23 ต.ค. เวลา 02:20 • กีฬา

ประตูมหัศจรรย์แห่งอิเนียสต้า แชมป์โลกสเปน ปี 2010

ในชีวิตของอันเดรส อิเนียสต้า มีโมเมนต์มหัศจรรย์มากมาย แต่ถ้าเลือกได้เพียง 1 อย่าง ก็ไม่มีสิ่งไหน เหนือไปกว่าประตูชัยในนัดชิงฟุตบอลโลก 2010 ที่แอฟริกาใต้
นี่คือประตูอันยิ่งใหญ่ที่สุด ที่ทำให้สเปน มี "ดาว" อยู่บนโลโก้ทีมชาติ ในฐานะประเทศที่เคยได้แชมป์โลกมาแล้ว 1 ครั้ง
ก่อนฟุตบอลโลกปี 2010 จะเริ่มขึ้น อิเนียสต้า มีปัญหาอาการบาดเจ็บกล้ามเนื้อกับต้นสังกัดบาร์เซโลน่ามาตลอดหลายเดือน
และเป๊ป กวาร์ดิโอล่า ผู้จัดการทีมบาร์เซโลน่า ก็แจ้งกับทีมชาติสเปนว่า อิเนียสต้าไม่ได้พร้อม 100% อย่าเสี่ยงเอาไปบอลโลกเลยดีกว่า
เป๊ปกล่าวว่า "อาการบาดเจ็บของเขา อยู่ในจุดที่ อันตรายมาก มาก มาก มาก มาก ผมไม่คิดว่าเขาจะพร้อมไปเล่นฟุตบอลโลกได้"
แต่บิเซนเต้ เดล บอสเก้ เฮดโค้ชทีมชาติสเปนพร้อมจะเสี่ยง เขายืนยันว่า ยังไงก็ต้องมีอิเนียสต้าในทัวร์นาเมนต์นี้ เพราะมิดฟิลด์ตัวกลาง ที่คุมจังหวะใน Squad มีเยอะแล้ว ทั้งชาบี เอร์นันเดซ, ชาบี อลอนโซ่, เซร์คิโอ บุสเกตต์ หรือ เชส ฟาเบรกาส
1
แต่ตัวสไตล์ลากเลื้อย มีไม่กี่คนเท่านั้น เช่น เฆซุส นาบาส (เซบีย่า) หรือ ดาบิด ซิลบา (บาเลนเซีย) แต่นักเตะเหล่านั้นก็ยังอายุน้อย และไม่ได้อยู่กับทีมใหญ่มาก ดังนั้น อิเนียสต้า ที่มีประสบการณ์มากสุด และผ่านแรงกดดันกับบาร์เซโลน่ามานับไม่ถ้วน จำเป็นมากที่ต้องติดทีมมาด้วย
อิเนียสต้า เป็นนักเตะที่มีความพิเศษกว่าใคร โดยหลุยส์ ฟาน กัล โค้ชคนแรกที่ส่งอิเนียสต้าเล่นทีมชุดใหญ่ของบาร์เซโลน่าครั้งแรก อธิบายว่า ถ้าอิเนียสต้าเล่นมิดฟิลด์ตัวกลาง เขาก็จะบงการเกมได้, ถ้าเขาเล่นปีก ก็จะเลี้ยงกระชากผ่านคู่แข่งได้ ถ้าเขาเล่นเบอร์ 10 ก็จะแทงคิลเลอร์พาสได้
คืออิเนียสต้านั้นเก่งตั้งแต่เด็กแล้ว หนึ่งประโยคคลาสสิค ที่เป๊ป กวาร์ดิโอล่า เคยกล่าวเอาไว้ เกิดขึ้นตอนที่เขาเห็นอิเนียสต้าวัย 15 ปี เล่นอยู่ที่ลา มาเซีย เป๊ปบอกกับชาบี เอร์นันเดซว่า
"ชาบี นายจะขึ้นมาแทนที่ฉัน ในตำแหน่งมิดฟิลด์ของบาร์เซโลน่า ส่วนไอ้เด็กอิเนียสต้าคนนี้ เขาจะมาแทนพวกเราทั้งคู่เลย"
แต่พอยิ่งโตขึ้น ได้เล่นกับทีมบาร์ซ่าชุดใหญ่ เขายิ่งพัฒนาขึ้นไปเรื่อยๆ และในช่วงปี 2010 ตอนอายุ 26 ปี ก็อยู่จุดพีกที่สุดของอาชีพ คือพร้อมทั้งประสบการณ์ และความสามารถ
ดังนั้น เดล บอสเก้ จึงต้องการอิเนียสต้าอย่างมากในทีม แม้นักเตะอาจเสี่ยงเจ็บ ก็ยังอยากเอาติดทีมไปด้วย เพราะรู้ว่าอิเนียสต้า สามารถปรับตัวให้เข้ากับแผนของคู่แข่งได้ เขาสามารถทำได้ทุกอย่างในสนาม
เพื่อป้องกันอาการบาดเจ็บ ทำให้ในช่วงฟุตบอลโลก โปรแกรมของอิเนียสต้าจะพิถีพิถันกว่านักเตะคนอื่น บางวันต้องตื่นมาทำกายภาพบำบัดตั้งแต่ช่วงตี 4 ซึ่งอิเนียสต้าก็เต็มใจทำ เพราะเขาอยากไปเล่นฟุตบอลโลกจริงๆ ให้ทำอะไรก็ยอม
อิเนียสต้า ลงเป็นตัวจริงตั้งแต่นัดแรก ในรอบแบ่งกลุ่มที่สเปน แพ้ สวิส 1-0 แต่ได้รับบาดเจ็บระหว่างเกม จนไม่ได้ลงสนามในเกมนัดที่ 2 กับฮอนดูรัส
แต่นับจากนั้นมา อิเนียสต้า ลงเป็นตัวจริง ทุกนัด ทุกนาที และเหลือเชื่อ ที่ไม่เจออาการบาดเจ็บอะไรอีกเลยระหว่างทัวร์นาเมนต์
บิเซนเต้ เดล บอสเก้ ใช้งานเขาจนเสี้ยววินาทีสุดท้าย ในทุกๆ นัด คือจะถอดใครออกจากสนามก็ได้ แต่อิเนียสต้าต้องอยู่ เพราะเดล บอสเก้ รู้ดีว่า อิเนียสต้าจะเป็นคนชี้เป็นชี้ตายให้กับทีม
ทีมชาติสเปน ชนะคู่แข่งมาเรื่อยๆ จนถึงรอบรองชนะเลิศ ก็เอาชนะเยอรมันได้อีก ด้วยสกอร์ 1-0 จากลูกโหม่งประตูชัย ของ คาร์เลส ปูโยล เข้ารอบชิงไปเจอเนเธอร์แลนด์ในที่สุด
8 กรกฎาคม 2010 สามวันก่อนแข่งนัดชิงชนะเลิศ มีการแถลงข่าวก่อนเกม สเปนส่งสองผู้เล่นมาคุยกับสื่อมวลชน มีปูโยล กับ อิเนียสต้า
คำถามแรก ที่ถูกพูดขึ้นมาในห้องแถลงข่าว มาจากโลธาร์ มัทเธอุส อดีตกัปตันทีมชาติเยอรมัน ที่ผันตัวมาเป็นสื่อมวลชน เขาถามว่า "พวกคุณทำอะไรกับทีมเยอรมันของผมเนี่ยะ ประเทศเราเคยไปทำอะไรให้คุณเจ็บช้ำน้ำใจหรอ?"
เป็นคำถามที่ชวนอึ้งมาก เหมือนหาเรื่อง แต่จริงๆ แล้ว นั่นคือมุกตลกแบบเยอรมัน ซึ่งปูโยลรู้ทัน เขาตอบกลับไปว่า "ผมไม่ได้ทำอะไรเลย แค่โหม่งบอลไปทีสองที" นั่นทำให้มัทเธอุสพูดกลับมาว่า "ผมล้อเล่นนะ ผมแค่จะอวยพรให้พวกคุณโชคดีในนัดชิงชนะเลิศน่ะ"
อิเนียสต้า พูดเสริมขึ้นมาว่า "ฉันต้องขอบคุณนายนะ คาร์เลส สิ่งที่นายทำในเกมกับเยอรมัน คือประตูที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอลสเปน และทุกคนก็รู้ดี"
ปูโยล กล่าวขอบคุณอิเนียสต้า แล้วบอกว่า "หวังว่ามันจะสำคัญที่สุด แค่ก่อนถึงวันอาทิตย์ที่เราจะเจอกับเนเธอร์แลนด์เท่านั้นนะ"
ความหมายของปูโยลคือ มันคงจะดี ถ้าแฟนบอลลืมลูกยิงของเขาในรอบรองไปเลย แล้วไปจดจำประตูชัยที่จะเกิดขึ้นในเกมนัดชิงแทน
จากนั้นอิเนียสต้าก็พูดว่า "ไม่ต้องห่วงนะ คาร์เลส ผมจะจัดการเรื่องนี้เอง ไม่ต้องกังวลหรอก" เป็นการบอกนัยๆ ว่า เดี๋ยวเขายิงในนัดชิงให้เอง
ในห้องแถลงข่าววันนั้น เหมือนอิเนียสต้าจะพูดเล่นๆ ไม่มีใครคาดคิดว่า คนยิงประตูตัดสินเกมในนัดชิงจะเป็นเขา ตามที่พูดเอาไว้เป๊ะเลย
11 กรกฎาคม 2010 เกมนัดชิงที่สนามซอคเกอร์ ซิตี้ กำลังจะเริ่มขึ้น เดล บอสเก้ วางไลน์อัพ 11 ตัวจริง ใช้งาน ชาลี อลอนโซ่, ชาบี เอร์นันเดซ และ เซร์คิโอ บุสเกตต์ ยืนเรียงกันในแผงกองกลาง เพื่อแพ็กมิดฟิลด์ให้แน่นที่สุด ส่วนอิเนียสต้าเป็นตัวฟรี คอยสร้างสรรค์โอกาส ร่วมกับดาบิด บีญ่า และ เปโดร
1
ทีมชาติสเปน จะมีสตาฟฟ์คนหนึ่ง ที่ทำงานสารพัดประโยชน์ คือ ฮิวโก้ คามาเรโร่ โดยฮิวโก้เล่าให้ฟังว่า ก่อนเกม มีนักเตะ 2 คน เดินมาหาเขา แล้วบอกว่า อยากเขียนข้อความใส่เสื้อตัวใน เผื่อว่ายิงประตูได้ จะได้ถอดเสื้อตัวนอกออก โชว์ข้อความให้เห็น
คนแรกคือ เฆซุส นาบาส เขาเขียนชื่อสดุดี อันโตนิโอ ปูเอร์ต้า เพื่อนร่วมทีมเซบีญ่า ที่เสียชีวิตจากอาการหัวใจวาย ส่วนคนที่สอง คือ อิเนียสต้า ที่ขอให้ฮิวโก้ เขียนสดุดี ดานี่ ฆาร์เก้ กัปตันทีมเอสปันญ่อล ที่ล่วงลับจากอาการหัวใจวายเช่นกัน
คือก็ฟังดูแปลก ที่นักเตะบาร์ซ่า อยากสดุดีนักเตะเอสปันญ่อล แต่ในข้อเท็จจริงคือสองคนนี้ เล่นทีมชาติชุดเยาวชนด้วยกันมาตลอด ตั้งแต่ u17 u19 u20 และ u21 จึงมีความผูกพันกันอยู่พอตัว
