22 ต.ค. เวลา 13:39 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี

Why it's time to change your relationship with alcohol (and how to do it)

เหตุใดจึงถึงเวลาเปลี่ยนความสัมพันธ์ของคุณกับแอลกอฮอล์ และทำอย่างไร
พวกเราหลายคนคิดว่า 'ฉันควรจะดื่มให้น้อยลง' แต่จริงๆ แล้ว การดื่มเหล้าส่งผลอะไรต่อร่างกายของเรา การงดดื่มเหล้านั้นคุ้มค่าอย่างที่คนพูดกันไหม และอะไรคือวิธีที่ดีที่สุดในการเปลี่ยนแปลง ถ้าเราไม่ยุติความสัมพันธ์ของเรากับแอลกอฮอล์
เบียร์ไหม เป็นคำพูดที่เป็นพื้นฐานของวัฒนธรรมอังกฤษพอๆ กับการดื่มชา การบ่นเกี่ยวกับสภาพอากาศและ อิสระเสรี สำคัญเหนืออื่นใด คำถามเรื่องการดื่มนี้สำคัญยิ่ง มักจะเกิดบ่อยในเวลา 5 โมงเย็นของวันศุกร์ ซึ่งทำให้ชาวอังกฤษหลายล้านคน ที่กำลังเดินทางกลับบ้านในตอนเย็นวันศุกร์ จำเป็นต้องเปลี่ยนเส้นทาง โดยต่างพากันมุ่งหน้าอย่างรีบเร่ง ไปที่บาร์ที่อยู่ใกล้ที่สุด
แน่นอนว่า การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ไม่ใช่แค่งานอดิเรกของคนอังกฤษเท่านั้น มันเป็นนิสัยที่ย้อนกลับไปสู่อดีตตั้งแต่ยุคหินใหม่ของเรา โดยพบหลักฐานที่เก่าแก่ที่สุดของการดื่มเหล้า เกิดขึ้นตั้งแต่ 7,000 ปีก่อนคริสตศักราช ในประเทศจีน โดยนักวิชาการพบว่า สารตกค้างบนขวดเครื่องปั้นดินเผา ที่เก็บมาจากหมู่บ้านโบราณ เจียหู Jiahu ในมณฑลเหอหนานนั้น เป็นเครื่องดื่มที่ทำจากข้าวหมัก น้ำผึ้งและผลไม้
มีภาพวาดของผู้คน ที่กำลังดื่มจากเขาสัตว์และภาชนะที่คล้ายกัน จากศิลปะภาพวาดในถ้ำ ซึ่งมีอายุเก่าแก่กว่านั้น โดยนักวิชาการบางคนให้เหตุผลว่า ภาพเหล่านี้ได้ชี้ให้เห็นว่า พฤติกรรมการดื่มของเรา อาจเกิดขึ้นก่อนยุคของการทำเกษตรกรรมของมนษย์ยุคโบราณ
ความสัมพันธ์ของมนุษย์เรากับการดื่มเหล้า อาจจะยังเก่ากว่านี้อีก ในภูมิภาคบอสซู ประเทศกินี ทวีปแอฟริกา นักวิจัยได้สังเกตเห็นลิงชิมแปนซี กินน้ำยางจากต้นปาล์ม ที่หมักตามธรรมชาติ โดยชิมแปนซีสร้าง 'ฟองน้ำ' จากใบไม้ที่เคี้ยวแล้ว เพื่อใช้ดูดซับน้ำยาง ซึ่งเมื่อนักวิจัยตรวจดู พบว่าน้ำยางนี้ มีปริมาณของแอลกอฮอล์อยู่ประมาณร้อยละ 3
ไม่ว่าลิงชิมแปนซีจะอยู่ที่นั่น เพื่อจะดื่มน้ำตาล หรือเพื่อจะดื่มแอลกอฮอล์เพื่อผลในเปลี่ยนแปลงจิตใจหรือเปลี่ยนแปลงนิสัยของตัวเขาเองก็ตาม ยังเป็นเรื่องที่ถกเถียงกันอยู่ แต่มันก็ชี้ให้เห็นว่า มนุษย์เรา อาจเคยดื่มแอลกอฮอล์ มาเป็นเวลาส่วนใหญ่ในอดีต
หลักฐานทั้งหมดนี้ เพื่อแสดงให้เห็นว่า วัฒนธรรมของมนุษย์และแอลกอฮอล์ มีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งและพันธนาการกันไว้แน่นหนา แต่ความสัมพันธ์นี้ อาจจะกำลังเปลี่ยนไป
