25 ต.ค. เวลา 05:17 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์

โจ๊กเกอร์เกอร์ ภาค 1

สปอยยิบ (ตอน2)
เนื้อเรือง ต่อ (21-47)
เมื่อชีวิตเล่นตลกกับตัวตลก
21. อาเธอร์มาพบนักสังคมสงเคราะห์ตามนัด เขาเล่านั่นเล่านี่เหมือนที่ผ่านมา บุหรี่ในมือถูกอัดเข้าปอดเป็นระยะ นักบำบัดคนเดิมกลับถามคำถามซ้ำ ๆ จนเขาเริ่มหงุดหงิด เขาต่อว่าเธอว่าไม่ได้ฟังที่เขาพูดเลยหรือ ทำไมทุกครั้งที่มาก็ยังถามอะไรเดิม ๆ
นี่เป็นอีกสัณญาณหนึ่งซึ่งจะทำให้เราเห็นถึงความโดดเดี่ยว แม้คนที่ทำหน้าที่มาบำบัดจิตใจยังไม่ใส่ใจที่จะบำบัดเขาเลย เขารู้สึกเหมือนเป็นอากาศธาตุ เขาต้องการมีใครมองเห็นว่าเขามีตัวตนนะ มันคือสภาพจิตใจอันอ่อนแอซึ่งต้องการการเหลียวแลจากสังคม (อย่างนี้ต้องมาบำบัดกับพระเกจิเก่งๆ สายพุทธะ ท่านจะสอนให้รักสันโดษ ยิ่งละตัวตนได้เท่าไหร่ยิ่งดี นั่นอาจได้ผลสำหรับคนที่มีจิตใจเข้มแข็งแล้ว)
มาดูที่นักบำบัดกันบ้าง เธอเป็นเจ้าหน้าที่ที่ต้องมาดูแลคนไข้ก็จริง แต่เธอก็คือปุถุชนคนหนึ่งซึ่งต้องแบกรับกับปัญหาของตัวเอง แล้วยังต้องมารับฟังกับปัญหาของคนไข้แต่ละคนจนชินชาที่จะรับรู้ เธอจึงทำได้แค่นี้ มันไม่ได้ช่วยอะไรให้อาเธอร์ดีขึ้นเลย เธอกลับบอกข่าวร้ายกับเขาว่า นี่จะเป็นการคุยกันครั้งสุดท้าย เพราะองค์กรนี้กำลังจะถูกตัดงบ ตัวเธอเองก็แย่ และนั่นหมายความว่า อาเธอร์จะไม่ได้รับการรักษาอีกต่อไป “แล้วผมจะรับยาได้จากไหน” อาเธอร์ถามแทรกความเงียบงันอย่างทดท้อ “เสียใจนะอาเธอร์” คือคำตอบ
เห็นเพียงสายตาที่หลบต่ำของผู้ฟังอย่างสิ้นหวัง ลอดผ่านไหล่ด้านหลังของคู่สนทนา
22. Pogo‘s clup สถานบันเทิงยามค่ำคืน ชายคนหนึ่งกำลังเรียกเสียงหัวเราะจากผู้ชมในการแสดงเดี่ยวไมโครโฟนของเขา และอาเธอร์จะเป็นรายการถัดไป มีการแนะนำนักแสดงรายใหม่ อาเธอร์ปรากฎตัวขึ้นบนเวที เขารู้สึกประหม่า จนหัวเราะออกมาอย่างควบคุมไม่ได้ และกว่าที่เขาจะสะกดกลั้นอาการลงได้อย่างยากเย็นเพื่อเริ่มเล่าเรื่องให้ดูตลก แต่มันก็เป็นตลกฝืด เขามองเห็นโซฟีนั่งยิ้มส่งกำลังใจให้ในมุมหนึ่งของคลับ เขาหยิบสมุดจดมุกออกมา และเริ่มนำเสนอผลงานโชว์อย่างเฉิดฉายเข้ากับเสียงดนตรีที่เต็มไปด้วยพลังแห่งความภาคภูมิ
23. จบจากการแสดง เขาเดินเล่นกับโซฟีมาตามท้องถนนคืนนั้น สายตาเหลือบไปเห็นปกหนังสือพิมพ์และแม็กกาซีนตามแผงขายหนังสือ มีใบหน้าตัวตลกพร้อมกับข่าวพาดหัวถึงการหายตัวไปของฆาตกรบนรถไฟ เขาทำท่าล้อเลียนตัวตลกในภาพ โซฟีตามมาอ่าน เธอเปรยว่า โจ๊กเกอร์คนนี้เป็นฮีโร่ของเธอ คนถูกฆ่าเปรียบเป็นสวะสังคม และยังมีสวะอีกมากที่ควรถูกกำจัดเสียบ้าง
เขาพอใจกับความคิดเห็นนั้นเหมือนได้พวกเพิ่ม เขาเห็นมีบางคนเอาหน้ากากตลกมาใส่เที่ยวกัน เขายิ้มอยู่คนเดียวอย่างปลาบปลื้มที่ได้เห็นการยอมรับในการกระทำ เขาพาเธอไปฉลองอาหารค่ำกันเล็กน้อยในร้านแห่งหนึ่งกลางกรุงก็อทแธ็มอันเสื่อมโทรม
24. เขากลับถึงบ้านด้วยอารมณ์อันชื่นมื่นที่ยังอบอวลอยู่ ปลุกแม่ที่หลับบนโซฟาให้ลุกมาเต้นรำด้วยก่อนจะส่งนางเข้านอน เขาอวดแม่ว่าไปเดทกับสาวมา แม่ของเขาสั่งก่อนเข้านอนว่า แม่เขียนจดหมายฝากไปส่งพรุ่งนี้ให้ด้วยนะ
เขาแปลกใจว่าแม่เขียนจดหมายอะไรถึงโทมัส เวย์น นักหนา จึงอดไม่ได้ที่จะแอบเปิดอ่านดูสักครั้ง จึงได้รู้ว่าเขาเป็นลูกนอกสมรสระหว่างเวย์นกับแม่ของเขา เพนนี เฟลก ได้ขอความช่วยเหลือให้โทมัสมาดูแลเธอและลูกที่ต้องลำบาก เขาไปเคาะประตูห้องแม่อย่างเดือดดาลที่ปกปิดเขามาตลอด แม่ของเขาร่ำไห้แล้วสารภาพว่า เคยทำงานที่บ้านเวย์นเมื่อก่อนนี้ และต้องเก็บเรื่องลูกเป็นความลับเพราะได้ทำสัญญากับโทมัส เวย์น ไว้ เนื่องจากเขาและเธอมีฐานะต่างกันมาก ทำให้เปิดเผยไม่ได้
25. อาเธอร์นั่งรถไฟมุ่งหน้าไปคฤหาสน์ของเวย์น เมื่อไปถึงเขาพบแต่บรู๊ซ ลูกชายของโทมัส ยังเป็นเด็กชาย (แบทแมนในอนาคต) เขาเรียกร้องความสนใจจากเด็กน้อยด้วยการแสดงตลกเล็กๆน้อยๆให้ดู แล้วยื่นดอกไม้มายากลผ่านกรงประตูให้ เขาแนะนำตัวเองและถามชื่อบุตรของโทมัส แล้วเอื้อมมือไปฉีกมุมปากของเด็กชายให้ยิ้มขึ้น
ทันใดนั้นก็มีเสียงดังมาจากชายร่างใหญ่ “ออกห่างๆ จากผู้ชายคนนั้น” อาเธอร์รีบแนะนำตัวว่าเขาคือลูกของเพนนี เฟลค หญิงที่เคยทำงานบ้านนี้ ชายร่างใหญ่คงจะเป็นคนเก่าแก่ จึงจำชื่อของเพนนี เฟลค ได้ “นายเป็นลูกชายของเธอ” เขาทวนคำ “ใช่ ผมอยากพบเวย์น ผมรู้เรื่องของพวกเขาหมดแล้ว”
ชายร่างใหญ่ปฏิเสธเรื่องที่อาเธอร์เข้าใจ เขาบอกว่าเพนนีเป็นโรคจิตหลอนไปเอง และขับไล่ให้เขากลับไป นั่นทำให้อาเธอร์โมโห เขาลอดมือผ่านรั้วประตูมากระชากคอชายคนนั้นบีบเค้นจนแทบหายใจไม่ออก อาเธอร์เห็นว่าเด็กชายบรู๊ซมองอยู่ จึงปล่อยมือและวิ่งกลับไป (ก็ยังดีที่หยุดทำรุนแรงต่อหน้าเด็ก)
