22 ต.ค. 2024 เวลา 13:16 • การตลาด

Neuromarketing เรื่องของศาสตร์แห่งสมอง ศิลป์แห่งการตลาด

คำว่า Neuromarketing อาจฟังดูใหม่มากสำหรับบางคน แต่ความจริงแล้ว ศาสตร์แห่ง Neuromarketing นั้น มาเยือนโลกแห่งการตลาดได้สักพักใหญ่แล้วค่ะ สิ่งที่น่าสนใจสำหรับ Neuromarketing คือ มันไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาลอย ๆ แต่จุดตั้งต้น หลักคิด ไปจนถึงกระบวนการนั้น ถูกกระทำบนพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ทั้งหมด
ในขณะที่เดิมทีนั้น อารมณ์ในอดีตถูกอธิบายผ่านเลนส์ของศาสนา ปรัชญา และวิทยาศาสตร์ในยุคโบราณ ซึ่งเน้นการมองว่าอารมณ์เป็นสิ่งที่ควบคุมโดยปัจจัยภายในจิตใจหรือจิตวิญญาณ แทนที่จะเป็นกระบวนการทางเคมีและระบบประสาทอย่างที่เราเข้าใจกันในปัจจุบัน อย่างตัวเราเองก็เหมือนกัน ที่เดิมทีไม่คิดว่าอารมณ์เป็นเรื่องของวิทยาศาสตร์ จนกระทั่งที่เราเริ่มได้อ่านงานเขียนที่เป็นการอธิบายความเกี่ยวโยงของอารมณ์และสารสื่อประสาทในร่างกายคน
โดยเฉพาะที่ช่วยให้เข้าใจได้เด่นชัดที่สุดก็คือหนังสือ “500 ล้านปีของความรัก” ไปจนถึงการลงเรียนคอร์ส An Introduction to Consumer Neuroscience & Neuromarketing ของ Copenhagen Business School ซึ่งทั้งสองอย่างนี้ คือการเปิดโลกความเข้าใจใหม่ในด้าน “อารมณ์ของมนุษย์และวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวข้อง” ให้เราอย่างสมบูรณ์
ในวันนี้ เราเลยจะเอาศาสตร์ที่ว่า มาอธิบายผ่าน Blog เผื่อว่า มันจะมีประโยชน์สำหรับใคร ๆ ก็ตามที่ชีวิตยังต้องเกี่ยวพันกับการตลาดอยู่อย่างเช่นเรา
🤎 Neuromarketing คืออะไร? 🤎
Neuromarketing เป็นการผสมผสานระหว่างวิทยาศาสตร์ทางสมองและการตลาด ซึ่งมุ่งศึกษาและเข้าใจพฤติกรรมของผู้บริโภคผ่านการตอบสนองทางอารมณ์และสมอง แบรนด์และนักการตลาดสามารถนำข้อมูลเหล่านี้ไปปรับใช้เพื่อออกแบบประสบการณ์ที่ทรงพลังในการดึงดูดใจกลุ่มเป้าหมายและสร้างผลกระทบทางบวกได้มากขึ้น
🤎 ทำไม Neuromarketing ถึงน่าสนใจ? และสำคัญกับการตลาดอย่างไร? 🤎
มันจะมีคำพูดนึงที่เราใช้พูดกับลูกค้าเสมอ ๆ นั่นคือ “กระเป๋าสตางค์อยู่ใกล้หัวใจมากกว่าสมอง” ซึ่งน่าจะทำให้พอเห็นภาพได้ชัดอยู่ เพราะแม้ว่า สมองของเราจะเป็นกลไกหลักในการตัดสินใจซื้อสินค้า แต่หลายครั้งเราก็ไม่ได้ตัดสินใจด้วยเหตุผลเชิงตรรกะ แต่เกิดจากความรู้สึกที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและไม่รู้ตัว Neuromarketing จึงมีส่วนช่วยให้นักการตลาดเจาะลึกเข้าไปที่ไอเดียความคิดเหล่านี้ จนนำไปสู่การออกแบบแคมเปญที่ตรงจริตกลุ่มเป้าหมายได้อย่างแม่นยำที่สุด