ดูเหมือนว่าผู้คนรุ่นใหม่ รุ่นเจ็น ซี Gen Z ซึ่งก็คือผู้คนที่เกิดระหว่างกลางทศวรรษ 1990 ถึงต้นปี 2010 และคนรุ่นมิลเลนเนียล ซึ่งคือผู้ที่เกิดในช่วงต้นทศวรรษ 1980 ถึงกลางทศวรรษ 1990 ผู้คนรุ่นใหม่ดังที่ได้กล่าวมานี้ ต่างมีแนวความคิดว่า การใช้ชีวิตอย่างมีความสุข และสนุกสนานนั้น ไม่จำเป็นต้องมีแอลกอฮอล์เข้ามาเกี่ยวข้อง ไม่ว่าคุณจะมองจากที่ใด สถิติก็แสดงให้เห็นภาพที่ชัดเจนว่า ปัจจุบันผู้ที่มีอายุ 16-34 ปี ดื่มน้อยกว่าคนรุ่นก่อนมาก
ประโยชน์ของการหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์นั้นชัดเจน เช่น เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย สมอง และกระเป๋าสตางค์ และการทำเช่นนี้ เกือบจะทำให้ชีวิตคุณดีขึ้นอย่างแน่นอน แต่ถ้าคุณไม่ต้องการหันหลังให้กับการดื่มเหล้าโดยสิ้นเชิง อะไรคือสิ่งสำคัญในการบริโภคให้น้อยลง คุณจะปรับความสัมพันธ์ของคุณกับแอลกอฮอล์ใหม่ได้อย่างไร ในเมื่อมันฝังแน่นอยู่ในวัฒนธรรมของเรา
ก่อนที่คุณจะสามารถทำอะไร เพื่อเปลี่ยนความสัมพันธ์ของคุณกับแอลกอฮอล์ คุณต้องเข้าใจว่าแอลกอฮอล์ทำอะไรกับเราก่อน
ผลกระทบต่อสมอง
ซาฟาร์ Rayyan Zafar นักประสาทวิทยาเภสัช จากวิทยาลัยอิมพีเรียลลอนดอน และสมาชิกของคณะกรรมการที่ปรึกษาเกี่ยวกับยาในประเทศสหราชอาณาจักร กล่าวว่า “แอลกอฮอล์เป็นยาที่มีผลต่อสมองที่หลากหลายตำแหน่ง” มีความหลากหลายในแง่ที่ว่า แอลกอฮอล์ส่งผลต่อตัวรับหลายตัวในสมองของเรา สารตัวที่เด่นๆ ที่ไปมีผลต่อสมองของเราได้แก่ กรดแกมมา-อะมิโนบิวทีริก ซึ่งมีชื่อย่อว่า กาบา GABA โดปามีน และเซโรโทนิน
กาบา GABA เป็นสารสื่อประสาทชนิดยับยั้ง สารสื่อประสาทเหล่านี้ จะยับยั้งการทำงานของเซลล์ประสาทสมอง โดยช่วยให้การทำงานของสมองสงบลง ลดความเครียด และลดความวิตกกังวล หากคุณเคยไปผับในตอนท้ายของวันที่วุ่นวาย และรู้สึกว่า ความกังวลหายไปพร้อมกับไวน์หรือเบียร์ แสดงว่าคุณสัมผัสได้ถึงพลังของ กาบา
ซาฟาร์ กล่าวว่า “การกระตุ้นโดย กาบา ในทันทีนั้น เป็นกลไกสำคัญของการดื่มแอลกอฮอล์” การหยุดดื่มแอลกอฮอล์โดยกระทันหัน อาจส่งผลทำให้มีอาการวิตกกังวลอย่างรุนแรง กระวนกระวาย ซึ่งเรียกว่า เกิดอาการถอนยา และยาเบนโซไดอะซีพีน ซึ่งเป็นยาแก้ซึมเศร้า ลดความวิตกกังวล ที่ทำให้ผ่อนคลายระบบประสาท บางครั้งเรียกว่า กาบาเออร์จิก GABAergic เนื่องจากมียาตัวนี้ มีบทบาทในการปรับเปลี่ยนผลของ กาบา ในสมองหรือในร่างกายของเรา
ในขณะที่มันกระตุ้นกาบา แอลกอฮอล์ยังได้ไปยับยั้ง กลูตาเมต ซึ่งกลูตาเมตเป็นสารที่กระตุ้นสื่อประสาท ซึ่งหมายความว่า คุณจะได้รับการผ่อนคลายเป็นสองเท่า และผลของ กาบา จะเป็นสิ่งที่คุณรู้สึกเป็นหลัก หลังจากดื่มแก้วแรก หรือแก้วที่สอง
สารตัวต่อมาคือ โดปามีน ซึ่งเป็นฮอร์โมน และเป็นสารสื่อประสาท ซึ่งโดปามีน จะหลั่งออกมาจากการที่เราทำสิ่งที่น่าพึงพอใจ เช่น กินอาหารอร่อย มีเซ็กส์ หรือฟังเพลงที่ชื่นชอบ โดยทั่วไปจะเกี่ยวข้องกับโคเคนและสมาร์ทโฟน และโดปามีน ให้ผลดีต่อสมองของคุณมาก และยังมีประโยชน์อื่นๆ อีกมากมาย