26. กลับมาถึงอพาร์ทเม้นท์ เขาได้พบว่าแม่ของเขาถูกหามขึ้นรถพยาบาล จึงโดดขึ้นรถตามไปถึงหน้าตึกฉุกเฉิน ขณะที่เขากำลังนั่งอัดบุหรี่อยู่นอกตึก ชายสองคนเดินเข้ามา แนะนำตัวว่าเป็นตำรวจสืบสวน ได้เข้าไปพบอาเธอร์ที่อพาร์ทเม้นท์แต่พบแม่เขาแทน เมื่อสอบถามอะไรบางอย่างเธอก็คุ้มคลั่งและล้มหัวฟาด อาเธอร์บอกใช่ เธอเส้นเลือดในสมองแตก ตำรวจสองนายสอบถามเขาเรื่องการยิงกันตายบนรถไฟ และได้ไปถามที่ทำงานเขามาด้วย อาเธอร์เลี่ยงที่จะตอบคำถามมากนัก
เขาขอตัวไปดูอาการแม่ แล้วก็เดินชนกระจกประตู เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันเป็นประตูทางออก เขาพยายามใช้มือแหวกอากาศหน้าเซ็นเซอร์เพื่อให้ประตูเปิด ฉากนี้นอกจากอาเธอร์จะปิดอาการลนจนทำอะไรผิดๆ ถูกๆ แล้ว ยังบ่งบอกว่าเขาเริ่มขาดการคุมสติ และเขาก็ขาดยาไปหลายวันแล้วด้วย
27. เขานั่งเฝ้าอาการของแม่อยู่ข้างเตียง มีแฟนสาวนั่งปลอบและขอตัวออกไปหาซื้อกาแฟ สักพักรายการโทรทัศน์ในห้องนั้นเปลี่ยนเป็นรายการทอล์คโชว์ของเมอร์เรย์ แฟรงคลิน ที่เขาโปรดปราน เมอร์เรย์นำคลิปการแสดงของชายคนหนึ่งใน ‘โป๊กโก้คลับ’ มาเปิดคั่นรายการ เมอร์เรย์บอกว่ามีผู้ชมทางบ้านส่งมาและเขาก็อยากจะนำมาเปิดให้ดู
วีดีโอในโทรทัศน์เป็นชายคนหนึ่งยืนหัวเราะอยู่บนเวที อาเธอร์รู้ว่าเป็นตัวเอง เขาตบมือชอบใจ เมื่อเมอร์เรย์พูดแดกดันกึ่งบุลลี่ ว่าเขาดูน่าตลก ความหมายตลกของเมอร์เรย์ คือ clown ตัวตลกแบบเปิ่น ไร้สมอง น่าหัวเราะเยาะ ประมาณนี้ สีหน้าที่กำลังมีความยินดีของอาเธอร์ก็กลายเป็นเคร่งขมึงด้วยความขุ่นเคืองอยู่ภายใน
28. เขากลับมานอนคุดคู้ในห้องนอน ความเปล่าเปลี่ยวเข้าแผ่คลุม แม่..มนุษย์เพียงคนเดียวในโลกที่ร่วมทุกข์มาด้วยกันไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว อีกนานเท่าไหร่ ทีวีที่เปิดไว้กำลังเสนอข่าวม็อบลงถนนของฝูงชนที่แต่งหน้าเป็นตัวตลกออกมาต่อต้านโทมัส เวย์น และเหล่าอภิสิทธิ์ชนไปทั่วเมือง ปลุกความสนใจของอาเธอร์จนต้องออกไปดูบรรยากาศการประท้วงปะปนกับเหล่าผู้ชุมนุมด้วยความรู้สึกที่ฮึกเหิม มันเหมือนมีการยอมรับการกระทำของเขา
29. อาเธอร์ปลอมตัวเป็นพนักงานในโรงมหรสพ และหาโอกาสพบโทมัส เวย์น ซึ่งได้พาครอบครัวเข้าชมในรอบนั้น จังหวะที่โทมัสเข้าห้องน้ำ เขารีบตามไป เวร์นคิดว่าเป็นแฟนด้อมมาขอลายเซ็นต์ เมื่ออาเธอร์แนะนำตัว เขาสะดุดกึก “คนที่ไปบ้านฉันเมื่อวานรึ”
และโทมัส เวย์น ก็ปฏิเสธว่าอาเธอร์ไม่ใช่ลูกเขา เพนนี เฟลค เคยทำงานที่บ้านเขาเมื่อหลายปีก่อนจริงและเก็บเด็กมาเลี้ยง เธอเป็นโรคจิต ชอบคิดไปเอง แต่งเรื่องหลอกตัวเอง อาเธอร์รู้สึกว่าแม่เขากำลังโดนดูถูก เขาโกรธกับคำพูดแทงใจ และเขาก็ได้ผลุคำพูดแทงใจคนดูมากกว่า มันออกมาจากก้นบึ้งแห่งความว้าเหว่ของเด็กที่ขาดพ่อขาดความรักมาแต่เยาวัย
เขาว่าไม่ได้มาเพื่อเรียกร้องอะไร แต่อย่างน้อยก็ไม่ควรได้รับการเหยียดหยาม จะพูดดีๆ ในความเป็นคนด้วยกันไม่ได้หรือไง ซึ่งโทมัส เวย์น เป็นคนรวย ชนชั้นสูง อาจไม่เข้าใจถึงความเป็นมนุษย์ของคนอื่น จึงขาดคำพูดที่ให้เกียรติในคุณค่าของความเป็นคนเหมือนกัน ขาดคำพูดแห่งความเมตตาตามประสาคนที่คิดว่าตนเองมีอำนาจบารมีมากล้น และอยู่เหนือคนอื่นที่ด้อยกว่า
อาเธอร์หัวเราะด้วยอาการหยุดไม่ได้เช่นเคยจนถูกโทมัส เวย์น ชกเข้าที่หน้าทีหนึ่ง ก่อนทิ้งท้ายว่า “ถ้านายแตะต้องลูกชายฉันอีกครั้ง ฉันจะฆ่านาย” เขาทิ้งให้อาเธอร์ยืนเกาะเคาว์เตอร์ล้างมือหัวเราะอยู่อย่างนั้นตามลำพัง
30. อาเธอร์ยืนเกาะเคาว์เตอร์หัวเราะอยู่ท่าเดิม แต่ฉากเปลี่ยนมาเป็นที่บ้าน เขาหัวเราะกึ่งร้องไห้ เปิดตู้เย็น ลื้อทุกอย่างในตู้ออกมาจนตัวเองเข้าไปอยู่ในนั้นได้ (นี่ก็คงจะเป็นภาพมโนของเขาหลังจากหอบความเสียใจกลับมา
31. เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ตามด้วยเสียงฝากข้อความ และมีสายหนึ่ง โทรมาจากเลขาของเมอร์เรย์ แฟรงคลิน ฝากข้อความว่า ขอเชิญไปร่วมออกรายการทีวี อาเธอร์รีบลุกขึ้นมาจากที่นอนรับสายทันที ในที่สุดเขาก็รับนัดวันไปออกรายการของเมอร์เรย์
32. อาเธอร์เดินทางไปโรงพยาบาลที่แม่เขาเคยรักษา เพื่อค้นหาความจริง ตอนขึ้นลิฟท์ร่วมกับผู้ป่วยกำลังคุ้มคลั่งถูกมัดอยู่บนเตียงมีคนเข็นควบคุมอยู่สองคน อาเธอร์ไม่สะทกสะเทือนต่อคนแวดล้อมราวกับยืนอยู่คนเดียว (ท็อด ฟิลลิปส์ ผู้กำกับต้องการสื่อให้เห็นจิตใจของอาเธอร์ว่าเขาไม่สนโลกและจมดิ่งในโลกส่วนตัว)
เขาขอเจ้าหน้าที่ค้นประวัติ เพนนี เฟลก แม่ของเขาเอง เมื่อเจ้าหน้าที่ค้นมาอ่านคร่าวๆ ให้เขาฟัง และบอกว่าให้ประวัติเขาไปไม่ได้ ถ้าเจ้าของไม่มาเซ็นต์ยินยอม ทำให้อาเธอร์ต้องออกแรงแย่งมาและวิ่งลงบันไดหนีไฟ เขาหลบมาอ่านที่ชานพักระหว่างชั้น ทำให้ได้รู้ว่า เพนนีเก็บเขามาเลี้ยงจริงๆ ยิ่งไปกว่านั้นคือ แม่ให้ลูกในอุปการะก็คืออาเธอร์ ถูกแฟนของเธอจับเขาทรมานและทุบตีจนศีรษะได้รับการกระทบรุนแรง เป็นสาเหตุอาการป่วยของเขาอย่างทุกวันนี้
ผู้กำกับให้เหตุการณ์เล่าเรื่อง โดยให้ตัวละครเป็นคนดู และวาคีน ฟีนิกซ์เองก็แสดงความเจ็บปวดผ่านการหัวเราะอย่างถึงอารมณ์
33. เขาตากฝนกลับอพาร์เม้นท์ในคืนที่มืดมนแต่ชีวิตมืดมนกว่า แวะไปห้องพักแฟนสาวลูกติด ประตูล็อคไม่สนิทจึงเปิดเข้าไปได้ เขาลูบคลำข้าวของในห้องราวกับเพิ่งเข้ามาครั้งแรก แล้วนั่งลงบนโซฟา เสียงโซฟีกล่อมลูกอีกห้องหนึ่ง เมื่อเธอเดินออกมาจากห้อง เห็นอาเธอร์นั่งก้มหน้านิ่งอยู่ในนั้น เธอตกใจและประหลาดใจ สายตาไม่มีความคุ้นเคยกับเขาเลยแม้แต่น้อย มันเป็นสายตาของคนแปลกหน้า เธอมีความหวาดกลัวและขอร้องให้เขาออกไป
ผู้กำกับเริ่มเฉลยทุกฉากที่มีโซฟีร่วมอยู่กับเขานั้น ไม่มีอยู่จริง โซฟีตัวจริงไม่เคยรู้จักเขามาก่อน ทุกอย่างเป็นภาพหลอนของเขาเองทั้งนั้น อาเธอร์หันมามองเธอช้าๆ ทำมือแทนปืนจ่อขมับตัวเอง หญิงผิวสีประหวั่นพรั่นพรึง
34. อาเธอร์กลับห้องมานั่งหัวเราะอย่างคลุ้มคลั่งจนสูบบุหรี่ในมือไม่ได้ ดูราวกับร้องไห้คร่ำครวญออกมาเป็นเสียงหัวเราะ ชีวิตที่ล้มเหลวอยู่แล้ว มันยิ่งไม่เหลืออะไรเลย แม่ คนรัก ความฝัน ล้วนไม่มีอยู่จริง เสียงหวอรถพยาบาลดังใกล้มาก แสงไฟไซเรนก็ส่องวาบๆ มาถึงหน้าต่างห้อง เป็นไปได้ไหมว่า เขาเสียสติพอที่จะปลิดชีวิตหญิงผิวสีร่วมชั้นหรือเปล่า แต่อาการของเขาเหมือนเสียใจหนักมาก มันไม่ใช่การหัวเราะด้วยความสะใจ หากแต่เป็นการหัวเราะแห่งความสูญสิ้น เขาพ่ายแพ้พอที่จะดับทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตรวมทั้งชีวิตตัวเอง
35. ดังนั้นเขาจึงตามไปดับแสงริบหรี่อีกดวง เขานั่งสูบบุหรี่ในห้องคนป่วยอย่างไม่แยแสต่อร่างที่ใช้เครื่องช่วยหายใจบนเตียง “เพนนี เฟลค” เขาเรียกชื่อคนที่เคยเป็นแม่อย่างห่างเหิน พูดอะไรบางอย่างที่อัดอั้น นางเรียกชื่อเล่นของเขา“แฮปปี้” เสียงนั้นแหบพร่าในลำคอ “ชีวิตผมไม่เคยแฮปปี้ แต่มันเป็นชีวิตที่ตลกสิ้นดี”
เขาทำมาตุฆาตมารดาด้วยหมอนกดทับใบหน้า คนป่วยดิ้นกระตุก พยายามกดกริ่งเรียกหมอในมือแต่หมดลมไปเสียก่อน แสงจ้านอกหน้าต่างส่องข้างหลังของอาเธอร์เหมือนการเปิดรับการเปลี่ยนผ่านคนใหม่เข้ามาแทนที่คนเก่า ใบหน้าที่เย็นชาไร้ความรู้สึกของเขา มันดูตัดขาดจากสายใยสุดท้ายให้พ้นไปจากพันธนาการแห่งสายสัมพันธ์
เขาแหงนหน้ามองออกไปนอกหน้าต่างรับแสงแดดที่สาดเข้ามา ผ่อนลมหายใจยาว ต่อไปนี้จะเหลือแต่โจ๊กเกอร์ผู้โดดเดี่ยว อาเธอร์คนเดิมได้ตายไปพร้อมๆ กับสิ่งพันผูกที่เพิ่งขาดสะบั้นลง
36. สียงอินโทรเปิดรายการโชว์ของเมอร์เรย์ โจ๊กเกอร์ในร่างอาเธอร์ได้กรอเทปวีดีโอกลับไปกลับมา เขาหยุดตรงช่วงการต้อนรับแขกรับเชิญ เขาซ้อมเลียนแบบ และคิดมุกตลกร้ายที่จะนำไปแสดงในรายการคือ ‘ความตาย’ เขาตั้งใจจะยิงตัวตายกลางรายการให้โลกจำ ในเมื่อตอนมีชีวิตมันไม่มีตัวตน ก็จะขอตายอย่างนี้แหละสะใจ อย่างน้อยก็ได้เรียกร้องให้คนเห็นสักครั้งตอนตายก็ยังดี
37. เพลง That ‘s life “นั่นแหละชีวิต” ของ Frank Sinatra บทเพลงปลุกพลังตัวเองถูกเลือกมาประกอบฉากที่โจ๊กเกอร์กำลังย้อมผม แต่งหน้าแต่งตายันลิ้น เปลี่ยนโฉมให้ตัวเองเป็นโจ๊กเกอร์ร้ายจากภายในออกมาเต็มตัว เขาร่ายรำกับแสงใหม่แห่งวัน ราวกับความยินดีของจิตใต้สำนึกที่ฟื้นคืนชีพ การผุดขึ้นมาจากการถูกกดทับไว้ ปลุกตัวตนที่ไม่สนไม่แคร์อะไรทั้งนั้น
เสียงเคาะประตูดังขึ้น เขากำลังหยิบกรรไกรเล็กๆ เสียงเคาะดังอีก เขาลุกขึ้นเก็บกรรไกรใส่กระเป๋าหลังกางเกงตรงไปแง้มประตู แรนดัลล์กับชายแคระจากที่ทำงานเก่านั่นเอง พวกเขาซื้อของฝากมาเยี่ยมเมื่อรู้ว่าแม่ของอาเธอร์ได้ตายแล้ว จึงมาแสดงความเสียใจ โจ๊กเกอร์ตอบว่าเขาไม่ได้เสียใจแต่กลับรู้สึกดี เดี๋ยวนี้ไม่ได้กินยาต้านเศร้าแล้ว
แรนดัลล์ถามว่าเขาแต่งหน้าทำไม จะออกไปประท้วงกับกลุ่มชุมนุมที่หน้าศาลากลางหรือ อาเธอร์บอกไม่รู้ข่าว แรนดัลล์เล่า “พวกกลุ่มประท้วงต่างสวมหน้ากากตัวตลกกันเต็มไปหมด” แรนดัลล์บอกว่ามีตำรวจมาสืบเสาะเรื่องคดียิงชายสามคนตายที่รถไฟมาหลายวันแล้ว คนแคระท้วงว่าไม่เห็นมาถามเขาเลย จึงถูกแรนดัลล์บุลลี่เยาะว่า “ก็คนร้ายไม่ได้มีส่วนสูงเท่านายน่ะสิ ไม่งั้นนายคงโดนสอบไปแล้ว” โจ๊กเกอร์หัวเราะใส่หน้าแรนดัลล์ทีหนึ่ง
เขามักไม่สบายใจที่เห็นใครบุลลี่กัน และมันแสดงออกคือการหัวเราะ “จึงอยากจะมาเตี้ยมนายให้พูดตรงกัน” แรนดัลล์เข้าเรื่อง ทำนองว่าไม่อยากให้อาเธอร์พาดพิงถึงเขาเรื่องปืน ถ้าตำรวจมาสอบถามอาเธอร์ เพราะแรนดัลล์ได้ให้การปฏิเสธไปแล้ว
พูดได้เพียงเท่านั้น โจ๊กเกอร์ล้วงกรรไกรออกมาแทงที่คอจนเลือดพุ่งกระฉูดแล้วแทงเข้าตา จับหัวแรนดัลล์โขกกับเสาจนตายคาที่ เป็นศพกองอยู่กับพื้นเลือดท่วมนอง และกระเด็นติดตามใบหน้าและตามตัวโจ๊กเกอร์ท่ามกลางความตระหนกกลัวของชายแคระที่ต้องมาเห็นเหตุการณ์ไม่คาดฝันต่อหน้าต่อตา
โจ๊กเกอร์ไม่พอใจที่แรนดัลล์มาเยี่ยมเพื่อมาซักซ้อมซ่อนแผนให้ตัวเองรอดพ้นอย่างเห็นแก่ตัว เป็นความแค้นสะสมมาจากที่แรนดัลล์ทรยศเขามาก่อนหน้านี้อยู่แล้ว บัดนี้เขาไม่ใช่อาเธอร์คนเดิม ทว่าเป็นโจ๊กเกอร์ร้ายคนใหม่ที่ไม่ยี่หระต่อชีวิต และไม่ยอมเก็บกดอะไรไว้อีกต่อไป เขาปล่อยชายแคระเพราะความรู้สึกดีๆ ที่มีต่อเพื่อนร่วมชะตากรรมของความไม่สมประกอบเหมือนกัน เพียงแต่ด้อยคนละอย่าง “มีนายคนเดียวที่ดีกับฉัน” เขากล่าวก่อนจูบลงที่หัวเหม่งของเพื่อนแคระ
มีซีนชวนขำเล็กๆ เมื่อโจ๊กเกอร์เปิดโอกาสให้ชายแคระหนีไป แต่ความเป็นคนแคระ จึงถอดกลอนประตูไม่ถึง จำเป็นต้องหันมาขอร้องให้ฆาตรกรเมื่อครู่ไขประตูให้ กลัวก็กลัว ขอก็ขอ โจ๊กเกอร์เองยังแอบขันไม่ได้ จะเห็นได้ว่า อาเธอร์เพื่อนเก่าของเขาเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ อาเธอร์ผู้หมองเศร้าไร้อารมณ์ขัน แต่โจ๊กเกอร์หยอกล้อชายแคระและรู้จักขบขัน มีความกวนประสาท ทั้งที่ขาดยา นั่นเพราะเขาปลดปล่อยตัวตนโดยปราศจากการเก็บกดอีกแล้ว
38. อาเธอร์ร่างใหม่ แต่งตัวเป็นโจ๊กเกอร์เต็มยศเพื่อไปออกรายการที่เมอร์เรย์เชิญ เดินเข้าลิฟอย่างมาดมั่น ประตูลิฟท์ปิดฉากใบหน้าใต้สีเพ้นท์ตัวตลกนั้น เหมือนการปิดฉากลาสถานที่ที่เคยมีแต่ความทรงจำอันหม่นมัว บทเพลง The hay song กระหึ่มในใจราวกับเปิดตัวต้อนรับนักแข่งขัน ท้องฟ้าใสภายในกรอบของสองตึกสูงขนาบข้าง โจ๊กเกอร์ชุดสีสดตัดกับบันไดเก่าทึมที่ทอดยาวลงมา ร่างนั้นเต้นรำพริ้วไหวอย่างเริงใจเป็นอิสระ สิ่งที่ไม่ขาดหายไปคือบุหรี่ที่คีบในมือ