🤎 ประโยชน์จากการใช้ Neuromarketing 🤎
🩵เพิ่มความเข้าใจผู้บริโภคเชิงลึก: นักการตลาดที่ดีจะรู้ว่าโปรดักท์ของตัวเองมีดีอะไร แต่นักการตลาดที่เก่งจะรู้ว่าอะไรที่ดึงดูดใจลูกค้า และสิ่งใดที่ช่วยสร้างประสบการณ์ที่น่าจดจำ จนเกิดเป็นวงจรการซื้อซ้ำ (Retention >> Loyalty) จนนำไปสู่ความสัมพันธ์ที่เป็นระดับความผูกพันกับแบรนด์ได้
🩵 ปรับปรุงแคมเปญให้ตรงเป้า: การเข้าใจการตอบสนองของสมองช่วยให้พวกเรานักการตลาดสามารถปรับแคมเปญให้มีประสิทธิภาพสูงสุดและสื่อสารกับผู้บริโภคได้ชัดเจนขึ้น
🩵 สร้างการจดจำในระยะยาว: แคมเปญที่กระตุ้นความรู้สึกหรือสร้างประสบการณ์ที่น่าประทับใจ จะช่วยให้แบรนด์ติดอยู่ในใจของผู้บริโภคไปนาน ๆ และสิ่งนี้แหละที่น่าสนใจ เพราะมีการศึกษาผ่านทางงานวิจัย Neuromarketing มาแล้วว่า ผู้บริโภคมีแนวโน้มที่จะเลือกซื้อสินค้าที่ “คุ้นเคย” และแทบจะไม่เสียเวลาเปรียบเทียบกับสินค้าอื่น ๆ อีกมากมายในตลาด จนกว่าที่จะหมดรักแบรนด์นั่นแหละ
🤎 ตัวอย่างการใช้ Neuromarketing และเคล็ดลับการนำไปใช้ในแบรนด์ 🤎
1. การตลาดเชิงประสาทสัมผัส (Sensory Marketing)
แบรนด์สามารถใช้ประสาทสัมผัสต่าง ๆ เช่น กลิ่น เสียง หรือสี เพื่อดึงดูดลูกค้าและสร้างความผูกพัน ตัวอย่างเช่น ร้านอาหารอาจใช้กลิ่นหอมของอาหารเพื่อดึงดูดลูกค้า หรือแบรนด์เครื่องสำอางที่ออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่เน้นการสัมผัสที่หรูหรา
เคล็ดลับ: ใช้กลิ่นที่ช่วยเชื่อมโยงกับความทรงจำที่ดี เช่น กลิ่นหอมของวานิลลา เพื่อสร้างบรรยากาศที่ผ่อนคลายและทำให้ลูกค้ารู้สึกสบายใจ
2. การสร้างความทรงจำระยะยาว (Learning & Memory)
โฆษณาที่เล่าเรื่องราวที่โดนใจ หรือสร้างความประทับใจจะทำให้ผู้บริโภคจดจำแบรนด์ได้นานขึ้น ตัวอย่างเช่น โฆษณาที่ใช้เนื้อหาตลกขบขันหรือสะท้อนคุณค่าของแบรนด์จะทำให้ผู้ชมจดจำได้ง่ายกว่าโฆษณาที่เป็นข้อมูลล้วนๆ
เคล็ดลับ: สร้างโฆษณาที่มีเนื้อหาเล่าเรื่องราวหรือเน้นอารมณ์ เพื่อทำให้ผู้บริโภคจดจำและรู้สึกผูกพันกับแบรนด์มากขึ้น
3. การใช้สัมผัสเพื่อเพิ่มการมีส่วนร่วม (Tactile Engagement)
การออกแบบสินค้าหรือบรรจุภัณฑ์ที่เน้นการสัมผัส เช่น พื้นผิวที่มีความแตกต่าง สามารถทำให้ผู้บริโภครู้สึกเชื่อมโยงกับสินค้ามากขึ้น ตัวอย่างเช่น ร้านค้าเสื้อผ้าที่ให้ลูกค้าได้สัมผัสเนื้อผ้าก่อนซื้อ สามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น
