Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
S
Story Decoder
•
ติดตาม
22 ต.ค. เวลา 11:53 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์
รีวิว หลวงพี่เท่ง Come Back - การกลับมาของหลวงพี่เท่งพร้อมคำถามตัวโตๆ ว่ากลับมาแล้วได้อะไร
ไม่แน่ใจว่ามีใครออกกฏบังคับให้ “หลวงพี่เท่ง Come Back” ต้องมีมุกตลกแทรกเกือบทุกฉากรึเปล่า ตัวหนังถึงพยายามใส่มุกซ้ำๆ ซากๆ ที่เล่นแล้วเล่นอีกจนเกิดความหงุดหงิดรำคาญแทนที่ความตลก มันจึงทำให้การ Come Back ในรอบเกือบ 20 ปี กลายเป็นคำถามว่า “กลับมาแล้วได้อะไร” แทนที่จะเป็นความปลื้มปริ่มที่ได้เห็นหลวงพี่เท่งอีกครั้งบนจอภาพยนตร์
หลวงพี่เท่ง Come Back
เกือบ 20 ปี เป็นระยะเวลาที่สำหรับมนุษย์ก็ถือว่านานพอสมควร ถ้าเป็นเด็กก็โตจนเรียนจบ ทำงาน มีครอบครัวได้เลย หรือหากเทียบกับหมา แมว ก็เป็นระยะเวลาชั่วชีวิตของพวกเขาเลย แต่กับ “หลวงพี่เท่ง” (เท่ง-พงษ์ศักดิ์ พงษ์สุวรรณ) ที่ไปแสวงหาบุญที่ธิเบตจนกลับมาที่เมืองไทย เราสัมผัสไม่ได้เลยว่า นี่คือพระที่มีพุทธิปัญญา น่าเลื่อมใส จนใครต่อใครก็พากันเคารพนบนอบ กลับกันสิ่งที่หลวงพี่เท่งได้สำแดงในเรื่อง มันเป็นอะไรที่ “พื้นฐาน” มากๆ จนน่าสงสัยว่า การที่หลวงพี่ไปธิเบต 19 ปี นั้นได้อะไรกลับมาบ้าง(วะ)เนี่ย
หลวงพี่เท่ง Come Back
จากตัวอย่างภาพยนตร์นอกจากแนะนำตัวละครแล้ว มีประเด็นที่น่าสนใจอย่าง “ญาติโยมดิจิตอล” เพิ่มเข้ามา ซึ่งหากมาคิดดูดีๆ นี่เป็นเรื่องใหญ่มาก แถมในตัว teaser “โยมส่ง” (โน้ต-บำเรอ ผ่องอินทรกุล) ก็บอกด้วยว่า “เดี๋ยวนี้ญาติโยมเวลาทำบุญ เขาก็ไม่นิมนต์พระกันแล้วครับ เขาก็เอาตู้ลำโพงมาตั้งแล้วก็เอาจีวรคลุม เปิดยูทูปเสียงสวดมนต์ ยกมือไหว้ตู้ลำโพงกันละครับ” สิ่งเหล่านี้สะท้อนถึงพฤติกรรมคนยุคปัจจุบันที่ไม่ค่อยเข้าวัดกันแล้ว และเป็นความท้าทายใหญ่สำหรับพุทธศาสนาว่าจะทำอย่างไรให้สามารถอยู่ร่วมกับผู้คนในปัจจุบันได้
หลวงพี่เท่ง Come Back
ประเด็นน่าสนใจแบบนี้กลับกลายเป็นแค่ลมปากที่ “หลวงพี่เท่ง Come Back” ไม่ได้สนใจใยดีแม้แต่น้อย โอเคเราอาจจะมองว่าโจทย์หลักของหลวงพี่เท่งก็ คือ การกลับมาฟื้นฟูวัดใกล้บ้านตามคำขอของโยมแม่ ซึ่งโจทย์นี้มันเป็นประตูบานใหญ่มาก ที่เปิดให้ตัวหนังสามารถเล่นประเด็นเกี่ยวกับศาสนาได้หลายแง่มุมมาก จะเป็นการวิพากย์ “พุทธพาณิชย์” แบบคมๆ เหมือนซีรี่ย์เรื่อง “สาธุ” ของ Netflix ก็ยังได้ ไม่เลวนักที่ตัวหนังก็เลือกจะเล่นประเด็นเรื่อง “วัตถุมงคล” สะท้อนเรื่องการหากินกับศาสนาแบบหน้าด้านๆ ของพวกนักธุรกิจและพระบางจำพวก
