21 ต.ค. เวลา 13:50 • ธุรกิจ
เกาะเกร็ด

พุง รถหรู ท่วงทีวาจา และการยอมรับ(1)

✍️ในช่วงชีวิตที่ไม่มีงานประจำต้องรับผิดชอบ เป็นอีกช่วงหนึ่งของชีวิตที่ดีและมีคุณค่า เพราะมีเวลาที่จะได้ทำในหลาย ๆ สิ่งที่อยากทำ เช่น การเดินทางและท่องเที่ยวไปยังสถานที่ต่าง ๆ
1
การได้พบปะ สนทนา พูดคุยกับผู้รู้ ผู้มีประสบการณ์ในหลายแวดวง ที่ไม่มีข้อจำกัดด้านเวลาเข้ามาเกี่ยวข้องมากนัก
แถมยังไร้ข้อจำกัดทางด้านฐานะ อาชีพ เพศ วัย และสถานภาพทางสังคมอื่น ๆ ของบุคคลที่เราจะคุยด้วย
ซึ่งพอได้ทำแล้ว ผลที่เกิดขึ้นเป็นเสมือนวัตถุดิบ สารตั้งต้น หรือเชื้อไฟก่อให้เกิด
ความคิดใหม่ จินตนาการใหม่ ๆ เข้ามา ให้แช่มชื่นหัวใจ โดยเฉพาะกับคนชอบงานขีด ๆ เขียน ๆ ที่บางครั้งก็เดินทางมาถึงทางตัน ที่จะวางโครงเขียนเรื่องอะไร แบบไหนดี
อย่างเช่นเช้าวันหนึ่ง...ที่ผมกำลังคิดว่า จะหามุมอะไรแปลก ๆ มาถ่ายทอดสู่ผู้อ่านดี คิดไปมา หลายหัวข้อ ก็ยังไม่ถูกใจสักที
แต่แล้วจู่ ๆ ก็ได้วัตถุดิบมาใช้เขียนเรื่องเกี่ยวกับ "พุง" อย่างที่ไม่ได้คาดคิดไว้...
ผพลอยได้จากการเดิน..ความคิดแล่น
🚶‍♂️🚶โดยเกิดขึ้นในระหว่างที่เดินออกกำลังกายไป คุยไป กับพี่ ๆ ที่มีภูมิหลังมาคนละแบบ ในเรื่องนั้นบ้าง เรื่องนี้บ้าง
จนมาถึงจังหวะที่คุยกันถึงเรื่อง "พุง"
ที่คนทั่วไปอาจมุ่งมองเฉพาะเรื่องที่เป็นผลจากการกิน จนเกิดอาการ "ลงพุง" หรือ "อ้วนขึ้น" นั่นเอง
แต่พอลองหันมามองมุมอื่นถึงผลพลอยได้จาก "พุง" ก็มีเหมือนกัน หากนำ "พุง" ที่พองาม ไม่ "พลุ้ย" จนเกินไป
สำหรับนำไปใช้ร่วมกับส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย เช่น สมอง (วิธีคิด) ปาก (วาจา) และท่าทาง (การเดิน) ก็จะพบว่า มีส่วนช่วยเสริมให้บุคลิกแลดูภูมิฐาน น่าเชื่อถือ และเกรงขามอยู่ในที
เหมือนกับพี่โรจน์ คนไทยเชื้อสายจีน
ที่เดินออกกำลังกายด้วยกัน ฟื้นเรื่องราวซึ่งเคยผ่านการร่วมเจรจาซื้อขายธุรกิจ
มูลค่าหลายล้านบาท ในช่วงวิกฤติค่าเงินบาท ปี 2540 ที่ค่าเงินบาทอ่อนตัว หาเสถียรภาพได้ยาก
ธุรกิจของคนไทยส่วนหนึ่งตกอยู่ในสภาพขาดทุน..เจ๊ง..ดำเนินการต่อได้ยาก
หลายธุรกิจต้องหยุดเลิกกิจการ จึงเป็นโอกาสให้นักธุรกิจต่างชาติเข้ามาซื้อกิจการของคนไทย ราวกับเดินช้อปปิ้งเลือกซื้อสินค้าตามใจชอบ
👉 ซึ่งเพื่อนของพี่โรจน์คนหนึ่ง ก็ตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน คือ ตัดสินใจขายกิจการให้ชาวยุโรป โดยมีการเจรจาซื้อขายกันหลายครั้ง แต่ไม่ลงตัว
เพราะราคาที่ซื้อไม่เป็นไปตามที่เคยตกลงกันไว้แต่แรก ทำให้ฝ่ายคนไทยเสียเปรียบ
จนการเจรจามาจบในครั้งที่พี่โรจน์ร่วมเข้าไปเจรจาด้วย ตามคำชวนของเพื่อน ที่อาจมองเห็นคุณลักษณะบางอย่างหรือโหงวเฮ้งในตัวพี่
ซึ่งไม่แน่ใจว่า พิจารณาจาก "พุง" ด้วยหรือไม่ (ฮา) แต่ตัวพี่นั้น มั่นใจในเรื่อง "พุง" ที่สมส่วนของพี่ ยิ่งพอสวมใส่สูทสีเข้ม เข้าไปด้วย ยิ่งได้ความมั่นใจเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว
โดยเฉพาะในจังหวะที่ก้าวเดินเข้าโรงแรม แล้ว รปภ. เปิดประตูให้เพียงคนเดียว เสมือนเป็นเจ้าของกิจการ ยิ่งช่วยเพิ่มความมั่นใจ
ในขณะที่ตัวของเพื่อนและผู้ร่วมคณะ (ที่รูปร่างไม่ค่อยจะมีพุง) ต่างต้องผลักประตูเดินเข้าไปเอง (ฮา )
นับเป็นข้อที่พอจะอ้างอิงได้อย่างหนึ่งว่า...มาดดี พอมีพุง จะมีคนให้ความน่าเชื่อถือไปล่วงหน้าแล้วส่วนหนึ่ง...
พุง ช่วยเสริมมาด
พอเดินเข้าห้องเจรจา ยืนทักทายโชว์ตัว (และพุง) จับไม้ จับมือกัน พอเป็นพิธีแล้ว จึงเริ่มนั่งพูดคุยกัน โดยตัวพี่โรจน์เองนั้น แม้ภาษาอังกฤษจะใช้งานได้ในระดับ เยส โน โอเค เซย์ซัมซิง
2
แต่ก็ไม่เป็นปัญหาที่จะทำให้เสียความมั่นใจ เพราะมีล่ามคอยช่วยถ่ายทอดคำแปลให้เป็นระยะ
จนในที่สุด การพูดคุยดำเนินมาสู่การเจรจาเรื่องราคาที่ชาวต่างชาติพยายามจะกดราคาซื้อให้ลดลงไปจากราคาเดิมที่เคยตกลงกันไว้
แต่พี่โรจน์ไม่เห็นด้วย ...จึงแสดงออกถึงท่าทีภายนอกที่แลดูขึงขัง บ่งบอกถึงอาการคัดค้าน
พร้อมกับหันไปพูดคุยกับเพื่อนที่เป็นเจ้าของกิจการ ซึ่งมีความเห็นตรงกันว่า ควรจะยืนยันราคาซื้อขายตามที่ตกลงกันไว้แต่แรก
โดยพิจารณาจากท่าทีของผู้ซื้อที่อยากได้กิจการมาครอบครองเข้าทำนองอยากได้ ประกอบกันไปด้วย เหมือนอ่านเกมส์ผู้ซื้อออกอยู่ในที
สุดท้าย ลงเอย ด้วยราคาตามที่ตกลงกันไว้แต่แรก ซึ่งเป็นผลมาจากส่วนผสมที่ลงตัวของการใช้ กึ๋น วาจา และบุคลิกภาพที่เชื่อว่า มีพุง เป็นองค์ประกอบหนึ่งด้วย (ฮา)
กาแฟ+ขนม ช่วยสร้างบรรยากาศเจรจา
🤌 ต่อจากนั้น อีกหลายวันถัดมา ในช่วงเวลาเช้าของการเดินออกกำลังกายเช่นเดิม ผมยกเรื่องที่คุยกันถึงบารมีของพุงในวันก่อน มาเล่าถ่ายทอดต่อให้พี่สืบบุญ ซึ่งไม่ได้เดินออกกำลังกายด้วยกันในวันนั้นทราบ
พอฟังได้สักพักหนึ่งเท่านั้นละ...พี่สืบบุญ ก็มีเรื่องในท่วงทำนองเดียวกัน มาเล่าแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ไม่น้อยไปกว่ากัน
เดินไป เล่าไป ในสวนที่ผ่อนคลาย
พี่เล่าว่า...สองสามปีมาแล้ว มีโอกาสนัดสังสรรค์กันระหว่างหมู่เพื่อนเก่าที่สโมสรของหน่วยงานราชการแห่งหนึ่ง
วันนั้น พี่สืบบุญขับรถกระบะสกุลเอเซียที่ใช้งานมาร่วมสิบปีไปร่วมงาน
เมื่อไปถึงบริเวณสถานที่จัดงาน เห็นที่จอดรถด้านหน้าสโมสรว่างอยู่พอดี จึงชะลอความเร็วลง เตรียมจะหันหัวรถเข้าไปจอด
ในจังหวะเดียวกันนั้น รปภ. ก็รีบเดินปรี่เข้ามาหา พร้อมทำท่าโบกไม้ โบกมือ และชี้ตำแหน่งที่จอดรถใหม่ให้พี่สืบบุญซึ่งไกลไปจากจุดเดิมหลายสิบเมตร
หลังจากจอดรถเสร็จเรียบร้อย ในเวลาไล่เลี่ยกัน พี่สืบบุญก็หันไปมองเห็นรถเก๋งยุโรปคันหรูของเพื่อนที่ขับตามมากำลังขับเข้าไปจอดในตำแหน่งเดียวกันกับที่พี่สืบบุญตั้งใจจะจอดครั้งแรก
โดย รปภ. คนเดียวกัน คอยอำนวยความสะดวกให้จอดอย่างดี
จึงเกิดคำถามเจือด้วยความรู้สึกขึ้นในใจว่า...เอ๊ะ ทำไมรถของเราจอดตรงนั้นไม่ได้ น้า...?