การวิจัยพบว่า ระบบโดปามิเนอร์จิคของสมอง ซึ่งจะมีหน้าที่เพิ่มกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับสารโดปามีน ในสมองที่ติดแอลกอฮอล์ ระบบโดปามิเนอร์จิค พบว่าได้มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก ยิ่งคุณปล่อยโดปามีนออกมามากเท่าไร แรงจูงใจของคุณที่จะดื่มแอลกอฮอล์ ก็จะยิ่งมีเพิ่มมากขึ้น เช่น ถ้าไม่มีไวน์แก้วที่สี่มา ความสามารถในการตัดสินใจที่ดี อาจลดลงไปได้อีก เพราะมีการไปทำลายผลของกาบา ที่กาบาได้ไปมีผลต่อเยื่อหุ้มสมองส่วนหน้า ซึ่งเป็นสมองส่วนที่ใช้เหตุใช้ผลในการวางแผน ตัดสินใจ และการเรียนรู้ของคุณ
สารตัวต่อมาคือ เซโรโทนิน ซึ่งเรียกขานกันว่า 'ฮอร์โมนแห่งความรัก' ซึ่งช่วยกระตุ้นความรู้สึกสุขภาวะที่ดี และมีความสุข สารที่กล่าวมาทั้ง กาบา โดปามีน และเซโรโทนิน นี้ให้ผลที่ดีทั้งหมด แต่เอ๊ะ มีอะไรซ่อนเร้นไม่ชอบมาพากลหรือเปล่า
ความเสียหายที่เป็นพิษ
สำหรับแอลกอฮอล์ซึ่งมีจำหน่ายอย่างเสรี และจำหน่ายตามวัฒนธรรม เราทุกคนย่อมรู้ว่า แอลกอฮอล์มีผลเสียร้ายแรง ซึ่งเป็นที่ทราบกันดี เพราะเป็นสาเหตุของการฆ่าตัวตาย อาชญากรรมรุนแรง ความรุนแรงในครอบครัว และอุบัติเหตุบนท้องถนนทั่วโลก
ในปี 2022 องค์การอนามัยโลก รายงานว่า ร้อยละ 5.1 ของโรคและการบาดเจ็บทั่วโลก เกิดมาจากการดื่มเหล้า เฉพาะในประเทศสหราชอาณาจักรเพียงประเทศเดียว ในปี 2021 พบว่ามีโรคที่เกี่ยวข้องกับแอลกอฮอล์ ทำให้มีผู้เสียชีวิตถึง 9,641 ราย
ซาฟาร์ กล่าวว่า โรคตับ อาจเป็นโรคที่พบบ่อยที่สุด สำหรับผู้ดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป “ตับเป็นที่ที่ร่างกายของเราเผาผลาญสารพิษ” ซาฟาร์ กล่าว “เซลล์ของตับ ทำหน้าที่เปลี่ยนสารเอทานอลหรือแอลกอฮอล์ ให้เป็นสารอะซีตัลดีไฮด์ จากนั้นจะถูกขับออกจากร่างกาย มันเป็นการสะสมของพิษ ที่สามารถนำไปสู่ไขมันสะสมในตับได้”
ซาฟาร์ กล่าวว่า การดื่มเพียงสามวันติดต่อกันจะช่วยเพิ่มระดับไขมันในตับของคุณได้ เขาเสริมว่า โรคไขมันพอกตับที่เกิดเนื่องจากแอลกอฮอล์ เกิดขึ้นถึงร้อยละ 90 ของผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์มากกว่า 40 กรัม หรือสี่หน่วยแอลกอฮอล์ หรือประมาณเบียร์หรือไซเดอร์สองไพน์หรือประมาณ 1000 มิลลิลิตร หรือดื่มไวน์สองแก้วต่อวัน
แอลกอฮอล์ยังเป็นสาเหตุสำคัญของความดันโลหิตสูง ซึ่งอาจนำไปสู่โรคหัวใจวาย โรคหลอดเลือดสมอง และโรคมะเร็งหลายชนิด ซาฟาร์ ตั้งข้อสังเกตว่า ผู้หญิงที่ดื่มวันละแก้ว จะเพิ่มโอกาสในการเป็นโรคมะเร็งเต้านมประมาณร้อยละ 5 ถึงร้อยละ 9
นอกจากนี้ การดื่มยังลดภาวะเจริญพันธุ์ของทั้งสองเพศ ผลการวิจัยในผู้หญิงเกือบ 100,000 ราย ตีพิมพ์ในวารสาร เนเชอร์ Nature พบว่า การดื่มระดับน้อยๆ ลดอัตราการเจริญพันธุ์ลงได้ 11 เปอร์เซ็นต์ การดื่มในระดับปานกลางจนถึงการดื่มในระดับหนัก จะช่วยลด 'ความสามารถในการสืบพันธุ์' ซึ่งเป็นความน่าจะเป็นที่จะปฏิสนธิภายในหนึ่งเดือน/มีประจำเดือน ลดลงถึงร้อยละ 23
นอกจากนี้ แอลกอฮอล์จะรบกวนการนอนหลับของคุณ โดยส่วนใหญ่จะเป็นการรบกวนรอบวงจรการนอนหลับ ซึ่งมีสี่รอบวงจร การดื่มเหล้าที่ขัดขวางการนอนหลับมากที่สุดคือ จะขัดขวางวงจรการนอนหลับในช่วงหลับฝันที่มีการเคลื่อนไหวของดวงตาอย่างรวดเร็ว หรือที่เรียกว่า REM เมื่อคุณฝัน ความทรงจำของคุณจะถูกรวมเข้าด้วยกัน และอารมณ์ของคุณ เช่น ความวิตกกังวล จะถูกประมวลผล
จากข้อมูลของมูลนิธิการนอนหลับ พบว่า “เนื่องจากแอลกอฮอล์เป็นยาระงับประสาท สำหรับนักดื่ม การนอนหลับจึงมักจะสั้นกว่า และบางคนก็เข้าสู่การนอนหลับลึกค่อนข้างเร็ว เมื่อกลางคืนดำเนินไป การนอนเช่นนี้ สามารถสร้างความไม่สมดุลระหว่างการนอนหลับแบบคลื่นช้า กับการนอนหลับแบบ REM ส่งผลให้การนอนหลับแบบ REM น้อยลง และการนอนหลับแบบคลื่นช้าเพิ่มมากขึ้น ความไม่สมดุลเช่นนี้ ทำให้คุณภาพการนอนหลับโดยรวมลดลง ซึ่งอาจส่งผลให้ระยะเวลาการนอนหลับสั้นลง และรบกวนการนอนหลับมากขึ้น”
การนอนหลับแบบ REM ที่ลดลง อาจหมายถึง ความวิตกกังวลเหล่านั้น ยังคงไม่ได้รับการประมวลผล และส่งผลเสียต่อสุขภาพจิต เช่นเดียวกับผลขับปัสสาวะจากการดื่มเหล้า
ณัฐ David Nutt ศาสตราจารย์ นักประสาทเภสัชวิทยา ผู้ประพันธ์หนังสือชื่อว่า ดื่ม Drink ในหนังสือนี้เขียนว่า “แอลกอฮอล์ ทำให้ร่างกายของคุณขาดน้ำ ให้สังเกตดูที่ผิวของคุณ ซึ่งจะเห็นได้ชัด ในความเป็นจริง หนึ่งหน่วยแอลกอฮอล์คือ 8 กรัม ทำให้คุณปัสสาวะได้ประมาณ 80 มิลลิลิตร
ดังนั้น หากคุณดื่มไวน์ที่มีแอลกอฮอล์อยู่ร้อยละ 13.5 หนึ่งแก้ว ปริมาตร 175 มิลลิลิตร จะทำให้คุณจะปัสสาวะออกมาเพิ่มขึ้นเกือบ 200 มิลลิลิตร ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไม จึงเป็นความคิดที่ดี ที่จะดื่มน้ำเปล่าก่อนดื่มแอลกอฮอล์ ดื่มน้ำหนึ่งแก้วกับไวน์ทุกแก้ว และควรต้องดื่มน้ำหนึ่งไพน์หรือ 500 มิลลิลิตร ก่อนนอนด้วยเสมอ”
ข้อมูลข้างต้น เป็นเพียงภาพรวมว่า ทำไมคุณถึงอยากพิจารณาเปลี่ยนความสัมพันธ์กับการดื่มเหล้า คำถามคือ คุณจะทำอย่างไร
ไม่มีอะไรปกติ
เบเกอร์ Sally Baker นักจิตบำบัด ผู้เชี่ยวชาญด้านโรควิตกกังวล และพฤติกรรมย้ำคิดย้ำทำ ประจำที่กรุงลอนดอน ได้แนะนำการดื่ม ให้กับผู้คนมากมายที่ติดแอลกอฮอล์
“คนที่มารับคำปรึกษาเหล่านี้ แทบไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องแอลกอฮอล์เลย” เบเกอร์ กล่าว “พวกเขาจะบอกว่า พวกเขาวิตกกังวล หรือหวาดระแวงมากเกินไป จากนั้นฉันก็ถามไปว่า ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขากับแอลกอฮอล์เป็นอย่างไรบ้าง พวกเขาจะบอกว่ามันเป็นเรื่องปกติ
ฉันก็ถามว่า พวกเขาเมาจนหมดสติครั้งสุดท้ายเมื่อใด และได้รับคำตอบ เช่นว่า 'โอ้ ฉันไม่ได้เมาจนหมดสติเป็นเวลาอย่างน้อยหนึ่งสัปดาห์' เราได้บริโภคแอลกอฮอล์จนเป็นเรื่องปกติแล้ว แต่ไม่มีอะไรที่จะไปปกติเลยกับการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป มันเป็นพิษแค่ไหน และแอลกอฮอล์ทำอะไรกับเรา”
เบเกอร์ กล่าวว่า “จอกศักดิ์สิทธิ์ของการดื่มคือ การดื่มในระดับปานกลาง” แต่เธอประสบความสำเร็จเพียงเล็กน้อยในการลดผู้ดื่มระดับหนัก ให้มาเป็นผู้ดื่มระดับปานกลาง โดยไม่ต้องเว้นช่วงระยะเวลาเลิกดื่ม โดยลดระดับของผู้ดื่มหนัก ให้ลงมาเป็นผู้ดื่มระดับปานกลางได้ ภายในช่วงระยะเวลาสามเดือน แต่ตามการประเมิน การลดระดับอย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาสามสัปดาห์
โดนาฮีย์ Anna Donaghey ผู้ฝึกสอนการเลิกเหล้า เพิ่งเริ่มทำพอดแคสต์ ชื่อว่า นักดื่มคิดใหม่ The Big Drink Rethink เพื่อสำรวจวัฒนธรรมที่เพิ่งเกิดใหม่ของกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่รักสุขภาพ ที่มีความสนุกสนานหรือคูลได้ โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งแอลกอฮอล์ โดนาฮีย์ ซึ่งอดีตเคยติดเหล้า ระวังที่จะไม่พูดถึงการเลิกเหล้า เธอบอกว่า เธอมุ่งเป้าพอดแคสต์ของเธอ “ไปที่คนที่อาจไม่นับตัวเองว่าเป็นนักดื่มที่มีปัญหา แต่ว่ารู้สึกอึดอัดเล็กน้อยกับการดื่ม”
พอดแคสต์ นักดื่มคิดใหม่ ของเธอนั้น ได้กลุ่มสังคมที่กว้างและหลากหลายมากขึ้น ที่อยากจะเลิกแอลกอฮอล์ โดยไม่ใช่เฉพาะคนในกลุ่ม Gen Z ซึ่งในทางสถิติ คนเจ็นนี้ไม่ได้ดื่มมากนัก แต่ว่ากำลังมีกลุ่มเคตามีน ที่ปัจจุบันยาตัวนี้เข้าถึงกลุ่มคนได้มากขึ้น ซึ่งเคตามีนก็จะเหมือนกับแอลกอฮอล์ตรงที่จะ กล่อมประสาท ลดความวิตกกังวล ต้านอาการเศร้าซึม
คลับโซดา Club Soda ได้รับความนิยมอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นชุมชนที่ไม่มีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ งานเทศกาล และร้านค้า และจากจำนวนผู้คนเพิ่มขึ้นอย่างไม่สิ้นสุดของเทศกาล "งดแอลกอฮอล์ในเดือนมกราคมทั้งเดือน" ดังเห็นได้จากพลเมืองของประเทศสหราชอาณาจักร จำนวนเกือบ 9 ล้านคน ที่เข้าร่วมเทศกาลในปีนี้
อย่างไรก็ตาม การลดปริมาณแอลกอฮอล์เป็นเรื่องยาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสังคมที่การดื่มเหล้า ได้ฝังรากลึกอยู่ในวัฒนธรรมและการเมือง
โดนาฮีย์ กล่าวว่า “ฉันคิดว่า แอลกอฮอล์ทำให้เกิดความขัดแย้งอย่างแท้จริงในใจผู้คน” “พวกเขาไม่ต้องการดื่ม บางทีพวกเขาอาจจะรู้เรื่องนี้มาก และรู้ดีว่าแอลกอฮอล์ส่งผลต่อสุขภาพจิตอย่างไร แต่เรามีแรงผลักดันอย่างมาก ในการรู้สึกเชื่อมโยงกับผู้คน และถ้าเพื่อนของเราดื่มกันหมด ก็ย่อมมีแรงกดดันจากคนรอบข้าง ความต้องการที่จะปรับตัวให้เข้ากับความต้องการนั้นมีมาก”
โดนาฮีย์ มีเคล็ดลับที่ดีจริงๆ ไม่ว่าปกติคุณจะดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในช่วงเวลาใดของวันก็ตาม ให้ดื่มน้ำตามสองไพน์หรือประมาณ 1 ลิตร เพื่อดับความกระหายของคุณ
ชิลีส์ Adrian Chiles ผู้จัดรายการทีวีและวิทยุ ได้สบถต่อแอป ดื่มให้น้อยลง Drink Less ซึ่งแอปนี้ จะนับจำนวนหน่วยของแอลกอฮอล์ที่เราได้บริโภคเข้าไป และแอปนี้ จะคอยสอดส่องและระแวดระวังการดื่มแอลกอฮอล์ของเราอย่างต่อเนื่อง แต่ยังดีที่แอปนี้ยังช่วยให้เกิดความยืดหยุ่นแก่ผู้ดื่ม ในการดื่มเป็นครั้งคราวได้อีกด้วย
โซนอันตราย
ชิลีส์ ต้องเจอกับการดื่มในระดับปานกลาง โดยในปี 2021 เขาแสดงในสารคดีเรื่อง นักดื่มอย่างผม Drinkers Like Me และตามมาด้วยปี 2022 ด้วยการประพันธ์หนังสือชื่อ นักดื่มที่ดี The Good Drinker หนังสือเล่มนี้ เล่าถึงประสบการณ์การดื่มระดับปริมาณที่มากในช่วง 40 ปีที่ผ่านมา ระดับที่เขาดื่มมีปริมาณที่สูงถึง 80-100 หน่วยแอลกอฮอล์ต่อสัปดาห์ รวมถึงความพยายามของเขา ที่จะลดระดับของการดื่ม เพื่อให้ตัวเขาอยู่ในระดับที่ปลอดภัยมากขึ้น
ในเนื้อหาของหนังสือเขาเขียนว่า “การดื่มของฉันเป็นเรื่องธรรมดามาก” “แต่นี่คือประเด็น เรื่องราวการดื่มที่อันตรายที่สุดนั้น เป็นเรื่องธรรมดา เรื่องราวการดื่มมากมายเช่นการดื่มของผม เป็นสิ่งที่อันตรายที่สุดสำหรับพวกเขา เราถูกจับตามอง แต่สุขภาพส่วนใหญ่ที่เสียหายไปจากการดื่มหนัก ก็อยู่ในผู้ที่ดื่มหนักเช่นผม”
กระทรวงสาธารณสุขและการดูแลสังคม หรือชื่อย่อ DHSC ระบุว่า ขีดจำกัดการดื่มที่มีความเสี่ยงต่ำคือ 14 หน่วยต่อสัปดาห์ ซึ่งเทียบเท่ากับ ไวน์ขนาดกลางประมาณ 6 แก้ว หรือเบียร์เข้มข้น 5 ไพน์ หรือ 2 ลิตรครึ่ง ซึ่งมีแอลกอฮอล์ 5.2 เปอร์เซ็นต์โดยปริมาตร
เนื้อหาในหนังสือที่เขาประพันธ์ ชื่อว่า ดื่ม? ศาสตราจารย์ณัฐ เล่าว่า กระทรวงสาธารณสุขและการดูแลสังคม แบ่งผู้คนออกเป็นห้าประเภท ได้แก่ 1. ผู้ไม่ดื่มสุรา; 2. ระดับที่มีความเสี่ยงต่ำ 14 หน่วยแอลกอฮอล์หรือน้อยกว่า; 3. ระดับเริ่มอันตราย 14-35 หน่วยแอลกอฮอล์ สำหรับผู้หญิง, 14-50 หน่วยแอลกอฮอล์ สำหรับผู้ชาย; 4. ระดับเป็นอันตราย หน่วยอยู่เหนือตัวเลขเหล่านี้; 5. ผู้ที่ติดแอลกอฮอล์ ดื่มไม่มีขีดจำกัด
ณัฐ ยังเน้นย้ำแนวคิดเรื่อง 'ไมโครไลฟ์' ซึ่งสร้างและพัฒนาขึ้นมาโดย สปีเกลฮอลเตอร์ David Spiegelhalter ศาสตราจารย์ นักสถิติ ซึ่งแนวคิดเรื่องไมโครไลฟ์นี้ จะแบ่งซอยชีวิตของเราออกเป็นช่วงย่อยๆ ช่วงละ 30 นาที ดังที่จะอธิบายนี้
ณัฐ ชี้ว่า การดื่มแอลกอฮอล์ขนาด 7 หน่วยแอลกอฮอล์ อาจลดอายุชายวัย 30 ปี ลงได้ 30 นาที พวกเราหลายคนอาจมองว่า นี่สมเหตุสมผล แต่จะเกิดอะไรขึ้น เมื่อการดื่มเช่นนี้คงอยู่นานหลายวัน หลายปี หรือกระทั่งเป็นทศวรรษ แล้วถ้า 7 หน่วยนั้น มีการพัฒนาการดื่มโดยเพิ่มเป็น 17 หน่วย หรือเพิ่มเป็น 70 หน่วยต่อสัปดาห์ล่ะ
