23 ต.ค. เวลา 14:41 • ประวัติศาสตร์

รำลึกถึง

พระมหากรุณาธิคุณของ✨✨
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
'ปิยะมหาราชย์'​ พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นที่รักยิ่งของปวงชนด้วยพระราชกรณียกิจอันยิ่งใหญ่ในการพัฒนาประเทศไทยให้เจริญก้าวหน้า
¤══¤ஜ۩۞¤══¤══¤۞۩ஜ¤══¤
เราตั้งใจอธิษฐานว่า เราจะกระทำการจนเต็มกำลังอย่างที่สุด ที่จะให้กรุงสยามเป็นประเทศอันหนึ่ง
ซึ่งมีอิสรภาพแลความเจริญ”
1
พระราชดำรัส ใน รัชกาลที่​ ๕
¤══¤ஜ۩۞¤══¤══¤۞۩ஜ¤══¤
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว นอกจากพระองค์จะทรงเป็นพระมหากษัตริย์ผู้ทรงพระปรีชาสามารถในการปกครองแล้ว พระองค์ยังทรงเป็นศิลปินแห่งสถาปัตยกรรมอีกด้วย พระองค์ทรงมีพระราชดำริในการนำเอาสถาปัตยกรรมตะวันตกที่งดงามมาประยุกต์ใช้ให้เข้ากับบริบททางวัฒนธรรมและสังคมของไทยได้อย่างลงตัว เกิดเป็นผลงานสถาปัตยกรรมที่โดดเด่นและเป็นเอกลักษณ์มากมาย
นอกจากพระราชวังและวัดแล้ว พระองค์ยังทรงมีพระราชดำริในการก่อสร้างอาคารสำคัญอื่นๆ อีกมากมาย เป็นอาคารที่แสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าทางสถาปัตยกรรมของไทยในสมัยนั้น หรือแม้แต่ พระที่นั่งอนันตสมาคม เป็นอาคารที่ใช้ในการพระราชพิธีสำคัญๆ ก็ล้วนแต่เป็นผลงานสถาปัตยกรรมที่สะท้อนให้เห็นถึงพระอัจฉริยภาพของพระองค์
สถาปัตยกรรมที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีดำริให้สร้างขึ้น ไม่เพียงแต่เป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่สำคัญของประเทศไทย แต่ยังเป็นแรงบันดาลใจให้คนรุ่นหลังได้ศึกษาและอนุรักษ์ไว้เป็นสมบัติของชาติสืบไป​ ✨✨✨
พระบรมรูปทรงม้า เป็นพระบรมราชานุสาวรีย์ของ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สร้างขึ้นจากเงินบริจาคของประชาชน เพื่อเป็นการแสดงความจงรักภักดีต่อพระองค์ท่าน พระบรมรูปนี้มีลักษณะโดดเด่นคือเป็นรูปพระองค์ทรงม้า และสร้างจากทองสัมฤทธิ์ ประดิษฐานอยู่บนแท่นหินอ่อนหน้าพระราชวังดุสิต
แบบมาจากพระบรมรูปของพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๕
แห่งฝรั่งเศส​ ช่างปั้นจอร์จ เซาโล ช่างชาวฝรั่งเศส
ใช้เวลาสร้างนานหลายปีและเสร็จสมบูรณ์ในปี
๒๔๕๑หล่อด้วยทองสัมฤทธิ์ และมีแท่นรองทำ
จากหินอ่อน​ พระบรมรูปมีขนาดเท่าพระองค์จริง
เงินบริจาคส่วนที่เหลือนำไปสร้างจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
พระที่นั่งอนันตสมาคม เป็นอาคารทรงยุโรปล้วน เป็นพระที่นั่งหินอ่อนเพียงองค์เดียวในประเทศไทย ซึ่งก่อสร้างด้วยหินอ่อนสีขาวชั้นหนึ่งจากเมืองคาร์รารา ประเทศอิตาลี ได้รับการออกแบบโดยสถาปนิกชาวอิตาลีนามว่า มาริโอ ตามานโญ มีแรงบันดาลใจมาจากโดมของวิหารเซนต์ปีเตอร์ แห่งนครรัฐวาติกัน และโบสถ์เซนต์ปอลแห่งกรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร
งานก่อสร้างทั้งหมดมาจากแรงงานทั้งคนไทยและจีน ส่วนงานภายในที่มีการตกแต่งด้วยศิลปะเฟรสโก ซึ่งเป็นฝีมือช่างจากอิตาลีเป็นส่วนใหญ่ อีกทั้งมีจุดเด่นที่โดมใหญ่ตรงกลางซึ่งทำจากทองแดง มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 15 เมตร รวมไปถึงโดมย่อยอีก 6 โดม แต่เนื่องจากสนิมทำให้เปลี่ยนสีจากสีทองแดงเป็นสีเขียวอมน้ำเงิน
พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท เป็นพระที่นั่งในหมู่พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท ภายในพระบรมมหาราชวัง โดยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2419 พระที่นั่งแห่งนี้ตั้งอยู่ระหว่างพระมหามณเฑียรกับพระมหาปราสาท ประกอบด้วยปราสาท 3 องค์ ทอดตัวจากทิศตะวันออกไปทิศตะวันตก
พระที่นั่งแห่งนี้มีความโดดเด่นกว่าพระที่นั่งอื่นๆ เนื่องจากเป็นการออกแบบผสมผสานระหว่างสถาปัตยกรรมไทยกับสถาปัตยกรรมยุโรป โดยตัวอาคารพระที่นั่งมีรูปแบบสถาปัตยกรรมยุโรป แต่หลังคาพระที่นั่งเป็นรูปแบบสถาปัตยกรรมไทย จนเป็นที่มาของชื่อ "ฝรั่งสวมชฎา"
และด้วยความที่เป็นสถาปัตยกรรมที่มีความโดดเด่นกว่าพระที่นั่งอื่นๆ ทำให้ปัจจุบันพระที่นั่งจักรีมหาปราสาทกลายเป็นหนึ่งในจุดดึงดูดสำคัญที่สุดของพระบรมมหาราชวัง เป็นหนึ่งในสถานที่ที่สำคัญที่สุดในพระบรมมหาราชวัง
วังพญาไท หรือ พระตำหนักพญาไท ตั้งอยู่ที่ริมคลองสามเสน ถนนราชวิถี แขวงทุ่งพญาไท เขตราชเทวี โดยวังแห่งนี้ “รัชกาลที่๕ โปรดเกล้าให้สร้างขึ้น พร้อมกับพระราชทานนามให้ว่า "พระตำหนักพญาไท" ต่อมาได้รับการสถาปนาเป็น “พระราชวังพญาไท” ในรัชสมัยรัชกาลที่ 6
วังพญาไท เริ่มก่อสร้างตั้งแต่ปี ๒๔๕๒พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นที่เสด็จทอดพระเนตรการทำนา การปลูกผักและการเลี้ยงสัตว์ และใช้เป็นตำหนักเป็นที่ประทับ รวมถึงพื้นที่ด้านตรงข้ามกับพระตำหนัก โปรดเกล้าฯ ให้เป็นที่ทำนา รวมทั้งโรงนา ขึ้นเพื่อประกอบพระราชพิธีแรกนาขวัญในยุคสมัยนั้นด้วย
วังพญาไทใช้เป็นที่ประทับของพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ในระยะเวลาอันสั้น เพราะหลังจากมีการขึ้นเรือนใหม่ได้เพียงไม่กี่เดือนพระองค์ก็สวรรคต หลังจากนั้นรัชกาลที่ ๖ ได้ทูลเชิญสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถฯ พระราชมารดา มาประทับที่พระราชวังแห่งนี้ด้วย จนกระทั่งสวรรคตเมื่อปี ๒๔๖๓ หลังจากนั้นรัชกาลที่ ๖ได้ทรงรื้อพระตำหนักพญาไท เหลือไว้เพียงพระที่นั่งเทวราชสภารมย์ ซึ่งเป็นท้องพระโรง
วังบางขุนพรหม ก่อสร้างขึ้นในสมัย รัชกาลที่ ๕
โดยพระองค์โปรดเกล้าฯ พระราชทานแด่ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต เมื่อ ๒๔๒๒ เพื่อใช้เป็นที่ประทับ ใช้เป็นสถานที่จัดงานสโมสรสันนิบาต อีกทั้งใช้เป็นที่จัดงานสังสรรค์ของพระบรมวงศานุวงศ์ และเป็นสถานที่ให้ครูชาวต่างประเทศใช้จัดสอนวิชาต่างๆ ให้กับพระธิดาและเจ้านายฝ่ายในของวัง
วังบางขุนพรหม ก่อสร้างด้วยสถาปัตยกรรมแบบเรอเนซองส์ ผสมผสานกับลวดลายศิลปะแบบนีโอ-บารอก ประตูวังสร้างด้วยเหล็กดัดและเสาปูนประดับลวดลายปูนปั้นที่งดงาม กึ่งกลางสนามมีน้ำพุประดับขอบบ่อด้วยรูปเงือกฝรั่งชายหญิงและสัตว์น้ำต่างๆ
วังแห่งนี้ได้รับการยอมรับว่าเป็นวังที่ประทับของเจ้านายชั้นเจ้าฟ้าที่ใหญ่โตที่สุด โอ่อ่าที่สุด ต่อมาใน ๒๔๙๖-๒๔๙๘ มีการจัดตั้งสถานีโทรทัศน์เป็นครั้งแรกในประเทศไทย ก็จัดตั้งสำนักงานและทำการถ่ายทอดจากวังบางขุนพรหมแห่งนี้ เรียกกันว่า สถานีโทรทัศน์ไทยทีวี ช่อง ๔ บางขุนพรหม ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น ช่อง ๙ อ.ส.ม.ท.
