18 ต.ค. เวลา 12:06 • ข่าวรอบโลก

ปมฉาวแชร์ลูกโซ่ใหญ่ที่สุดในโลก ‘เบอร์นีย์ เมดอฟฟ์’ ประธาน Nasdaq สู่บทบาท ‘บิ๊กบอส’ แห่งการต้มตุ๋น

เปิดเรื่องราว ‘เบอร์นีย์ เมดอฟฟ์’ ผู้ซึ่งเคยเป็นที่เคารพนับถือในฐานะประธานตลาด Nasdaq กลับกลายเป็นอาชญากรแชร์ลูกโซ่ครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ นักลงทุนชื่อดังยังเคยตกเป็นเหยื่อ ประชาชนหลายคนสูญเสียเงินออมที่สะสมมาทั้งชีวิต
จากกรณีคดีใหญ่ “ดิไอคอนกรุ๊ป” ที่เป็นบริษัทผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและความงามซึ่งถูกกล่าวหาว่าอาจเป็น “แชร์ลูกโซ่” จนนำไปสู่การออกหมายจับเหล่าผู้บริหารระดับสูงหลายคน
ในอดีต โลกเคยเผชิญคดีฉาวที่หลอกลวงประชาชนในรูปแบบ “แชร์ลูกโซ่ครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์” จนสร้างความเสียหายสูงถึง 6 หมื่นล้านดอลลาร์หรือราว 2 ล้านล้านบาท โดย “บอสใหญ่” ที่ก่อเหตุนี้ก็ยิ่งใหญ่ระดับประธานกรรมการตลาดหุ้น Nasdaq ถึง 3 สมัยจนดูน่าเชื่อถืออย่างยิ่ง ชื่อของเขาคือ “เบอร์นีย์ เมดอฟฟ์” (Bernie Madoff) เรียกได้ว่าเป็นอาชญากรแชร์ลูกโซ่ที่สร้างความเสียหายอย่างรุนแรง และเป็นที่จดจำของคนทั่วโลก
📌จากประธาน Nasdaq สู่แผนแชร์ลูกโซ่
เบอร์นีย์ เมดอฟฟ์เริ่มต้นอาชีพในวอลล์สตรีทในช่วงต้นทศวรรษ 1960 ด้วยการเป็นนักเทรดหุ้น และได้ก่อตั้งบริษัท Bernard L. Madoff Investment Securities LLC ซึ่งเป็นนายหน้าซื้อขายหุ้นขึ้นมา โดยจุดที่ทำให้เขาขึ้นมาโด่งดังระดับท็อปของวงการการเงินยุคนั้น คือ เขาใช้ “ระบบอิเล็กทรอนิกส์” มาช่วยซื้อขายหุ้นเป็นรายแรก ซึ่งเป็นการพลิกโฉมวงการหุ้นที่เคยซื้อขายผ่านกระดาษแต่เดิม
2
ด้วยชื่อเสียงและความเป็นที่เคารพนับถือ ทำให้เขาได้ดำรงตำแหน่งประธานตลาดหุ้น Nasdaq ของสหรัฐมา 3 สมัย
วันหนึ่ง เมดอฟฟ์ก็คิดแผนฉ้อโกงอันชาญฉลาดขึ้นมา โดยตั้งกองทุนซื้อขายหลักทรัพย์ขึ้น พร้อมโฆษณาว่าสามารถสร้างผลตอบแทนมหาศาลสูงสุดถึง 20% ไม่ว่าสภาพตลาดขณะนั้นจะเป็นอย่างไร พร้อมกล่าวเสริมอีกว่า แทบจะปราศจากความเสี่ยง
แน่นอนว่าด้วยดีกรีระดับประธาน Nasdaq มาก่อน เหล่านักธุรกิจ ธนาคารที่มีชื่อเสียงอย่าง HSBC หรือแม้แต่กองทุนชั้นนำต่าง ๆ ก็ไม่ลังเลใจที่จะให้เมดอฟฟ์เข้ามาบริหารเงิน
