24 ต.ค. เวลา 10:24 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์

เรื่องย่อโจ๊กเกอร์ (ภาค 1)

เจ้าของเสียงหัวเราะอันปวดร้าว
อาเธอร์ เฟล็ก ชื่อตัวละครนำ เขาเป็นชายวัยกลางคนตอนปลาย ชาวเมืองก็อทแธม อาศัยอยู่กับแม่ที่แก่ชราและป่วยเพียง 2 คน ในอพาร์ทเม้นท์เก่าโทรมย่านนั้น
เขามีความใฝ่ฝันจะเป็นนักแสดงตลกที่มอบเสียงหัวเราะและความสุขให้แก่ผู้คน ทั้งที่ชีวิตจริงมันสุดจะรันทดอย่างตรงกันข้าม เขาต้องปากกัดตีนถีบเพื่อความอยู่รอดไปวันๆ กับรายได้อันน้อยนิดด้วยการรับจ้างเป็นตัวตลกตามงานต่างๆ อยู่กับบริษัทเล็กๆแห่งหนึ่ง
ซ้ำร้ายกว่านั้นเขายังเป็นคนป่วยทางจิตด้วยโรค PBA (Pseudobulbar affect) คือ ภาวะการแสดงอารมณ์ที่ควบคุมไม่ได้ เพราะสมองเคยได้รับการกระทบอย่างรุนแรงในวัยเด็ก ทำให้เขามักหัวเราะอย่างหยุดไม่ได้ ไม่ตรงกับอารมณ์และไม่เข้ากับสถานการณ์ จนต้องรับยารักษาและพบแพทย์จากสวัสดิการสังคมแห่งรัฐเป็นประจำ และเมื่อขาดยาประกอบกับมีโอกาสได้ปืน เขาก่ออาชญากรรมที่ไม่ได้ตั้งใจจนนำไปสู่การจลาจลและจบลงที่โรงพยาบาลบ้า
ท็อดด์ ฟิลลิปส์ ผู้กำกับและเขียนบท ได้คลี่ชีวิตของอาเธอร์ผ่านเหตุการณ์ที่บีบคั้นต่างๆนาๆ ดำเนินไปสู่ทางเลือกที่ไม่ได้เลือก จนทำให้ชีวิตของเขาผันไปสู่โจ๊กเกอร์ตัวร้ายในตำนาน ตามภาพลักษณ์ของโจ๊กเกอร์ของจักรวาล DC ในเรื่องแบทแมนไปจนได้ จนมีบางคนอดสรุปไม่ได้ว่า โจ๊กเกอร์เวอร์ชั่นนี้เป็นปฐมบทของโจ๊กเกอร์ในแบทแมนหรือเปล่า?
แต่เราจะไม่ขอข้ามช็อตไปถึงขนาดนั้น มาดูที่ตัวละครของเรากันดีกว่า ผู้กำกับได้ปูพื้นให้อาเธอร์มีมิติของความสมจริง อะไรเป็นเหตุให้เขากลายเป็นผู้ร้าย พลิกความฝันอยากเป็นผู้สร้างความสุขให้กับผู้คนกลับกลายเป็นผลักดันให้ทำในสิ่งที่สุดขั้วกับความฝันผ่านความจริงอันโหดร้าย
เขาต้องต่อสู้กับความลำบากท่ามกลางสังคมที่เหลื่อมล้ำและความล่มสลายด้านคุณภาพชีวิต สมกับเป็นเมืองที่เสื่อมโทรมและไร้ซึ่งสวัสดิการที่เหมาะสม แล้วยังต้องมาเก็บกดกับอารมณ์ที่ถูกกดดัน จนต้องยอมจำนนอย่างผู้แพ้ เพื่อจะพาตัวเองให้รอดพ้นไปในแต่ละวันอย่างยากลำบาก
ไม่นับอาการทางจิตประสาทที่เขาเป็นอยู่อย่างที่เขาเองก็ไม่รู้ที่มา แต่มันถูกอัดแน่นถมทับรอวันปะทุ