อิเนียสต้า รีเควสต์ขอเสื้อแขนกุดด้านใน เขียนคำว่า "ดานี่ ฆาร์เก้ จะอยู่ในใจของเราเสมอ" เขาตั้งใจว่า ถ้ายิงได้ ก็จะถอดเสื้อโชว์ถ้อยคำนี้แน่นอน เพื่อเป็นเกียรติให้กับเพื่อนผู้ล่วงลับ
1
การแข่งนัดชิงเริ่มต้นขึ้น เนเธอร์แลนด์ เป็นคู่แข่งที่อันตรายมาก พวกเขาโค่นบราซิล เต็งหนึ่งของทัวร์นาเมนต์นี้ได้สำเร็จ
โดยในทีมมี 2 ตัวรุกที่อยู่ในช่วงพีกที่สุด อย่างอาร์เยน ร็อบเบน และ เวสลีย์ สไนจ์เดอร์ แปลว่าสเปนต้องเล่นได้ท็อปฟอร์มจริงๆ ถึงจะเอาชนะนัดนี้ได้
สเปนมีจุดแข็งคือ การต่อบอลสั้น การเล่น Possession Game ครองบอลให้เหนียวแน่น พวกเขาจะเคาะไปเรื่อยๆ เพื่อหาช่อง แล้วก็แทงคิลเลอร์พาส เพื่อเข้าทำในจังหวะสุดท้าย
แต่ เบิร์ต ฟาน มาร์ไวก์ เฮดโค้ชของเนเธอร์แลนด์ ก็ศึกษามาดีแล้ว ดังนั้นจึงใช้กลยุทธ์ใหม่ในการรับมือสเปน นั่นคือ "เล่นลูกหนัก"
เมื่อไหร่ก็ตาม ที่ตัวสร้างสรรค์เกม อย่างอลอนโซ่ หรือ อิเนียสต้าได้บอล ให้เข้าหนักทันที เอาให้เดี้ยงไปเลย จนไม่สามารถหาไอเดียในการเข้าทำได้
ความโชคดีของเนเธอร์แลนด์ คือผู้ตัดสินเกมนี้ คือฮาวเวิร์ด เว็บบ์ ชาวอังกฤษ ที่ชอบปล่อยผ่าน การเข้าบอลหนักๆ ดังนั้น จังหวะที่ควรจะโดนใบแดง ก็โดนแค่เหลือง บางจังหวะควรโดนเหลือง ก็ไม่แจกอะไรเลย
ช็อตที่ทุกคนจำได้เป็นอย่างดี คือ ลูกถีบอัดหน้าอกของไนเจล เดอ ยอง ใส่ชาบี อลอนโซ่ ในสไตล์คาราเต้คิก อลอนโซ่บอกว่ามันเหมือนไฟช็อต เจ็บรวดร้าวมาก จนพูดไม่ออก ซึ่งกรรมการก็ยังอุตส่าห์แจกแค่เหลือง ทั้งๆ ที่ดูยังไงก็ให้แดงได้
ไม่ใช่แค่เพลย์นั้น นักเตะสเปนโดนอัดอีกเพียบ จนน็อตหลุดเอาคืนไปบ้างเหมือนกัน อิเนียสต้าโดนมาร์ก ฟาน บอมเมล เสียบจากด้านหลังจนตัวลอย ตามด้วยอีกครั้งคือย่ำไปที่เท้าซ้าย
ช็อตหลังทำให้อิเนียสต้าน็อตหลุด วิ่งมากระแทกฟาน บอมเมลร่วงกับพื้น อิเนียสต้ากล่าวว่า "พวกเขาไล่เตะเราตลอดเกม คือปกติผมไม่ค่อยเสียความเยือกเย็นนะ แต่เกมนั้นมันไม่ไหวจริงๆ"
แผนนี้ของฮอลแลนด์ ได้ผลดี เพราะสเปนไม่มีสมาธิ ตั้งเกมไม่ได้