นอกจากนี้ยังมีกลุ่มอาคารอื่นๆ ที่ถูกสร้างขึ้นในรูปแบบของสถาปัตยกรรมในสมัยรัชกาล ๕ อีกมากมาย เช่น อาคารสีชมพูของโรงเรียนมัธยมวัดเบญจมบพิตร เป็นต้น
พิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นพิพิธภัณฑ์ในความดูแลของสถาบันพระปกเกล้า ตั้งอยู่ที่อาคารกรมโยธาธิการเดิม บริเวณแยกผ่านฟ้าลีลาศ ก่อสร้างขึ้นตามพระราชประสงค์ของ “รัชกาลที่ ๕” ในปี ๒๔๙๙ จนแล้วเสร็จในปี ๒๔๕๕
อาคารแห่งนี้ได้รับการออกแบบโดย ชาร์ล เบเกอแลง สถาปนิกชาวฝรั่งเศส-สวิส ในรูปแบบสถาปัตยกรรมนีโอคลาสสิก โดยมีจุดเด่นที่โดมตรงกลาง เดิมทีเป็นที่ตั้งของห้างยอนแซมสันแอนด์ซัน (John Sampson & Son) ซึ่งเป็นสาขาของร้านจำหน่ายผ้าตัดเสื้อ รองเท้า รวมทั้งอานม้าที่มีชื่อเสียงในย่านบอนด์สตรีท กรุงลอนดอน ได้ขยายสาขามาตั้งในเมืองไทย ตามคำชักชวนของ “รัชกาลที่ ๕” ในปี พ.ศ. ๒๔๔๑
ยุคต่อมา กรมโยธาเทศบาลได้เข้ามาเช่าอาคารนี้เป็นที่ทำการของกรม และในวันที่ ๒๖ เมษายน๒๕๔๔ สถาบันพระปกเกล้าได้รับการโอนอำนาจการดำเนินงานพิพิธภัณฑ์ฯ จากกรมโยธาธิการ จนมาถึงยุคปัจจุบันพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ทำหน้าที่เป็นแหล่งเรียนรู้ โดยจัดแสดงข้าวของเครื่องใช้ส่วนพระองค์ของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ในรัชกาลที่ ๗ รวมถึงจัดแสดงภาพถ่าย เอกสาร และพระราชประวัติของพระองค์ด้วย
วัดนิเวศธรรมประวัติราชวรวิหาร เป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรวิหาร ในสังกัดคณะสงฆ์ธรรมยุติกนิกาย ตั้งอยู่ที่ ตำบลบ้านเลน อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดฯ ให้สร้างขึ้นเมื่อ ๒๔๒๑ เพื่อทรงใช้เป็นสถานที่สำหรับบำเพ็ญพระราชกุศล เมื่อเสด็จฯ แปรพระราชฐานมาประทับที่พระราชวังบางปะอิน ใช้รูปแบบสถาปัตยกรรมกอทิกเลียนแบบโบสถ์คริสต์
๒๓ ตุลา​ ปิยะมหาราชย์​ น้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ​( พระเจ้าซาร์มหามิตร​
รู้จักพระองค์น้อยกว่าที่เป็นจริง)​
โฆษณา