20 ต.ค. 2024 เวลา 10:37 • ประวัติศาสตร์

ตำนานรักสนามเทนนิส อะกิฮิโตะ-มิชิโกะ รักข้ามฐานันดรแห่งญี่ปุ่น

วันที่ 20 ตุลาคม 2024 พระจักรพรรดินีมิชิโกะ (Empress Michiko) มีอายุครบ 90 พรรษา ซึ่งผู้เขียนทราบเพราะเพจที่ติดตามอยู่แจ้งเตือนว่าครบรอบแล้ว พอเห็นก็นึกถึงตำนานรักข้ามชนชั้นของญี่ปุ่นระหว่างพระจักรพรรดิอะกิฮิโตะ (Emperor Akihito) กับพระจักรพรรดินีมิชิโกะ ซึ่งเป็นเรื่องราวโด่งดังไปทั้งโลก และมันเกิดขึ้นที่สนามเทนนิส
พระจักรพรรดิอะกิฮิโตะ จักรพรรดิองค์ที่ 125 ของญี่ปุ่น (ปัจจุบันสละราชสมบัติแล้ว) เกิดมาในฐานะเจ้าชายรัชทายาท พระราชโอรสองค์โตในสมเด็จพระจักรพรรดิโชวะและพระจักรพรรดินีโคจุง แน่นอนว่าพระองค์ถูกเตรียมตัวสำหรับการเป็นพระจักรพรรดิในอนาคต โดยเฉพาะพระชนนีอย่างโคจุง มุ่งมั่นที่จัดเตรียมทุกอย่างให้ถูกต้องตามขนบธรรมเนียมประเพณีของราชสำนักญี่ปุ่น รวมถึงหาคู่ครองที่เหมาะสมคือสมฐานันดรศักดิ์ด้วยกัน ตามระเบียบประเพณีที่ดีงาม
ส่วนพระจักรพรรดินีมิชิโกะ เป็นสามัญชน มีชื่อเดิมว่า มิชิโกะ โซดะ เกิดในครอบครัวนักธุรกิจ พ่อของมิชิโกะเป็นประธานบริษัทนิชชิน และครอบครัวก็นับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก จึงได้รับการเลี้ยงดูแบบตะวันตกและมีหัวคิดทันสมัยอย่างมาก ถึงขั้นที่ว่ามิชิโกะได้ไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยอ็อกซฟอร์ดด้วย เพราะความร่ำรวย โดยมิชิโกะทำอาชีพเป็นอาจารย์ด้านภาษาอังกฤษในมหาวิทยาลัยโอซากะ
เราเห็นแล้วว่า สองคนไม่มีทางที่จะโคจรมาพบกันได้เลย ครอบครัวหนึ่งอนุรักษ์นิยมสุดขั้ว อีกง่ายก็สมัยใหม่และเสรีนิยมอย่างมาก แต่คนที่คู่กันแล้วไม่แคล้วกันหรอก
ปี 1957 มิชิโกะเข้าแข่งขันในเทนนิสการกุศล ซึ่งประธานจัดงานก็คือ เจ้าชายอะกิฮิโตะ มกุฎราชกุมาร และทั้งสองก็ทำความรู้จักกันที่ข้างสนามเทนนิส แน่นอนว่าการแข่งกีฬาไม่จบในวันเดียว ทำให้เจ้าชายและหญิงสาวได้พบกันทุกวันและสานสัมพันธ์กันมากขึ้น พฤติกรรมที่เปลี่ยนไปไม่รอดสายตานักข่าว เท่านั้นเองสื่อทุกสื่อก็ประโคมข่าวที่เกิดขึ้นที่สนามเทนนิสโดยพร้อมเพรียงกัน และมันก็ไปถึงหูพระจักรพรรดินีโคจุง
พระนางโคจุงคัดค้านหัวชนฝา เป็นไปไม่ได้ที่ว่าที่จักรพรรดิจะสมรสกับสามัญชน ไม่เคยมีมาก่อน ธรรมเนียมประเพณีของราชวงศ์ไม่อนุญาตให้สามัญชนเข้ามารับตำแหน่งสูงส่งขนาดนี้ คู่ครองของเจ้าชายต้องเป็นเจ้าหญิงเท่านั้น ไม่น่าเชื่อว่า เรื่องนี้กลายเป็นจุดที่ีทำให้ราชวงศ์และประชาชนเกิดความคิดสวนทางเป็นครั้งแรก แต่ไหนแต่ไรมา ประชาชนญี่ปุ่นไม่เคยตั้งคำถามต่อราชวงศ์มาก่อน เพราะสถานะศักดิ์สิทธิ์ของราชวงศ์ แต่เมื่อมาถึงยุคสมัยนี้และเรื่องนี้ ประชาชนกลับตั้งคำถามว่าราชสำนักหัวโบราณเกินไปหรือเปล่า