นาทีที่ 62 ระหว่างที่สเปนกำลังมึนๆ เวสลีย์ สไนจ์เดอร์ เห็นช่องว่างเพียงนิดเดียว แทงคิลเลอร์พาส ให้ร็อบเบนหลุดเดี่ยวไปดวลตัวต่อตัวกับ อีเกร์ กาซียาส ซึ่งร็อบเบนมีทางเลือกเยอะมาก และเขาเลือกปั่นด้วยซ้ายให้เข้าเสาสอง เป็นไม้ตายที่เขาถนัด แต่ไปติดขากาซียาส ออกหลังอย่างเหลือเชื่อ
ถ้าร็อบเบนยิงลูกนี้เข้า เนเธอร์แลนด์จะนำ 1-0 สถานการณ์ทุกอย่างจะเปลี่ยนไป และเนเธอร์แลนด์อาจจะปิดเกมได้เลย
อิเนียสต้าเล่าว่า "ตอนร็อบเบนหลุดเดี่ยว ผมได้แต่ภาวนา เพราะมันทำได้แค่นั้น สุดท้ายคุณต้องเชื่อใจผู้รักษาประตู ผมดูรีเพลย์ลูกนี้หลายรอบนะ ร็อบเบนมีพื้นที่มากพอ ที่จะล็อกหลบกาซียาสได้ แต่โชคดีของเราที่เขาเลือกยิงสวนเลย ซึ่งการเซฟลูกนี้ มันสำคัญกับเรามาก มันเป็นจุดพลิกผันเลยก็ว่าได้"
ในเวลา 90 นาที เสมอ 0-0 ต้องต่อเวลาพิเศษอีก 30 นาที
ปัญหาของเนเธอร์แลนด์คือ พวกเขาใช้กลยุทธ์เล่นหนักไปจนเต็มแม็กซ์แล้ว แบ็กโฟร์ 4 คน เกรกอรี่ ฟาน เดอ วีล, จอห์น ไฮติงก้า, โยริส มาไธส์เซ่น และ โจวานนี่ ฟาน บรองฮอร์ต โดนใบเหลืองไปครบทุกคน
เช่นเดียวกับ 2 มิดฟิลด์ตัวรับ ฟาน บอมเมล กับ เดอ ยอง ก็โดนเหลืองแล้วทั้งคู่ พวกเขาไม่สามารถเล่นหนักได้มากๆ เหมือนเดิมอีก เพราะจะโดนไล่ออกได้
นั่นทำให้บิเซนเต้ เดล บอสเก้ แก้เกมด้วยการส่งตัวรุกที่สดใหม่อย่างเชส ฟาเบรกาส และ เฟร์นันโด ตอร์เรสลงมา เพื่อเล่นงานเนเธอร์แลนด์ คราวนี้ตัวรุกจะเล่นง่ายขึ้น เพราะอีกฝ่ายจะคิดเยอะ ก่อนจะเข้าบอลหนัก
กลยุทธ์เล่นหนัก ถือเป็นไอเดียที่ไม่เลว แต่เมื่อจบเกมใน 90 นาทีไม่ได้ แล้วติดใบเหลืองยกทีมแบบนี้ มันเป็นปัญหาใหญ่ทันที
ในนาที 109 เนเธอร์แลนด์เหลือ 10 คนจนได้เมื่อ ไฮติงก้า ไปดึงเสื้ออิเนียสต้าจากด้านหลัง กรรมการชูใบเหลืองที่สอง ไล่ออกจากสนาม ทำให้สถานการณ์ตอนนี้สเปนยิ่งได้เปรียบ เพราะเล่น 11 ต่อ 10
ช่วง 10 นาทีสุดท้าย เนเธอร์แลนด์ถอยไปตั้งรับเต็มสูบ หวังลุ้นไปถึงช่วงจุดโทษ อยู่ที่ว่าสเปน จะเจาะได้ไหม
นาที 116 ตัวสำรอง 3 คนของเดล บอสเก้ คือ เฆซุส นาบาส, เฟร์นันโด ตอร์เรส และ เชส ฟาเบรกาส ตะลุยขึ้นมาในเขตโทษของเนเธอร์แลนด์ ด้วยความที่ไฮติงก้าโดนไล่ออกไปแล้ว ทำให้ shape ของเกมรับเสียไป นาทีนั้น ไม่มีใครระวังอิเนียสต้า ที่อยู่ "บนสุด" ยืนเหมือนเป็นกองหน้าตัวเป้า ทั้งๆ ที่เขาเล่นเป็นเพลย์เมกเกอร์
