
นำมาจากไลน์
บันทึก
1
1
1
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย