มีพลังบวก ต้องมีพลังลบ มันจึงสมดุล
สมัยผมรุ่นๆ มันไม่มีใครพูดถึงเท่าไหร่นะ
ไอ้เรื่องพลังบวก พลังลบอะไรเนี่ย
ก็จะมีแต่คำพูดว่า อย่ามองโลกในแง่ร้ายเกินไป
กับอย่าหูเบาเกินไป อะไรเท่านั้นเอง
คนสี่สิบอัพ คงเจอมาเหมือนผมนี่แหละ
ไม่รู้มาตอนไหน ไอ้คำว่าพลังบวกลบ อะไรนี่
เคยดูผ่านๆ ในทีวีดาวเทียม คิดว่าน่าจะมาจากพวกหมอดู
ซินแส ที่ปล่อยคื่นผ่านหน้าจอทีวีดาวเทียมอะไรได้รึเปล่า
ก็ไม่รู้นะ 555
…มีคนนึงตัวอ้วนๆหน่อย หน้าแขกๆหล่อๆหน่อยอ่ะครับ
แกว่าแกเป็นสุริยะเทพอะไรสักอย่าง ผมนี่ฮามาก
พี่แกปล่อยพลังบวกให้คนดูผ่านกน้าจอได้ด้วย ….
หรือไม่ก็พวกโค้ชธุรกิจ โค้ชชีวิต อะไรงั้น….
และจำได้ว่าเคยมีหนังสือขายดีเล่มหนึ่ง
สอนประมาณว่าให้คิดแต่เรื่องดีๆ แล้วทุกอย่างจะดีตาม
อันนี้ใช่ที่มาไหมผมก็ไม่รู้ แต่หนังสือนี่ระดับ bestseller
ทุกวันนี้ก็ยังมีคนตามหาซื้อมือสองเลย….
เอาล่ะ ไม่ว่าไอ้คำว่าพลังนี่จะมาจากไหน
มันก็ทำให้เกิดค่านิยมบางอย่างขึ้นมา
และไอ้ค่านิยมนี่แหละ ที่ทำให้คนโดนหลอกแบบที่เป็นข่าว
คนที่เชื่อเรื่องพลังบวกลบพวกนี้
มักมีพฤติกรรมที่จะไปรวมตัวกัน กับคนที่พวกเขา
เชื่อว่าส่งพลังบวกให้แก่กันเท่านั้น
แม้ว่าบางครั้ง จะดูไร้สาระ หรือมีข้อน่ากังวล
พวกเขาก็จะมองว่าใครก็ตาม ที่เตือนให้ระวัง
ไปปล่อยพลังลบใส่เขา เขาจะไม่ใส่ใจเลย
เขาจะอยู่ในโลก ที่มีแต่การให้แนวคิดดีๆ ลาเวนเดอร์
กับสิ่งนั้นๆ อย่างขาดเหตุผล และสติ…
และด้วยพฤติกรรมตอบสนองพลังบวกแบบนี้
มันจึงมีคนไม่ดี ใช้เป็นโมเดลเพื่อหลอกลวงผู้คน
ด้วยการตั้งกลุ่มขึ้นมา แล้วใส่สิ่งที่พวกเขา
หลอกว่าเป็นพลังบวกเข้าไป
…มันมีในทุกรูปแบบ ทั้งกลุ่มความเชื่อทางการเมือง ศาสนา
แฟนคลับดารา บุคคล หรือที่สร้างความเสียหาย ก็คือ
การหลอกลวงให้คนไปลงทุน….
พวกนี้วิธีการเหมือนกันหมดครับ
พูดแต่ด้านดี และไม่มองด้านเสีย
นัยสำหรับพวกเขา คือ เพื่อบอกสาวกว่า
ทุกคนจะต้องได้รับแต่พลังบวกเท่านั้นนะ
ไอ้คนที่ลบ อย่าไปฟังมัน
เอาแต่เรื่องบวก บวก บวก และบวกเข้าไปมากๆ
ส่วนไอ้คนคอยดึง คอยทัก คือมารทำลายชีวิต อย่าไปฟัง
ทั้งที่คนเหล่านี้ มักเป็นคนใกล้ตัว และหวังดี
…สุดท้าย ความหวาดระแวงที่พึงมี ต่อแนวคิดที่รับมา
มันก็หายไป เหลือแต่วิธีคิด ที่พร้อมจะทุ่มเททั้งชีวิต
เพื่อสิ่งที่ตนเองถูกเจ้าลัทธิกรอกหูมา…
…จนเสียหาย และบางรายถึงตายจริงๆ ในที่สุด…
วิธีแบบนี้มันไม่ใช่อะไรที่ใหม่
เพียงแต่มันมีการให้คำจำกัดความถึงชุดวิธีคิด
เปลี่ยนไปเรื่อยๆตามสถานการณ์
การสร้างความเชื่อลักษณะนี้ มีมาตั้งแต่อดีตแล้ว
และเป็นวิธีที่สร้างศาสนาแบบเทวนิยมขึ้นมา
เทวนิยม สอนให้เชื่อ โดยไม่ถาม ว่าจริงหรือไม่
โดยกันพวกที่ตั้งคำถามถึงพระเจ้าออกไป ให้เป็นคนบาป
ในบางสังคม ต้องลงโทษ เป็นการปิดปาก
โมเดลนี้ ยังเป็นที่มาของระบอบกษัตริย์ สมมุติเทพ
เพื่อเป็นเงื่อนไขความเหนือกว่า จะได้ง่ายในการปกครอง
โดยห้ามตั้งคำถาม เช่น ถ้าเป็นเทพ แล้วป่วยได้อย่างไร
ตายได้อย่างไร แบบนี้เป็นต้น ….