อิเนียสต้าเล่าว่า "ผมคิดว่าเกมนี้ ผมเล่นดีหลายเพลย์เลย ช็อตที่ไฮติงก้าโดนไล่ออกก็ด้วย ก็เลยคิดว่า จะขยับตัวเองขึ้นสูงอีกนิด เพื่อจะมีช่องยิงได้ มันเป็นสัญชาตญาณที่คิดว่า นาทีนั้น ผมต้องไปยืนตรงนั้น"
เมื่ออิเนียสต้าอยู่บนสุด ไม่มีกองหลังคนไหนทันระวัง ฟาเบรกาสรีบแทงบอลต่อให้ทันที
ด้วยความอ่อนล้า ทำให้อิเนียสต้าจับบอลไม่ดีมาก นั่นคือจับแล้วบอลกระเด้งขึ้นเล็กน้อย ลอยอยู่กลางอากาศ
"ตอนผมได้บอล ผมไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย ตอนที่บอลมาถึงตัว ผมรู้สึกว่าโลกนี้หยุดนิ่ง มันยากจะอธิบาย แต่ทุกอย่างมันเงียบหมด มีแค่ลูกบอล ประตู แล้วก็ตัวผม"
"ก่อนที่ผมจะได้บอลจากฟาเบรกาส ผมถอยลงมา 2-3 ก้าว เพื่อให้มั่นใจว่าตัวเองจะไม่ล้ำหน้า ลูกนี้ผมไม่ล้ำแน่นอน ผมขยับตัว เหมือนร่างกายของผมถูกควบคุมโดยอัตโนมัติแบบออโต้ไพลอต"
"เมื่อผมจับบอล บอลลอยเหนือพื้นเล็กน้อย แต่ผมใช้กฎของเซอร์ไอแซ็ค นิวตัน นั่นคือลูกแอปเปิ้ลจะหล่นลงมาตามแรงโน้มถ่วงเสมอ ผมรู้ว่าบอลจะหล่นลงมาแน่ แค่ต้องรอ ว่าจะให้หล่นมาถึงระดับไหนถึงจะยิง เสี้ยววินาทีนั้น ทุกอย่างเงียบหมด มีแต่การสู้กันของตัวคุณกับลูกบอล"
แม้จะจับบอลไม่เพอร์เฟ็กต์ แต่อิเนียสต้าสามารถพลิกแพลงไปกับสิ่งที่เกิดขึ้นได้ เขา Improvise ให้เข้ากับสถานการณ์ และเขาตัดสินใจซัดกลางอากาศทันที
"ผมอยากจะยิงให้ฉีกมุมเข้าเสาสอง เพื่อที่ผู้รักษาประตูจะได้ไปไม่ถึง แต่สุดท้ายผมเลือกซัดมันให้แรงที่สุด มันเลยไม่เข้ามุมมาก แต่เยื้องๆ เข้ามากลางๆ คือเอาจริงๆ ผมว่าตัวเองยิงไม่ดีนะ แต่เมื่อคุณมีเวลาแค่เสี้ยววินาที คือต้องตัดสินใจแล้ว ถ้าคิดเยอะเกิน อาจจะยิงหลุดกรอบก็ได้"
ลูกยิงของอิเนียสต้า พุ่งด้วยน้ำหนักที่แรงมาก แม้จะไม่เข้ามุมเป๊ะ แต่ก็เร็วพอที่จะผ่านมือนายทวารสเตเคเลนเบิร์กไปได้ สเปนขึ้นนำ 1-0 ในนาที 116
เมื่อยิงได้ อิเนียสต้าถอดเสื้อที่เตรียมไว้ด้านในเพื่อสดุดี ดานี่ ฆาร์เก้ ถ้าเขาจะยอมโดนใบเหลืองจากการถอดเสื้อสักครั้งในชีวิต นี่แหละคือ วันที่เหมาะสมที่สุดแล้ว