ไม่เพียงเท่านั้น เมดอฟฟ์ยังเข้าไปสานสัมพันธ์ฉันท์เพื่อนกับเหล่านักธุรกิจ และผู้ทรงอิทธิพลในวงสังคมชั้นสูงในย่านนิวยอร์กและปาล์มบีชของรัฐฟลอริดา โดยชักชวนให้มาร่วมลงทุน และใช้ชื่อเสียงของพวกเขาเป็นเครื่องการันตี เพื่อดึงดูดนักลงทุนรายอื่น ๆ เข้ามาอย่างต่อเนื่อง
1
เมื่อมีผู้สื่อข่าวสอบถามเมดอฟฟ์ว่า ทำอย่างไรถึงสามารถสร้างผลตอบแทนได้สูงเช่นนี้ เขาตอบว่าใช้กลยุทธ์ “Split-Strike Conversion” ซึ่งเป็นการซื้อหุ้นชั้นดีราคาไม่แพง พร้อมกับซื้อ Put Option ประกันความเสี่ยงขาลงด้วย โดยสมมติซื้อประกันราคาหุ้นไว้ที่ 10 บาท หากหุ้นที่เขาซื้อร่วงลงไปที่ 8 บาท เมดอฟฟ์ก็ไม่ต้องขายในราคาตลาดที่ 8 บาทจนขาดทุน แต่สามารถใช้สิทธิ Put Option ขายหุ้นในราคา 10 บาทแทนได้ ซึ่งเหล่านักลงทุนต่างก็เชื่อใจเขาเกี่ยวกับตัวกลยุทธ์นี้
📌เมื่อความจริงปรากฏ เบื้องหลังผลตอบแทนที่น่าเหลือเชื่อ
ความโลภและความเชื่อมั่นในผลตอบแทนที่สูงเกินจริง ทำให้นักลงทุนจำนวนมากหลงเชื่อคำโกหกของเมดอฟฟ์มานานหลายสิบปี จนกระทั่งวิกฤติสินเชื่อซับไพรม์ 2008 ได้เปิดโปงความจริงที่โหดร้าย ผู้คนแห่ถอนเงินจากกองทุนนี้รวมกันกว่า 7 พันล้านดอลลาร์ เมดอฟฟ์จัดหาได้เพียงไม่กี่ร้อยล้านเท่านั้น ทำให้รู้ว่ากองทุนที่เมดอฟฟ์ขายฝันว่า ผลตอบแทนที่สูงลิ่วซึ่งมาจากกลยุทธ์ลงทุนอันชาญฉลาดของเขานั้นเป็นเรื่องโกหก
ที่ผ่านมา บอสเมดอฟฟ์ไม่เคยดำเนินกลยุทธ์ Split-Strike Conversion จริงๆ แล้ว เขาปลอมแปลงบันทึกการซื้อขายหุ้นเพื่อโชว์ผลตอบแทนที่เป็นบวก และใช้เงินจากนักลงทุนใหม่มาจ่ายให้นักลงทุนรายก่อนเช่นนี้เรื่อย ๆ โดยไม่ได้มาจากการลงทุนจริง ซึ่งเรียกระบบลักษณะนี้ว่า “แชร์ลูกโซ่” เมื่อเกิดวิกฤติเศรษฐกิจคล้ายพอน้ำลดแล้วตอผุด เงินที่หมุนวนไปมาก็ชะงักจนความลับนี้แตกขึ้นมา
1
อันที่จริงก่อนหน้านั้น มีนักการเงินบางราย เช่น แฮร์รี่ มาร์โคโปโลส (Harry Markopolos) เริ่มสงสัยถึงกลยุทธ์นี้มาก่อนแล้ว เพราะเป็นเรื่องน่าแปลกว่าในหลายสิบปีนี้ แม้ในช่วงที่ดัชนี S&P 500 ของสหรัฐปรับตัวลงแรง ตลาดไม่เป็นใจ แต่กองทุนนี้กลับยังคงทำเงินได้ไม่น้อย