แล้วพี่ก็ขยายความต่อว่า...วันนั้น ผมก็แต่งตัวโอเคนะ มาดและ "พุง" ก็พอมี เพียงแต่พาหนะที่ขับมา...น่าจะไม่อยู่ในสายตาของ รปภ. เท่านั้นเอง (ฮา ฮา)
แถมเพื่อนซี้ที่ขับรถยุโรปคันหรู ซึ่งเห็นเหตุการณ์มาโดยตลอด
ยังยืนรอแซวตรงบันไดทางขึ้นสโมสรให้ปวดใจว่า..."เป็นไงบ้างล่ะ สืบ จอดรถซะไกลเลยน้า"...(ฮา ฮา)
จอดข้างรถหรู ทิ้งระยะห่าง กลัวขีดข่วน
🚘 หลังฟังเรื่องราวเสร็จ ผมเองนั้นแม้จะเห็นว่า "พาหนะ" ที่ใช้ขับขี่จะสร้างเครดิตได้เหนือกว่า "พุง" อยู่บ้าง
แต่ก็ยังไม่กล้าสรุปชี้ชัดว่า...พุงนำพา หรือ พา(หนะ)นำพุง กันแน่...(ฮา)
เพราะตัวผมเองที่พุงไม่ค่อยจะมี ก็เคยมีประสบการณ์ตรง ขับรถยนต์ สกุลเอเซีย ที่ยังใช้งานได้ดีมา 16 ปี (แห่งความหลัง) ไปงานศพ ที่วัดแห่งหนึ่งย่านฝั่งธนบุรี ซึ่งมีคนขับรถหรูมาในงานจำนวนมาก
ขับวนไปมาหาที่จอดไม่ได้ ผมก็เลยเปิดกระจกไปร้องขอผู้ดูแลการจอดรถ (ยศสิบเอก) ว่า "น้องครับ ช่วยเมตตาหาที่จอดรถเก่า ๆ อย่างพี่ให้สักคัน ได้ไหมครับ"🥰
น้องยิ้มกลับมา พร้อมกับพูดว่า "แป๊บนึงนะครับ" แล้วหันไปมองเห็นที่ว่างช่องหนึ่ง
ซึ่งมีมอเตอร์ไซค์คันใหญ่จอดขวางอยู่ เลยรีบวิ่งไปเข็นออก แต่มอเตอร์ไซค์คันนั้น ล็อคคอไว้ เลื่อนไม่ได้ 🏍
ผมกล่าวขอบคุณในความพยายามของน้อง แล้วขับออกมาหาที่จอดนอกวัด...แม้ไม่ได้ที่จอดในวัด แต่ผมก็ประทับใจที่น้องดูแลเอาใจใส่เราและรถอย่างเรา...
แม้มีรถหรู ก็หาที่จอดแบบนี้ได้ยาก
ช่วงตอนออกมาหาที่จอดนอกวัด มีจุดพลิกผันที่ต้องเร่งให้ทันการประกอบพิธีบนเมรุเผาศพ ที่เหลือเวลาอีกครึ่งชั่วโมง
ผมรีบขับรถออกมาปากซอยเห็นสาขาธนาคารแห่งหนึ่งตั้งอยู่ใกล้ปากซอย มองเข้าไปเห็นที่นั่งพอว่างอยู่ 1-2 คัน ใกล้ ๆ กัน มี รปภ.(ในเครื่องแบบ )กำลังยืนเช็ดรถ
ผมก็เอ่ย ร้องขออนุญาตจอดรถ จาก รปภ. ด้วยท่าทีการร้องขอแบบขอความเมตตาเช่นเดียวกันกับขอจากผู้ดูแลจอดรถในวัด
แต่ได้รับการปฏิเสธ แม้จะร้องขอว่า จอดแป๊บเดียวเท่านั้นก็ตาม ผมร้อง ..อืม..บนความผิดหวังขึ้นในใจ ปน ๆ กับความเห็นใจที่เขาต้องทำตามหน้าที่(ตึงเป๊ะ) (ฮาไม่ออก)
พร้อมกับรีบถอยรถออกมา เพื่อเตรียมเข้าไปหาที่จอดรถในซอยใกล้ ๆ กัน
(พลันมานึกขึ้นได้ทีหลังว่า...รู้อย่างงี้
ทำทีเดินขึ้นไปติดต่อกับธนาคาร แล้วเดินลงมา รีบเดินไปที่วัดให้ทันงาน โดยจอดรถทิ้งไว้ให้เนียน ๆ จะดีกว่า(ช่างคิดได้นะ))
รปภ. ทำงาน(กวาด) เกินหน้าที่
พอรถขับมาถึงกลาง ๆ ซอย เห็นบ้านใหญ่หลังหนึ่งมีที่ว่างอยู่ข้างรั้วบ้าน พอจอดรถได้ 2 คัน ตอนแรกกะว่าจะตีเนียน...
เข้าไปจอดเลย ไม่ถามคุณป้าที่ยืนอยู่หน้าประตูบ้านอีกแล้ว เพราะกลัวถูกปฏิเสธแบบเดียวกับ รปภ. ธนาคาร
แต่แล้วก็ตัดสินใจร้องขอจากคุณป้า อายุราว ๆ 70 ปีเศษ ด้วยท่าทีเดิม
ผลกลับกลายเป็นตรงกันข้าม คุณป้า ตอบกลับบวกรอยยิ้มทันทีเลยว่า "จอดตามสบายค่ะ รีบไปให้ทันพิธีนะคะ"
ผมไปทันงานพอดิบพอดี...
ทุกวันนี้ ยังนึกถึงน้ำใจแบบคุณป้าเวลาหาที่จอดรถทำธุระตามตรอกซอยที่หายากขึ้นทุกวัน
และนึกไปถึงวันนั้น..ไม่ทราบว่า คุณป้าใช้หลักอะไรในการพิจารณาให้จอด ซึ่งไม่น่าจะมองจาก ทั้งพุง(ที่ไม่ค่อยมี) และท่วงทีวาจา คงดูจากเวลาที่ใกล้ถึงพิธีเป็นสำคัญ
ในส่วนของรถ (เก่า) นั้น ไม่ต้องพูดถึง คุณป้าคงมองข้ามไปตั้งแต่แรกแล้ว (ฮา)
ดังนั้น จึงมิอาจจะกล่าวได้ว่า อะไร จะเหนือกว่าอะไรในการให้ใครยอมรับ
น่าจะอยู่ที่จังหวะ และสถานการณ์ที่จะเป็นตัวกำหนดด้วยว่า จะออกอาวุธ ด้วยพุง หรือรถหรู มีราคา หรือใช้วาจา เป็นเครื่องมือเจรจา และประสานสัมพันธ์
ุึึหรือนำทุกอย่างไปใช้ด้วยกันอย่างลงตัว
ทั้งนี้ ทั้งนั้น ต้องพิจารณาว่าเข้าตา ผู้มีส่วนได้เสียที่มีบทบาทในการตัดสินใจด้วยเป็นสำคัญ ทั้งในฐานะ นักลงทุนข้ามชาติ รปภ.ดูแลสถานที่ และคุณป้าเจ้าของบ้าน
เข้าทำนอง...
หากหมูถูกตาเจ๊ก ซื้อใจไปได้เลยทันที
🙏ขอบคุณมากครับ
มุมชัย นัยสอิ้ง
🫶 อนึ่ง ขอขอบคุณผู้ถ่ายทอดเรื่องราวทุกท่าน และผู้อ่านที่ให้ข้อคิดเห็นต่อร่างเนื้อหาด้วยครับ
(คอยติดตามอ่านตอน 2 นะครับ💌)
โฆษณา