ช่วงเวลาที่เหลือ ด้วยตัวที่น้อยกว่าของเนเธอร์แลนด์ ทำให้ไม่สามารถตีเสมอได้ จบเกมสเปนชนะ 1-0 จากประตูชัยของอิเนียสต้า
นักเตะที่เกือบไม่ได้มาทัวร์นาเมนต์นี้ แต่สุดท้ายก็มา และกลายเป็นฮีโร่แห่งชาติจริงๆ
อิเนียสต้ากล่าวถึงโมเมนต์นี้พร้อมน้ำตาว่า "นี่คือช่วงเวลาแห่งเวทมนตร์ การคว้าแชมป์โลก และเป็นคนยิงประตูตัดสินเกม คุณไม่มีทางบรรยายความรู้สึกที่เกิดขึ้นได้ ทั้งหมดนี้มันเหมือนความฝัน เราสร้างประวัติศาสตร์ให้เกิดขึ้นแล้ว"
1
นี่คือทัวร์นาเมนต์แห่งอิเนียสต้าของจริง เขาลงเล่น 6 นัด ตลอดทัวร์นาเมนต์ เป็นแมน ออฟ เดอะ แมตช์ ไป 3 นัด และติด "ดรีมทีม" หรือ 11 ผู้เล่นยอดเยี่ยมจากการโหวตของแฟนๆ ในตำแหน่งมิดฟิลด์อีกด้วย
สำหรับอิเนียสต้า น่าเสียดายนิดเดียว ที่ไม่ได้บัลลงดอร์ในปีนั้น โดยได้อันดับ 2
โดยอันดับ 1 เป็นของลีโอเนล เมสซี่ สาเหตุสำคัญคือในปีนั้น รูปแบบการโหวตเป็น "ฟีฟ่า บัลลงดอร์" ทำให้คะแนนเทไปทางเมสซี่หมด อย่างไรก็ตาม สิ่งที่อิเนียสต้าสร้างขึ้น ก็ไม่มีใครลืมได้ เพราะผลงานในฟุตบอลโลก 2010 โดยเฉพาะในรอบชิงชนะเลิศ ถือว่ามาสเตอร์พีซที่สุด เท่าที่คุณจะขอได้แล้ว
ด้วยความที่เป็นฮีโร่ยิงประตูชัยให้ประเทศ ,การเป็นนักเตะสเปนที่เข้าใกล้บัลลงดอร์ที่สุดในยุคหลัง รวมถึงทำเรื่องน่าประทับใจ อย่างการสดุดีดานี่ ฆาร์เก้ ในนัดชิงชนะเลิศ ทำให้อิเนียสต้า กลายเป็นนักเตะที่แฟนบอลสเปนรักที่สุด
ไม่ว่าคุณจะเชียร์สโมสรไหนก็ตาม ก็พร้อมปรบมือให้เขาเสมอ นี่คือวีรบุรุษของชาติตัวจริง
ในวันที่อิเนียสต้าประกาศรีไทร์ แม้แต่เรอัล มาดริด ทีมคู่ปรับตลอดกาล ยังแถลงการณ์ยกย่อง คือน้อยมากๆ ที่เรอัล มาดริด จะกล่าวเชิดชูอดีตผู้เล่นของบาร์เซโลน่าแบบนี้
ตอนนี้อิเนียสต้าอำลาวงการฟุตบอลอย่างเป็นทางการในวัย 40 ปี นี่คือนักเตะที่สร้างความมหัศจรรย์ในสนามครั้งแล้วครั้งเล่า คว้าทุกแชมป์บนโลก รวมถึงรายการยิ่งใหญ่ที่สุดอย่างฟุตบอลโลกด้วย
ไม่ว่าอนาคตเขาจะไปทำงานด้านไหน ยังอยู่ในวงการฟุตบอลหรือไม่ แต่ประตูมหัศจรรย์ที่โยฮันเนสเบิร์ก ก็จะไม่มีวันถูกลืมไปตลอดกาล
โฆษณา