อีกทั้งจำนวนคู่สัญญา Option ที่เมดอฟฟ์อ้างถึงไม่สอดคล้องกันระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขาย แม้จะมีการร้องเรียนและการสอบสวนหลายครั้ง แต่ด้วยบารมีของเขา กองทุนเมดอฟฟ์ก็ดำเนินต่อไปได้นานถึงสองทศวรรษ
ในที่สุด เมดอฟฟ์ก็ถูกจับกุมในปี 2008 และถูกตัดสินจำคุกยาว 150 ปี โดยรัฐบาลสหรัฐพยายามชดใช้ความเสียหายให้กับนักลงทุนที่ถูกหลอกลวงด้วยเงินกว่า 700 ล้านดอลลาร์ แต่จำนวนนั้นยังคงน้อยนิดเมื่อเทียบกับความสูญเสียที่เกิดขึ้นจริงเป็นจำนวนหลายพันล้านดอลลาร์
หลังจากถูกจับกุม เมดอฟฟ์เผยว่า “ทุกคนโลภ ทุกคนอยากไปต่อ และผมก็ไปด้วย” อีกทั้งเขายังแปลกใจว่า ด้วยความโลภบังตานั้น เหล่านักลงทุนไม่ได้สงสัยเลยว่า เขาทำผลตอบแทนได้ 15% หรือ 18% ได้อย่างไรในเมื่อเป็นช่วงที่คนอื่นทำเงินได้น้อยลง
📌วัยเกษียณหลายคนสูญเงินออมทั้งชีวิต
เป็นเรื่องน่าเศร้า เหยื่อที่เสียหายมีตั้งแต่ประชาชนทั่วไปที่เข้ามาลงทุน อย่างเอียน เทียร์มันน์ (Ian Thiermann) วัย 90 ปี หลังจากสูญเสีย “เงินออมตลอดชีวิต” ให้กับเมดอฟฟ์ไป เขาจำเป็นต้องเลิกเกษียณและทำงานในร้านขายของชำเลี้ยงชีพแทน แม้จะอยู่ในวัยชรามากแล้วก็ตาม
1
เทียร์มันน์ไม่รู้ตัวว่าเขาลงทุนกับเมดอฟฟ์ จนกระทั่งวันที่ 15 ธันวาคม 2009 เมื่อเพื่อนที่จัดการการลงทุนของเขาโทรหาเขาทางโทรศัพท์ เขาบอกว่า “ฉันเสียทุกอย่างไปแล้ว และคุณก็เสียทุกอย่าง” สำหรับเทียร์มันน์ นั่นหมายถึงเงิน 750,000 ดอลลาร์ หรือราว 24 ล้านบาท
“ตอนนี้เราไม่มีเงินสำรองเลย และเรายังคงมีหนี้บ้าน” เทียร์มันน์กล่าว
1
ในรัฐวิสคอนซิน แอ็บบี้ ฟรุชต์ (Abby Frucht) กำลังครุ่นคิดถึงชะตากรรมของพ่อแม่ของเธอ ซึ่งเงินเก็บออมตลอดชีวิตมูลค่า 1 ล้านดอลลาร์ ดูเหมือนจะสูญหายไปกับการล่มสลายของบริษัทของเมดอฟฟ์ พ่อแม่ของเธอใช้ชีวิตอยู่ด้วยเงินจำนวนนั้นในบ้านพักคนชราในเมืองซานตาเฟ รัฐนิวเม็กซิโก
“พ่อของฉันอายุ 85 ปี และแม่ของฉันอายุ 79 ปี เราไม่รู้ว่าพวกเขาจะอยู่ที่นั่นได้นานแค่ไหน ตอนนี้เรากำลังวางแผนเรื่องนั้นอยู่” ฟรุชต์กล่าว
ทั้งนี้ พ่อของเธอเป็นโรคอัลไซเมอร์และอาจไม่เข้าใจอย่างเต็มที่ว่าเกิดอะไรขึ้น เธอระบายความในใจว่า “พวกเขามีอายุมากแล้วและไม่สามารถกลับไปทำงานได้อีก”
โฆษณา