เคล็ดลับ: ออกแบบบรรจุภัณฑ์หรือสินค้าที่มีพื้นผิวสัมผัสพิเศษ เช่น การเพิ่มความเรียบลื่นหรือความนุ่มนวล จะช่วยให้ผู้บริโภคจำแบรนด์ของคุณได้ง่ายขึ้น
4. เสียงและอารมณ์ (Sound and Emotion)
เสียงสามารถกระตุ้นอารมณ์และสร้างบรรยากาศได้ ตัวอย่างเช่น ร้านค้าแฟชั่นอาจใช้ดนตรีที่มีจังหวะช้าเพื่อสร้างความรู้สึกผ่อนคลาย หรือดนตรีที่มีจังหวะเร็วเพื่อกระตุ้นความตื่นเต้น
เคล็ดลับ: เลือกใช้เสียงเพลงหรือเสียงประกอบที่สอดคล้องกับอารมณ์ที่ต้องการสร้างในแบรนด์ เช่น เพลงที่ให้ความรู้สึกสดชื่นหรือเพลงที่กระตุ้นความรู้สึกหรูหรา
5. จิตวิทยาสี (Color Psychology)
การใช้สีสามารถส่งผลต่ออารมณ์และการตัดสินใจของลูกค้า ตัวอย่างเช่น สีแดงอาจกระตุ้นความตื่นเต้น ในขณะที่สีฟ้าอาจสร้างความรู้สึกสงบ
เคล็ดลับ: เลือกใช้สีที่สอดคล้องกับความรู้สึกที่คุณต้องการสร้างให้กับแบรนด์ของคุณ เช่น สีเขียวที่ให้ความรู้สึกเป็นธรรมชาติ หรือสีทองที่ให้ความรู้สึกหรูหรา
🤎 กรณีศึกษาจากแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จในการใช้ Neuromarketing 🤎
1. Innocent Drinks
แบรนด์เครื่องดื่มสุขภาพ Innocent ใช้เทคนิค Neuromarketing ในการออกแบบบรรจุภัณฑ์และสื่อสารการตลาดที่น่ารักและมีอารมณ์ขัน การออกแบบที่เรียบง่ายและการใช้ภาษาที่เป็นกันเองทำให้ผู้บริโภครู้สึกผูกพันกับแบรนด์ได้ง่ายขึ้น แบรนด์นี้ยังใช้จิตวิทยาสีในการเลือกใช้สีเขียวที่เป็นธรรมชาติเพื่อสร้างภาพลักษณ์ของความสุขภาพดี
2. AeroMexico
สายการบิน AeroMexico ใช้ประโยชน์จาก Neuromarketing ผ่านการตลาดเชิงอารมณ์ในแคมเปญที่เน้นการสร้างความผูกพันกับผู้โดยสาร โดยใช้สื่อโฆษณาที่สร้างความรู้สึกอบอุ่นและเป็นกันเองเพื่อเพิ่มความพึงพอใจและความภักดีของลูกค้า
3. Apple
Apple มักใช้กลยุทธ์ Neuromarketing โดยเน้นที่การออกแบบที่สะอาดตาและง่ายต่อการใช้งาน สมองของผู้บริโภคตอบสนองเชิงบวกต่อการใช้งานที่ไม่ซับซ้อนและทำให้พวกเขารู้สึกดีในการใช้ผลิตภัณฑ์ นอกจากนี้ Apple ยังใช้การตลาดเชิงอารมณ์ในโฆษณาเพื่อสร้างความผูกพันกับลูกค้า
ถ้าคุณได้อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว เชื่อว่า ต่อให้คุณจะยังไม่อินกับมันแบบร้อยเปอร์เซนต์แต่อย่างน้อย ก็น่าจะมีสักชั่วแวบ ที่คุณอยากที่จะลองข้องเกี่ยวกับมันดูสักครั้งใช่มั้ยล่ะคะ
โฆษณา