หลวงพี่เท่ง Come Back
“อาตมาเป็นพระสอน ไม่ใช่พระเสก” เป็นวลีที่ใช้บ่งบอกความเป็นหลวงพี่เท่ง ซึ่งก็ฟังดูดีนะ เพียงแต่ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในเรื่องกลับกลายเป็นการกลืนน้ำลายตัวเองซะงั้น ก็ไม่เข้าใจว่าผู้สร้าง ต้องการจะสื่อสารอะไรกันแน่ กับการที่หลวงพี่เท่งยอมกลับคำ(ผิดศีลรึเปล่านะ) ยอมออกวัตถุมงคลเพื่อฟื้นฟูวัด โดยในตอนแรกก็มีท่าทีว่าหลวงพี่จะมีแผนอะไรบางอย่างที่จะไม่ทำให้ตัวเองและวัดเสียเปรียบ...
...แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่เห็นปัญญาใดๆ จากหลวงพี่เท่งเลย เอาเข้าจริงก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่า คาแรคเตอร์ของหลวงพี่เท่งเป็นแบบไหนกันแน่ จะเป็นพระปัญญาเลิศแบบอิคคิวซังใช้ปัญญาแก้ปัญหาให้ชาวบ้าน หรือจะเป็นพระทึ่มๆ ท่าทางเฟอะฟะ ซึ่งจากที่ดูมาก็เห็นทีจะเป็นอย่างหลังมากกว่า
หลวงพี่เท่ง Come Back
เรื่องสังขารกับกฏ “ไตรลักษณ์” ที่เป็นอีกคำสอนทรงพลังของศาสนาพุทธเรา มันเป็นอะไรที่หากเล่าดีๆ ก็จะกินใจได้ไม่ยาก “หลวงพี่เท่ง Come Back” หยิบประเด็นนี้มาใช้กับโยมส่ง ผ่านเรื่องหูตึงที่เป็นอุปสรรคในการสื่อสาร แน่นอนว่ามันสื่อถึงเรื่องสังขารได้ดีจนไม่รู้จะดีกว่านี้ยังไง จากที่เคยหนุ่มเคยแน่น กลายเป็นคนแก่งกๆ เงิ่นๆ ทำอะไรก็ติดๆ ขัดๆ ไปหมด ดูไปก็ปลงกรรมฐานไป แต่กลับเป็นว่าจากที่ดีๆ ถูกขยี้จนเละไปหมด เหมือนมีใครเขียนกฏไว้ว่า “ถ้าฉากไหนมีโยมส่ง ต้องมีมุกหูตึงปิดท้ายเสมอ” ทิ้งประเด็นดีๆ ไปอีกหนึ่ง
หลวงพี่เท่ง Come Back
อาจจะมีคนแย้งว่า “เอ้าก็หนังตลก จะซีเรียสทำไม ไม่ได้ทำหนังชิงออสการ์” ถ้าแบบนั้นลองโยนทุกประเด็นทิ้งไปแล้วดูอย่างไม่ต้องคิดอะไรเยอะ ก็จะพบว่าความตลกใน “หลวงพี่เท่ง Come Back” นั้น นอกจากจะไม่ค่อยมีประสิทธิภาพแล้ว มันยังเชยได้ใจอีกต่างหาก ใครดูจบแล้วไม่รำคาญมุกหูตึงก็ให้มันรู้ไป แถมตัวละครสมทบที่เป็นเหล่าทายาทตลก 3 ช่า ก็ยังไม่สามารถสร้างความตลกได้มากนัก เหมือนมาอยู่ให้เต็มจอไม่เหงาแค่นั้น...
...ยังดีที่ตัวมุกตลกทั้งหลายในเรื่อง เป็นตลกแบบ “คลีนๆ” ไม่มีคำหยาบหรือส่อเสียดเรื่องเพศสภาพ อาจจะมีการล้อสังขารบ้างเบาๆ กลายเป็นว่าซีนที่ดูตลกที่สุดเห็นทีจะเป็นการปรากฏตัวของ “หม่ำ จ๊กมก” ที่ตอกย้ำว่าความตลกมันส่งผ่าน DNA กันไม่ได้
หลวงพี่เท่ง Come Back
ยังดีที่การแสดงของ เท่ง-พงษ์ศักดิ์ พงษ์สุวรรณ หรือ เท่ง-เถิดเทิง ในบทหลวงพี่เท่ง(3 เท่งแล้ว)นั้น ยังคงเชื่อใจได้ และมีพลังมากพอจะประคองเรื่องไปจนจบได้ แม้องค์ประกอบอื่นๆ จะดูทุลักทุเล แต่เสน่ห์บางอย่างจากเขาก็เข้ากันดีกับบทนี้จริงๆ ในขณะที่โยมส่งของโน้ต เชิญยิ้ม ที่นอกจากอาการหูตึงกับการเป็นลูกมือของหลวงพี่เท่งแล้ว ก็ไม่เห็นประโยชน์อะไรจากตัวละครนี้อีก อาจจะมีบ้างที่คอยเตือนสติคนอื่น แต่ก็ไม่เป็นที่จดจำมากพอ...
...ส่วนตัวละครอื่นๆ ก็เป็นตัวละครแข็งๆ เหมือนหลุดมาจากซิทคอม ที่ดูไม่ค่อยเป็นธรรมชาติเท่าไหร่นัก แล้วยังดีที่คุณภาพงานสร้าง งานถ่ายทำ อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน ไม่อย่างนั้นคงดูไม่จืดกว่านี้แน่
หลวงพี่เท่ง Come Back
ปัญหาที่เกิดขึ้นอาจจะมาจากแนวคิดของสองผู้สร้างเท่ง-โน้ต นั้น ล้าหลังและไม่กว้างพอที่จะครอบคลุมภาพยนตร์ทั้งเรื่องได้ เพราะคุณไม่สามารถทำหนังทั้งเรื่องได้เพียงแค่ยัดมุกตลกไปในแต่ละฉากเพียงอย่างเดียว แต่ขาดการเรียบเรียงเนื้อเรื่องที่ดีและประเด็นที่จับใจผู้ชมได้...
...และใน “หลวงพี่เท่ง Come Back” มันแทบจะเป็นการเล่าแบบฉากต่อฉากที่ไม่ได้มีชั้นเชิงอะไรแม้แต่น้อย การจะอ้างว่าก็มันคือ “หนังตลก” อย่าคิดอะไรมาก ดูแค่ฉากตลก(น้อย)ก็พอ ดูจะฟังไม่ขึ้นและดูถูกคนดูมาก ถ้าต้องการแค่ฉากตลก เข้ายูทูปแล้วพิมพ์ “10 อันดับ ฉากตลกจาก…..” ก็น่าจะพอแล้ว ไม่ต้องเสียเวลาเข้าโรงภาพยนตร์หรอกจริงมั้ย?
หลวงพี่เท่ง Come Back
By Story Decoder
ภาพยนตร์
ศิลปะ
บันเทิง
บันทึก
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย