22 ต.ค. เวลา 02:51 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี
เมื่อจิตเรา เราเป็นจิตดวงน้อยๆ อาศัยในกายที่ปกคลุมไปด้วยอารมณ์โลภโกรธหลง ปกคลุมไปทั้งวิญญาณทั้งหก ถูกปกปิดไปด้วยอารมณ์จร เดี๋ยวตรงนั้นตรงนี้จรเข้ามา ขันธ์ทั้งห้าก็ก็จร จรไปจะเที่ยว อยากกิน อยากนอน ..มีราคะตัณหา ทะเยอทะยาน อยากร่ำรวยเงินทอง มีรถหรู ที่นั่งที่นอนสุขสบาย มีบ้านใหญ่ๆโตๆ สวายๆงามๆ ..โอ้ว..นั้นมันเป็นอารมณ์นึกคิดที่ปกคลุมจิตอยู่ ไปเกิดเป็นหมูเป็นหมาชะนีวัวคลาย ก็รับกรรมอย่างเดียว เกิดมาเป็นคน ก็มีกรรม มีขันธ์ห้าเหมื่อนสัตว์ทั้งหลาย แตกต่างกันด้วยรูปที่อาศัย แตกต่างกันด้วยจิต
จิตที่มาอาศัยกายมนุษย์ นั้นสามารถรับรู้ความทุกข์ที่เจ็บปวดรวดร้าวไปถึงจิตได้ แต่เค้าว่า จิตไปอยู่ในรูปสัตว์ มันไม่รับรู้ชี่วได้ เพราะกรรมนั้นกดทับจิตอยู่ ทุกข์มันกดทับจิต ที่ไปอาศัยกายที่เป็นกรรม แก้ไขอะไรไม่ได้ .รับกรรมอย่างเดียว กินนอนอยู่ในกรรม หากินไปตามสัญชาตญาณ เจ็บป่วยก็ช่วนเหลือกันไม่ได้
บ้างก็พูดว่า มรรคแปด อย่างนั่นอย่างนี้ ..เราดูองค์พระสิทธัตถะที่ท่านก็ ..หนีเวียงวัง หนีบุตรภรรยา ข้าทาสบริวารที่ยกสำรับอาหารมาให้ ไปอยู่ป่า ไม่มีใคร มารับใช้ ไม่มีใครมาเอาอกเอาใจ ไปนอนที่นอนกว้างใหญ่ ไม่ได้นอนแคบๆในเวียงวัง เรื่องมรรคแปด ของพระอริยะเจ้า มันแตกต่างจากอารมณ์นึกคิด .ที่ปรุงแต่งของปุถุชน ..แตกตื่นกันเหมือห้ากับเหว เพราะจิตปลดเปลื้องกิเลส อารมณ์ต่าง ๆ ลดละไม่ได้เลย
เอ้า..ไปดู ..ต้นพุทธกาล ..เค้าบอกว่า เศรษฐีเจ้าชาย พอมาฟังธรรมของพระพุทธเจ้า ก็เหวี่ยงเงินทอง ทรัพย์สินทิ้ง สิ่งเหล่านี้ นำมาพาให้ต้องมาเกิดแก่เจ็บตาย ไม่ยึดแล้วไม่เอาแล้ว ทิ่งๆ ใครอยากได้ก็เอาไป เดินเข้าป่าไม่มีอะไรติดตัว มีเสื้อป้าชุดเดียวไม่ให้อุจาด ..แก้วน้ำสักใบก็ไม่มีติดตัวไป
.. นั่นเค้าก็ไปกระทำในเรื่องชำระสะสาง ในเรื่องราวของอริยะมรรค ..เพื่อตัดขาด ยุติการเกิด ยุติเหตุที่ต้องมาเกิดมาแก่เจอตาย ท่านไปกระทำด้วยคำว่า จิตที่มีขันติเป็นบารมี ตัดขาดชำระสะสางกรรมบัญชีที่อยู่กับธาตุทั้งสี่ สะสร้างน้ำเลือดน้ำหนองที่เป็นกรรม
ลองสังเกตดู คำว่า สัมมานั้นเป็นคำที่สูง ใช้กับ เช่น สัมมาสัมพุทธเจ้า สัมมาอรหันต์ ..แล้วเราเป็นจิตดวงน้อยๆ หวงกิน หวงไม่มีกิน ..วุ่นวาย เป็นผู้ที่นิยมอารมณ์โลภโกรธหลงอยู่ ..ตรงนี้จะเป็นสัมมาขึ้นมาได้หรือไม่..นั้นก็คือ ..ผู้ที่ท่านท่านปฏิบัตินั้น ท่านอ่านอารมณ์กรรมตัวกระทำ ที่จะเข้ามาแทรก มาปกคลุมกายวาจาใจ จิตท่านอ่านออก ..ท่านก็ไม่ไปยึดอารมณ์นั้น
..เมื่อไม่มีอารมณ์ปรุงแต่ง ไม่มีอารมณ์กรรม..ไม่มีอารมณ์ที่ไหลมาจากธาตุทั้งสี่ จิตท่านก็เฉย แต่กายสังขาร เค้าก็เดินไปตามกำหนดเวลา อายุขัย ที่มีสัญญากำหนดว่า ต้องมาอาศัยกายนี้ จนครบกำหนดเวลาจึงจะออกไปจากกายสังขารนั่นได้
มีโยมคนหนึ่ง ท่าทางมีเงินมีทอง มีตำแหน่งใหญ่โต ..มาทำบุญถวายสังฆทาน พระที่ครองผ้ากาสาวพัสตร์ ท่านก็บอกว่าให้ระลึกถึงกายพ่อแม่ ให้ระลึกถึงพระคุณพ่อแม่ที่ให้กายเรามา เราไม่ได้นำไปสร้างกรรมอย่างเดียว เราก็นำมาสร้างบุญ ให้กายพ่อแม่อนุโมทนา พอยกถวายของเสร็จ เค้าก็กลับไปนั่งในท่า ขัดตะหมาด ฟังธรรม ..พระท่านที่ของผ้ากาสาวพัสตร์ เครื่องหมายธรรมขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านก็พูดว่า โอ้ว..โยมนี้ บุญบารมีบารมีเยอะจริง มานั่งให้ฉันชมบุญบารมี เหมือนพระพุทธเจ้าเลยเนาะ
1
โฆษณา