23 ต.ค. เวลา 08:10 • ข่าวรอบโลก

อ่ะ ก็มาดิค้าบ Gates vs Musk …

สองพรรคอเมริกันตอนนี้ บี้กันทุกอย่าง
แม้แต่รายชื่อคนดังผู้สนับสนุน อย่างดารา นักกีฬา
และล่าสุดคือโคตรมหาเศรษฐี…
ก่อนหน้านี้ อีลอน มัสก์ แห่งเทสลา ออกตัวแรง
แจกตังทำแคมเปญให้ทรัมป์ วันละล้านเหรียญ
จนสุ่มเสี่ยงผิดกฎหมายไปแล้ว
มาวันนี้ ข่าวชัดเจนแล้วว่า บิลล์ เกสต์ เจ้าพ่อไมโครซอฟท์
ก็ปล่อยข่าวออกมาบ้าง ว่าฉันก็สนับสนุนเดโมแครตนะเฟ้ย
จ่ายไปเท่าไหร่ไม่รู้ล่ะ แต่ที่บอกได้แน่ๆแล้ว คือ 50 ล้านเหรียญ
มันน่าสนใจนะ เพราะทั้งสองคน คือคนรวยอันดับต้นๆของโลก
และเป็นไอดอลทางธุรกิจในสังคมอเมริกัน
…ไม่รู้เหมือนกันว่าแฟนคลับใครมากกว่าและมีผลแค่ไหน…
…แต่ที่ผมชอบมาก คือมันชัดเจนดี ว่าใครเป็นใคร
และคิดอะไรแบบไหน …
ไม่ใช่ไปแอบให้แอบกิน ระดมทุนผ่านโต๊ะจีนแบบบางประเทศ
เท่าที่ทราบ ทางสหรัฐนั้นไม่ได้จำกัดว่ารับบริจาคได้เท่าไหร่
หรือจำกัดว่าคนบริจาคให้ได้เท่าไหร่เหมือนของไทย
แต่รายจ่าย ต้องสัมพันธ์กันกับที่ได้รับบริจาคมา
ซึ่งถ้าพูดตรงๆ มันดีกว่าของไทย ที่ไปจำกัด
เพราะเมื่อจำกัดช่องทางที่ถูกต้องไว้
มันก็ต้องไปแอบให้กันในทางลับเป็นส่วนมาก
ซึ่งก็แน่นอน ว่าแบบนี้มีผลประโยชน์แอบแฝงมากกว่า
และอาจมาบางคนยักเข้ากระเป๋าตัวเองได้ง่าย
ถามว่าสปอนเซอร์พวกนี้มีผลไหม สำหรับการทำงาน
ของรัฐบาลสหรัฐที่อาจเอื้อประโยชน์กันได้ ?
ก็คงปฏิเสธไม่ได้หรอก ว่ามันมีแน่ๆ
และผมจะไม่โลกสวยอวยเวอร์ ว่าอเมริกานั้นโปร่งใส
แต่เมื่อคุณเปิดหน้าให้ แล้วชาวบ้านรู้ว่าใครเป็นใคร
มันก็ชัดเจนกว่า จะได้จ้องจับผิดให้ถูกคน
1
และรัฐบาลก็จะถูกมอนิเตอร์แบบเข้มข้น หากเรื่องนั้น
มันเข้าไปเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของสปอนเซอร์
ให้ผลประโยชน์กันเกินเหตุจนน่าเกลียด ก็โดนแน่แหละ
เลือกตั้งกลางเทอม ไม่เคยรอด …
การที่ประชาธิปไตยของไทยมันเน่า
มันไม่ใช่มาตรฐานที่บอกว่าทั่วโลกมันเน่าไปด้วย
ใช่! มันวุ่นวายทุกที่เลยด้วยซ้ำ
แต่ตราบที่มันยังเป็นความวุ่นวายในกรอบกฎหมาย
และยังเป็นธรรมมากพอในแง่ผลประโยชน์ของสังคม
เราก็คงบอกไม่ได้ ว่ามันไม่ดี แม้มันจะไม่สะอาดก็ตาม
ความวุ่นวายเป็นธรรมชาติของการอยู่ร่วมกัน
ง่ายๆ คือแค่ชีวิตคู่ ส่วนมากก็ต้องมีงัดกัน ขบเหลี่ยมกัน
อย่างโบราณว่าลิ้นกับฟันนั่นแหละ มากบ้างน้อยบ้าง
นิดๆหน่อยๆ แต่ต้องมีทุกคู่
มันเป็นธรรมดาของมนุษย์ ที่มีสมองกันทุกคน
ความคิดย่อมต่างกัน
…คู่ไหนไม่มีปัญหาเลยแม้แต่น้อยนั่นคือผิดปกติแล้ว
ไม่เกาะอีกฝ่ายกินจนต้องยอมทุกอย่าง ก็คือผู้หญิงโดนซ้อม
ประจำจนพูดไม่ได้นั่นแหละ…
…ซึ่งมันก็คือความสงบปลอมๆ ในแบบเผด็จการนั่นเอง…
1
แล้วจะประสาอะไร กับคนหลายรัอยล้านคนในสังคม
ไอ้สงบไม่พูดอะไรนี่แหละแปลก
เหมือนทั้งประเทศมีสมองกลางอยู่ใบเดียว
ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้
1
สหรัฐตอนนี้ แม้ดูวุ่นวายจนเหมือนจะแตกเป็นเสี่ยงๆ
แต่ถ้าคุณรู้จักประวัติศาสตร์เขาดีพอ
จะพบว่ายิ่งกว่านี้พวกเขาก็ผ่านมาแล้ว
…เทียบกับยุค KKK แล้ว ตอนนี้แค่จิ๊บๆ…
รอบนี้ก็เช่นกัน มันไม่ใช่อะไรที่น่ากลัวขนาดที่มโนกัน
และพวกเขาก็ไม่ใช่แบบนักเล่นกีฬาสีบ้านเรา
ที่เล่นไม่เลิก แพ้ไม่เป็นแพ้
…ทรัมป์แพ้จะมีม็อบไหม ผมว่ามี แต่ก็คงจบง่ายๆ
แบบรอบที่แล้วนั่นแหละ แค่จะดูวุ่นวายหน่อย ซึ่งก็ปกติ
ของม็อบระบายอารมณ์ของโลกตะวันตก มีประจำล่ะในยุโรป
การเปิดเผยตัวตนของผู้สนับสนุนพรรคทั้งสองนั้น
เป็นเรื่องที่ดี และสมควรใช้เป็นตัวอย่าง
ไม่ใช่เอาแบบสังคมดัดจริต ไปทำกันข้างหลังฉาก
ถ้าถามว่าคนบริจาดได้อะไร กับการบริจาคขนาดนี้
มันต้องเอาคืนจากผลประโยชน์ทางนโยบายอย่างเดียวหรือไม่
มันไม่ใช่หรอก …
อย่างแรกเลย เอกชนที่บริจาคลักษณะนี้
จะได้ลดหย่อนภาษีค่อนข้างเยอะทีเดียว
แน่นอน ความเกรงใจจากพรรคการเมืองมันมี
แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะทำอะไรได้มาก
…อย่างบิล เกสต์นี่ ต้องไม่ลืมนะ เขาเป็นเดโมแครตตัวพ่อ
มานานแล้ว แต่ ไมโครซอฟท์ ก็โดนฟันข้อหาผูกขาดในยุค
ที่เดโมแครตมีอำนาจเหมือนกัน ไม่ใช่ว่ารอด…
…มันไม่ได้สำคัญหรอก ว่าบริจาคเท่าไหร่
ถ้าระบบตรวจสอบ และจิตสำนึกพอมีน่ะนะ …
และถ้ามองลึกๆจริงๆ เราจะพบว่า มัสก์และเกสต์
มองที่นโยบายที่เป็นประโยชน์กับเขา ปกป้องธุรกิจเขาเอง
ไอ้ที่บริจาคมา มันจึงไม่มากมายอะไรเลย
…มัสก์เลือกสนับสนุนทรัมป์ เพราะทรัมป์มีแนวโน้มต่อต้าน
อีวีจากจีน และสินค้าจีนอื่นๆ มัสก์ซึ่งขายอีวี ก็ต้องชอบอยู่แล้ว
เขาจะได้ประโยชน์มากกว่าสิ่งที่เขาบริจาค…
…เกสต์นั้นหากินกับลิขสิทธิ์ ทรัพย์สินทางปัญญา
เดโมแครตนั้น มีนโยบายเรื่องนี้ชัดเจนกว่ารีพับลิกันมาตลอด
เกสต์ก็ย่อมมาทางนี้เป็นธรรมดา…
นโยบายเหล่านี้ ไม่ใช่วาระซ่อนเร้นของฝ่ายการเมือง
มันถูกนำเสนอต่อสังคมอย่างโปร่งใส ใครๆก็รู้
มันเป็นเอกชนต่างหาก ที่วิ่งเข้าหานโยบายที่ดีสำหรับเขา
ก่อนประกาศเลือกข้างว่าสนับสนุนใคร
…มันจึงเป็นการจ่ายหลักสิบ เพื่อรักษาผลประโยชน์หลักแสน
ซึ่งคุ้มมาก ถ้ามองกันในทางธุรกิจ…
ยังไม่นับว่า ที่อีลอนกับเกสต์จ่ายมา มันก็คือการได้โฆษณาบริษัทของพวกเขา กับฐานเสียงขนาดใหญ่มาก
ซึ่งจะบอกว่าเป็นการตัดมาจากงบโฆษณาปกติ
มูลค่าหลายร้อยล้านเหรียญ ของโคตรบริษัทพวกนี้ยังได้เลย
…มันไม่เห็นมีอะไรแปลก และผิดตรงไหนเลย…
…ไอ้ที่ห้ามแต่แอบทำนี่แหละ ที่ผิด และแปลก…
..เหมือนบังคับให้แอบทำลับหลังชาวบ้าน…
มันน่าจะดีกว่านะ ถ้าเอกชนไทยจะทำแบบนี่บ้าง
ชาวบ้านจะได้รู้ไปเลย ว่าใครเป็นใคร
แต่ของเรามันไม่งั้นอ่ะเดะ ทุนใหญ่แอบแจกหมด
แต่ลดหลั่นกัน ตามโอกาสที่จะได้เป็นรัฐบาล
ซึ่งมันหนักกว่าเขาเยอะเลยนะ ถ้าจะมองถึงผลประโยชน์ทับซ้อน
แล้วของเรา ก็เลยไม่มีทุนโน้นไปทาง ทุนนี้ไปทางแบบมีจุดยืน
แล้วออกมาบอกข้อดีข้อเสียต่อประชาชน
…กลัวขายของไม่ได้ มีคนแอนตี้ หรือไงก็ไม่รู้ เลยหว่านแห
จนไม่รู้ใครเป็นใคร ให้ชาวบ้านเขาตัดสินใจ…
…แล้วผล มันก็อย่างที่เห็นนั่นแหละ ทุนใหญ่กินรวบ…
…ก็คงมีแต่ไทยล่ะมั้ง ที่เป็นแบบนี้…
…ดังนั้นก็อย่าเอามาตรฐานตัวเองไปตัดสินคนอื่นคงดีกว่า….
ข่าว
โฆษณา