สามัญชนแล้วไง ทั้งคู่รักกันก็นับว่าถูกต้องแล้ว มันหมดยุคความเหมาะสมทางราชวงศ์แล้วหรือเปล่า จนถึงขั้นที่มีคนเห็นว่า ราชวงศ์กำลังแบ่งชนชั้นทางสังคมที่ขัดแย้งความเป็นประชาธิปไตยของญี่ปุ่น
ในเมื่อพระชนนีห้าม อะกิฮิโตะก็ต้องไปหาพระชนก สิ่งที่ผิดคาดก็คือ พระจักรพรรดิโชวะ มีพระบรมราชานุญาตให้ทั้งสองหมั้นกันในปี 1959
เส้นทางเหมือนจะราบรื่น เปล่าเลย การโต้เถียงรุนแรงเกิดขึ้น โดนเฉพาะกับพระนางโคจุงที่ยังคงหาทางเขี่ยว่าที่ลูกสะใภ้คนนี้ไปให้พ้นทางเพื่อรักษาขนบธรรมเนียมอันดีงามของราชวงศ์เอาไว้ ซึ่งมันเกิดจากความคุ้นเคยที่ราชวงศ์จะต้องหาสตรีสูงศักดิ์มาแต่งงานกับเจ้าชายในราชวงศ์ ไม่มีใครคาดคิดว่าพระจักรพรรดิโชวะจะอนุญาตให้มีการหมั้นกับสามัญชนขึ้น แต่ทว่ามิชิโกะถูกโจมตีว่าไม่เหมาะสม ไม่คู่ควรเพราะความต่ำศักดิ์ ครอบครัวมาจากแรงงานก่อสร้าง ไม่มีสายเลือดตระกูลใหญ่โตเลย
ยิ่งกว่านั้นการที่พ่อแม่ของมิชิโกะเป็นคาทอลิก การโจมตียิ่งรุนแรง ทั้งที่ตัวมิชิโกะไม่เคยรับศีลล้างบาปและไม่ได้รับถือศาสนาคาทอลิก แต่พระนางโคจุงและราชวงศ์ ตลอดจนราชสำนักก็โจมตีว่า จะให้ลูกของพวกคาทอลิก ถูกสั่งสอนแบบคาทอลิกมาเป็นพระชายารัชทายาท พวกคนหัวเก่าบางคนถึงกับส่งจดหมายขู่ฆ่าไปยังครอบครัวโซดะ จนครอบครับโซดะต้องร้องต่อศาลเพื่อขอการคุ้มครอง
กระแสข่าวและแรงกดดันเหล่านี้ พระนางโคจุงมั่นใจว่าจะทำให้มิชิโกะยอมถอย แต่ทว่า มันกลายเป็นผลเสียต่อพระนางและราชวงศ์ ส่วนมิชิโกะได้รับความเห็นใจจากประชาชนอย่างมหาศาล ญี่ปุ่นเปลี่ยนไป แต่ราชวงศ์ไม่เปลี่ยนตาม ผลก็คือประชาชนออกมาเดินขบวนครั้งใหญ่เพื่อสนับสนุนการแต่งงานของมิชิโกะ ในที่สุดรัฐสภาก็อนุมัติให้มีการสมรสขึ้น และคนที่กระตือรือร้นจัดงานมากที่สุดก็คือ พระจักรพรรดิโชวะ
พิธีเสกสมรสเกิดขึ้นในวันที่ 10 เมษายน 1959 ประชาชนกว่า 500,000 คนออกมาร่วมงานและแสดงความยินดี ขบวนเสด็จยาว 8.8 กิโลเมตร รวมถึงการถ่ายทอดสดพระราชพิธีของราชวงศ์ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่มีผู้ชมกว่า 15 ล้านคน หลายครอบครัวลงทุนซื้อโทรทัศน์เพื่อชมสามัญชนที่กลายเป็นเจ้าหญิง