ณัฐ ประเมินว่า การดื่มระดับ 14 หน่วยแอลกอฮอล์ต่อสัปดาห์ เป็นเวลา 40 ปี จะลดอายุขัยลง 0.4 ปี และสำหรับ การดื่ม 21 หน่วยแอลกอฮอล์ ลดอายุขัยลง 0.8 ปี
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าทึ่งคือ เริ่มจากความการดื่มระดับนี้ขึ้นไป จะเห็นได้ชัดว่า ลดอายุขัยลงได้อย่างชัดเจน ยกตัวอย่างเช่น การดื่มระดับ 35 หน่วยแอลกอฮอล์ ซึ่งเทียบเท่ากับการดื่มไวน์ครึ่งขวดทุกวัน หรือดื่มเบียร์เข้มข้นประมาณ 12 แก้วต่อสัปดาห์ การดื่มระดับนี้ จะช่วยลดอายุขัยลงได้สองปี สำหรับการดื่มระดับ 70 หน่วยแอลกอฮอล์ ซึ่งเทียบเท่ากับไวน์หนึ่งขวดต่อวัน หรือประมาณเบียร์ 23 แก้วต่อสัปดาห์ จะช่วยลดอายุขัยลงไปได้กว่าสามปี จนถึงเจ็ดปี
การดื่มขนาด 140 หน่วยแอลกอฮอล์ต่อสัปดาห์ คุณจะลดอายุขัยตัวเองลงไปกว่า 21 ปี
ถ้ามีปัจจัยอื่นๆ มาเกี่ยวข้องเพิ่มเติม เช่น สูบบุหรี่ มีน้ำหนักเกิน และ/หรือ เสพสารอันตรายอื่นๆ ที่อาจเกี่ยวข้องกับแอลกอฮอล์ เช่น โคเคน จะมีผลในการจำกัดอายุขัยให้สั้นลงเพิ่มเติมเข้าไปอีกในตัวมันเอง
คำจำกัดความของการดื่มในระดับปานกลางนั้น อยู่ในสายตาของผู้ดูจริงๆ ชิลีส์ ได้ลดการบริโภคแอลกอฮอล์ของเขาลงจนเหลือประมาณ 25 หน่วยแอลกอฮอล์ต่อสัปดาห์เท่านั้น ซึ่งก็ยังสูงกว่าระดับความเสี่ยงต่ำ โดยเขาสามารถลดปริมาณการดื่มลงได้ถึงหนึ่งในสี่ ทั้งที่แต่ก่อนเขาเคยบริโภคสูงถึง 100 หน่วยแอลกอฮอล์ต่อสัปดาห์เป็นประจำ “ผมเชื่อว่าผมได้รับสิทธิ์ ที่จะเรียกตัวเองว่าเป็นนักดื่มที่ดี” ชิลีส์ เขียนไว้ ที่ส่วนท้ายของหนังสือ
ไม่มีระดับการดื่มใดที่จะปลอดภัย
สำหรับผู้คนที่จัดอยู่ในประเภท 'นักดื่มระดับอันตราย' ของ กระทรวงสาธารณสุขและการดูแลสังคม บางทีนักดื่มระดับอันตรายกลุ่มนี้ ถ้าจะมุ่งเป้าไปโดยลดการดื่มลงไป ให้อยู่ในประเภทที่มีการดื่มที่ต่ำกว่า เช่น การดื่มที่ 35 หน่วยแอลกอฮอล์ต่อสัปดาห์และต่ำกว่านั้น ก็เป็นเป้าหมายที่สามารถจะบรรลุผลได้ เพื่อเป็นการลดความเสียหายต่อร่างกาย
แต่ ซาฟาร์ เตือนว่าสุภาษิตโบราณที่บอกว่า ไวน์แดงว่าดีสำหรับร่างกายคุณ อยากจะบอกว่า เป็นสิ่งที่ไร้สาระสิ้นดี เพราะว่า “ผลจากการวิจัย แสดงให้เห็นว่า หากคุณอายุ 65 ปี การดื่มไวน์แดงประมาณครึ่งแก้วต่อวัน อาจเป็นประโยชน์เพียงเล็กน้อย ต่อการทำงานของระบบหัวใจและหลอดเลือด แต่ไม่มีระดับใดของแอลกอฮอล์ที่จะปลอดภัยต่อร่างกาย ที่จะไม่เพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็ง เพราะแอลกอฮอล์นั้น เป็นสารก่อมะเร็งในตัวของมันเองอยู่แล้ว และจะไม่ผ่านการทดสอบประเภทใด ๆ ว่าปลอดภัยต่อร่างกายของเรา”
ซาฟาร์ กล่าวว่า เพื่อลดอันตรายจากแอลกอฮอล์ บุคคลต้องแน่ใจว่า ตนไม่ดื่มอย่างน้อยสองวันติดต่อกันต่อสัปดาห์ และมีจำนวนวันไม่ดื่มมากกว่าวันดื่มในแต่ละสัปดาห์ “การปฏิบัติตัวเช่นนี้ จะช่วยให้ตับของคุณ มีอัตราการเผาผลาญตามปกติ และทำให้ระบบประสาทเคมีในสมองของคุณ มีความเสถียร” ซาฟาร์ กล่าว
เบเกอร์ คิดว่า เบียร์ เพลเอล ซึ่งเป็นเบียร์ที่มีแอลกอฮอล์อยู่น้อยเพียง 0.5 เปอร์เซ็นต์ จะเป็นตัวเลือกที่ดี ซึ่งองค์กรกลุ่มผู้ติดสุรานิรนาม ที่มีชื่อย่อว่า AA องค์กรนี้เน้นให้คนมีพลังเพื่อเลิกการดื่ม ได้แนะนำให้ผู้ดื่มหนัก หันมาดื่มเบียร์ เพลเอลแทน ซึ่งอาจใช้ได้ผล
ในตอนหลัง เธอกล่าวว่า “ฉันคิดว่าผู้คนควรลองดู แต่มันก็ไม่ได้เหมาะกับทุกคน การยอมรับว่า ตัวเองขาดพลัง เมื่อถึงคราวที่จะต้องเผชิญหน้ากับแอลกอฮอล์ ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ใหญ่มากสำหรับบางคน และพวกเขาจะไม่เข้าใกล้แอลกอฮอล์ แต่ฉันมีผู้มารับคำปรึกษาหลายรายที่เป็นสายใยชีวิตที่สมบูรณ์” เบเกอร์ กล่าวเสริม
เคล็ดลับที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือยอมรับการเปลี่ยนแปลง
“แอลกอฮอล์คือการเปลี่ยนแปลงสถานะ และพวกเราส่วนใหญ่ต้องหาทางค้นหาสิ่งนั้นในที่อื่น ไปเต้นรำ ไปวิ่ง ทำให้โดปามีนได้ทำงานเต็มที่” เบเกอร์ กล่าว “เมื่อคุณดื่มกับผู้คน มันยากที่จะบอกได้ว่า ความเพลิดเพลินของคุณมีจริงหรือไม่ ลองเลิกดื่มเหล้า แล้วคุณจะได้ใช้เวลาอันมีค่าของคุณ ไปกับคนที่คุณใส่ใจจริงๆ นอกจากนี้ เมื่อคุณเลิกดื่มเหล้า คุณจะมีความชัดเจนและความน่าเชื่อถือเกี่ยวกับทุกสิ่งที่คุณพูดออกไป ชัดเจนกว่าที่คุณพูด ในค่ำคืนที่คุณกำลังเมา สิ่งนี้ซึ่งถือว่าเป็นของขวัญสำหรับผู้ที่กังวลเรื่องสังคม”
เบเกอร์ กล่าวว่า ผับอาจเป็นสถานที่ที่ยุ่งยากในการเจรจา อย่างน้อยก็ตั้งแต่เริ่มต้น “คนที่สร่างเมาแล้ว และผู้ที่กำลังดื่มอยู่ มักมีข้อขัดแย้งกันเล็กน้อย เพราะพวกเขาอยู่ในวิถีทางที่แตกต่างกัน”
อย่างไรก็ตาม โชคของคุณอาจมา เมื่อคุณผ่อนคลายไปสู่ความเป็นจริงใหม่ที่มีแอลกอฮอล์ต่ำ หรือว่า ไม่มีแอลกอฮอล์เลย “โชคดีมาแน่นอน แต่ฉันคิดว่า มันอาจต้องใช้เวลา อาจจะประมาณหกถึงแปดเดือน แต่ว่าในช่วงนั้น ก่อนที่คุณจะสามารถผ่อนคลายร่างกายและจิตใจตัวเองในสภาพแวดล้อมนั้นได้ คุณก็ได้กลายเป็นคนตลก ขบขัน สนุกสนาน และสามารถทำสิ่งไร้สาระต่างๆ ได้ ซึ่งเป็นความสามารถใหม่ของคุณ โดยที่คุณอาจจะลืมไปแล้วว่า ตอนนี้คุณไม่มีแอลกอฮอล์อีกแล้ว และความพิเศษที่เพิ่มมาอีกก็คือ ความสุข เป็นความสุขอันบริสุทธิ์”
แม้ว่า คุณอาจจะไม่ได้ไปไกลขนาดนั้น แต่คุณสามารถจัดการส่วนต่างๆ ออกจากการบริโภคปกติของคุณได้อย่างยั่งยืน นั่นก็มีแนวโน้มที่จะส่งผลกระทบที่จับต้องได้ ต่อสุขภาพและความสุขของคุณเช่นกัน ไชโย
ผู้เขียน : David Hiller
แปลไทยโดย : Wichai Purisa (senior scientist)
โฆษณา