เมื่อระเบิดเวลาถึงขีดสุดจากการถูกเร่งเร้ากระแทกเข้ามาไม่หยุดหย่อน เขาจึงทำในสิ่งที่ไม่คาดฝัน และเลือกที่จะหันหลังให้กับทุกสิ่งอย่างไม่ยี่หระต่อชีวิต ไม่ยี่หระต่อสังคม ดังคำที่เขาเขียนไว้ในสมุดบันทึก “I just hope my death make more cents than my life” แปลได้ว่า “ฉันแค่หวังว่า ตายเสียยังดีกว่าอยู่” หรือ “ฉันหวังว่า ความตายของฉันจะมีค่ากว่าการมีชีวิต” อะไรประมาณนี้ และมันสะท้อนถึงระเบิดเวลาในใจที่ทำให้เขามาถึงจุดๆ หนึ่ง
ท็อดด์ ฟิลลิปส์ ตีแผ่ปรากฎการณ์ได้อย่างสมเหตุสมผล จนดึงอารมณ์คนดูให้คล้อยตามจนกลายเป็นแอบเอาใจเข้าข้างคนร้าย นี่กระมังคือจุดหมิ่นเหม่เหมือนดาบสองคม ที่คนบางกลุ่มกลัวว่ามันอาจจุดชนวนให้ผู้ที่อยากก่อความรุนแรง
ส่วนนักแสดงนำ ไม่ต้องกังขา ฝีมือระดับ วาคีน ฟีนิกซ์ สกิลไม่เคยตกอยู่แล้ว เขาถ่ายทอดตัวตนของอาเธอร์ได้อย่างสมบูรณ์ ทำให้โจ๊กเกอร์ดู Real มาก สมจริงมาก มีมิติจนคนดูหลงเข้าไปในหัวจิตหัวใจของโจ๊กเกอร์อย่างลืมตัว และดิ่งไปกับตัวละครแม้ออกมานอกโรงแล้ว
สมกับเป็นภาพยนต์ที่ทำรายได้ถล่มทลาย สวนกระแสโรงหนังที่ซบเซาในยุคนี้ให้กลับมามีความคึกคัก เพราะมีแต่คนอยากดูแบบเต็มจอเต็มอารมณ์มากกว่าดูจากจอเล็กๆ ที่บ้าน ทั้งที่ไม่ใช่หนังโชว์เอฟเฟ็กซ์อลังการอะไรเลย
และสมกับรางวัลมากมายที่คว้ามาได้ ไม่ว่าจะเป็นบทภาพยนต์ยอดเยี่ยม , นักแสดงยอดเยี่ยม , กำกับยอดเยี่ยม ตลอดจนฉาก เสียง ดนตรี ล้วนแล้วแต่มีความลงตัว
นักวิจารณ์บางคนอาจไม่ชอบใจตรงที่การดำเนินเรื่องเรียบง่ายไปหน่อย แต่หนังความยาวแค่ 2 ชั่วโมง ก็พอเข้าใจผู้กำกับได้ว่าเขาอยากโฟกัสที่ตัวนักแสดงนำ จึงลดความซับซ้อนแพรวพราวลง เพื่อให้คนดูตามทันและไม่ต้องคิดแต่ต้องเข้าใจ ซึ่งมันก็ได้ผล คนดูมีความเข้าใจเรื่องราวเป็นมาเป็นไปของแรงจูงใจทั้งหมด
แต่ก็ไม่เชิงเสียทีเดียว ท็อดด์ ฟิลลิปส์ แอบใส่เรื่องมโนที่ไม่รู้ว่ามโนซ้อนมโน หรือมโนทั้งเรื่องหรือเปล่า เพื่อให้มีการเล่าเรื่องของโจ๊กเกอร์ได้หลายแนวต่อไป จึงคงความคลุมเครือแบบหนังปลายเปิด ให้มีตำนานที่แตกต่าง
ถ้าใครอยากอ่านสปอยล์แบบเต็มเรื่องก็ตามไปดูได้ที่ลิ้งค์
โฆษณา