แต่เรื่องยังไม่จบ อะกิฮิโตะรักมั่นคงต่อมิชิโกะและออกโรงปกป้องพระชายาหลายครั้ง มิชิโกะต้องเผชิญแรงกดดันมหาศาลจากราชวงศ์ โดยเฉพาะจากพระนางโคจุง แม่สามีของพระองค์เอง การปรับตัวสู่ระเบียบประเพณีที่โคตรโบราณคร่ำครึเป็นเรื่องยากสำหรับเจ้าหญิง พระนางโคจุงยังคงตั้งข้อรังเกียจต่อลูกสะใภ้สามัญชน และกดดันให้มิชิโกะมีลูก หลายครั้งพระนางโคจุงเรียกมิโกะว่า แม่พันธุ์ตัวใหม่ เป็นคำดูถูกอย่างมากของราชวงศ์ และการถูกจับจ้องจากสื่อยิ่งทำให้มิชิโกะเครียด
ปี 1960 มิชิโกะให้กำเนิดพระโอรสองค์แรกคือ เจ้าชายนะรุฮิโตะ (พระจักรพรรดิองค์ปัจจุบัน) สถานะของพระองค์ก็ควรจะดีขึ้น แต่เปล่าเลย พระนางโคจุงปลื้มหลานชายแต่รังเกียจลูกสะใภ้ตามเดิม และยังสนับสนุนให้ข้าราชสำนักแสดงพฤติกรรมไม่เหมาะสมต่อเจ้าหญิงด้วย จนการตั้งครรภ์ครั้งที่ 2 เกิดความผิดปกติจากความเครียดจนแพทย์ตัดสินใจยุติการตั้งครรภ์ ในปี 1963 เพื่อรักษาชีวิตแม่เอาไว้ มิชิโกะกลายเป็นซึมเศร้าและต้องรักษาตัวในโรงพยายาล อะฮิกิโตะย้ายมาดูแลพระชายาอย่างใกล้ชิดไม่สนคำวิจารณ์จากพระชนนี
พระนางโคจุงใช้เรื่องนี้โจมตีว่ามิชิโกะไม่สามารถรักษาเชื้อสายของราชวงศ์เอาไว้ได้ถือเป็นอัปมงคลสมควรที่หย่าร้างกันเสีย ทำให้อะกิฮิโตะมีปากเสียกับพระชนนีเป็นครั้งแรก พระจักรพรรดิโชวะไม่พอพระทัยอย่างยิ่งในที่สุด พระองค์ก็เข้ามาขวางด้วยการให้ย้ายรัชทายาทและครอบครัวออกจากพระราชวังหลวง และสั่งห้ามพระนางโคจุงตามไปยุ่งเกียวใดๆ กับรัชทายาทและครอบครัวอีกเป็นอันขาด
ประกาศิตจากจักรพรรดิทำให้พระนางโคจุงไม่แสดงฤทธิ์เดชอะไรออกมา แต่พระนางก็ยังคงอคติกับลูกสะใภ้ต่อไป ส่วนมิชิโกะอาการดีขึ้นจนสามารถตั้งครรภ์และให้กำเนิดอีกสองครั้งในปี 1965 (เจ้าชายอะกิชิโนะ) และในปี 1972 (เจ้าหญิงซายาโกะ)
อะกิฮิโตะและมิชิโกะได้ทำลาบประเพณีของราชวงศ์ทิ้ง ด้วยการเลี้ยงดูลูกๆ ด้วยตัวเอง ปฏิเสธแม่นมและพี่เลี้ยง มิชิโกะให้พระโอรสธิดาดูดนมแม่จากเต้า ทั้งยังส่งลูกๆ เข้าเรียนในโรงเรียนทั่วไปร่วมกับประชาชน พาลูกๆ ไปเดินเล่นในสวนสาธารณะ หรือการเสด็จโดยรถไฟแทนที่จะตั้งขบวนรถและปิดถนนที่ทำให้ประชาชนเดือดร้อน ทุกการกระทำราชสำนักไม่สบายใจ แต่พระจักรพรรดิโชวะพอใจว่าโลกเปลี่ยนไป ราชวงศ์ต้องเปลี่ยนตาม แต่พระนางโคจุงก็ยังคงไม่พอใจเพราะมองว่ามันทำลายขนบธรรมเนียมที่มีมาอย่างยาวนาน เป็นเพราะอคติตัวเดียวโดยแท้
แต่จะอย่างไรก็ตาม อะกิฮิโตะและมิชิโกะ ก็ยังคงครองรักกันอยู่จนถึงตอนนี้ ตอนนี้ที่ทั้งสองเข้าสู่วัย 90 ปี ทั้งสองยังคงจับมือกันไม่เคยปล่อย และทั้งหมดเริ่มต้นที่สนามเทนนิส
โฆษณา