นี่คือภาพใหญ่ ที่วิธีสร้างแนวคิดแบบนี้ ถูกใช้มากที่สุด
และมันก็สร้างความเสียหายให้มนุษยชาติมากที่สุดด้วย
เช่น กรณีความบ้าคลั่งต่ององค์จักรพรรดิของญี่ปุ่น
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง หรือความคลั่งชนชาติ
ของพวกนาซี นี่ก็เช่นกัน
แนวคิดเดียวกัน แต่เล็กลงมา
เราก็จะเห็นได้จากผีบุญ ลัทธิต่างๆ
ที่กระจายอยู่ทั่วโลก ตลอดประวัติศาสตร์
ของไทยนี่ชัดเจนเลย ทั้งพวกทรงเจ้าเข้าผีหาเงิน
ลัทธิจานบิน มันก็ใช้วิธีแบบนี้ทั้งนั้น
แล้วก็พวกหลอกลงทุน
ไปดูเถอะครับ พวกนี้มีวิธีคิด
และดำเนินการพื้นฐานเหมือนกันหมด
ยิ่งมาอยู่ในยุคที่คนเชื่อเรื่องพลังบวกมากๆด้วย
ก็ยิ่งหากินง่าย เสียหายเป็นวงกว้าง แบบที่เราเห็นกัน…
ถ้าเป็นชาวพุทธ คุณควรเชื่อสิ่งที่พระพุทธเจ้าบอกไว้
…คือวิธีคิดว่าด้วยทางสายกลาง และการตรองความเป็นจริง
ด้วยปัญญาประกอบกับเหตุผล…
ทุกอย่างในโลกมีสองด้านเสมอ การมองบวกไปทุกเรื่อง
ย่อมไม่ใช่ทางสายกลาง และไม่สมเหตุผล
พลังลบ การมองแง่ร้าย ความผิดพลาด หรือคำตักเตือน
เป็นสิ่งที่ยังคงต้องมี ต้องฟัง ต้องคิด
เราไม่อาจเดินหนีพลังลบได้ ไม่ว่ากับเรื่องใด
เพราะมันเป็นสิ่งที่ต้องมีตามธรรมชาติ
มันคือความสมดุล ในเต๋า หรือทางสายกลางในพุทธนั่นเอง
แล้วเราก็จะไม่ถูกหลอก ไม่ว่ากับเรื่องใดๆ
หนังกำลังภายใน มีประโยคที่น่าสนใจเรื่องนี้….
…เจตนารังควานคนไม่ควรมี
แต่เจตนาไม่ระแวงคน ไม่อาจละเลย…
ประโยคนี้ มันเหมาะที่สุดแล้วล่ะกับโลกยุคนี้
ยุคที่คนในสารพัดวงการ
เน้นสร้างเรื่องเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง
เป็นยุคของการใช้สตอรี่ สร้างการตลาด ฐานมวลชน
เพื่อหลายเป้าหมาย หลายระดับ อยู่เต็มไปหมด…
แต่…โลกเรานั้น โดยธรรมชาติแล้ว …
…บวก ลบ มืด สว่าง ทุกอย่างต้องสมดุล นั่นคือความจริงแท้…
…อะไรที่ดีเกินไป ไร้ราคีผิดพลาด นั่นคือเรื่องโกหก…
…โลก เป็นเช่นนี้กับทุกเรื่อง ทุกคน ทุกสิ่ง …
…อย่าคิดอะไรให้มันฝืนธรรมชาติ ทุกอย่างก็ดีเองแหละครับ…
- 2
โฆษณา
- ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
- © 2024 Blockdit