ขณะกำลังเต้นเพลินอยู่นั้น ก็มีเสียงจากเงาบุรุษสองคนเหนือบันไดดังลงมา “เฮ้ ! อาเธอร์ เรามีเรื่องต้องคุยกัน” สิ้นเสียงอาเธอร์รู้ว่าเป็นสายสืบที่ตามหาเขาอยู่ จึงรีบหนีทันที ตำรวจทั้งสองไล่ตามโจ๊กเกอร์ที่กำลังวิ่งข้ามถนนตัดหน้ารถจนถูกชนแต่วิ่งต่อ เขาวิ่งหายเข้าไปในขบวนรถไฟที่มีกลุ่มผู้ชุมนุมสวมหน้ากากตัวตลก จึงดูกลมกลืนยากที่ตำรวจสองนายจะแยกแยะ ได้แต่วิ่งตามมาในรถไฟแสดงตัวเป็นตำรวจเพื่อขอเปิดทางความสะดวกในการแทรกผ่านผู้คนไปให้ทันอาเธอร์
แต่ในขบวนรถที่แน่นไปด้วยผู้ประท้วงซ้ำยังเกิดการชุลมุนจากการสร้างสถานการณ์ของโจ๊กเกอร์ที่ทำให้มีการชกต่อยกันเองของกลุ่มผู้ประท้วงยิ่งสกัดกั้นการติดตามของตำรวจ จนโจ๊กเกอร์หนีข้ามไปอีกโบกี้หนึ่งได้ ตำรวจชูปืนขู่เพื่อให้เปิดทางแต่ปืนลั่นเพราะผู้ประท้วงเห็นเป็นตำรวจจึงต่อต้านขัดขวาง
มีผู้ประท้วงถูกกระสุนลูกหลงยิ่งมีการกรูกันเข้าทำร้ายเจ้าหน้าที่จนได้รับบาดเจ็บสาหัส โจ๊กเกอร์ลงจากรถไฟมาดูตำรวจสองนายโดนรุมกระทืบอย่างสะใจ เขาทำหน้าสมน้ำหน้าแล้วทิ้งหน้ากากตลกที่แย่งจากคนประท้วงมาใส่พรางตัวนั้นลงบนถังขยะ ก่อนเดินสูบบุหรี่อย่างสบายใจมุ่งหน้าจากไป
39. ในห้องแต่งตัว รายงานข่าวทางทีวีที่เปิดไว้ กำลังเสนอข่าวตำรวจสองนายถูกทำร้ายบาดเจ็บโดยกลุ่มผู้ประท้วงข้างทางรถไฟ โจ๊กเกอร์ไม่ใส่ใจ เขาซ้อมการยิงตัวตาย สักพัก เมอร์เรย์ แฟรงคลิน และผู้ช่วยเข้ามาทักทายและบอกให้รู้ถึงกฎกติกาของการจัดรายการ
โจ๊กเกอร์ถูกตำหนิการแต่งตัวจากผู้ช่วยของเมอร์เรย์ เพราะข้างนอกกำลังก่อชุมนุมตัวตลก เกรงว่าจะเป็นการปลุกกระแส แต่เมอร์เรย์ทัดทานไว้ยอมเชื่อตามที่โจ๊กเกอร์ยืนยันว่าเขาแต่งตัวมาเพื่อเข้ากับการแสดงของเขาเท่านั้นไม่เกี่ยวกับการเมือง นอกจากนี้เขายังขอร้องให้เมอร์เรย์แนะนำชื่อเขาว่า “โจ๊กเกอร์” ตอนออกรายการ
40. เมอร์เรย์เปิดคลิปวีดีโอตอนที่อาเธอร์ไปล้มเหลวที่โป๊กโก้คลับมาประจานซ้ำ โจ๊กเกอร์ร่ายรำอยู่หลังม่าน เมื่อได้เวลาเปิดตัว เขาเต้นออกไปและแกล้งจูบแพทย์หญิงสูงวัยในลักษณะคุกคามอย่างไร้มรรยาท เป็นการลงโทษที่เธอวิจารณ์เขาเมื่อสักครู่ก่อนเขาจะออกรายการ เธออึดอัดจนนั่งตัวแข็งตลอดรายการ
ขณะโจ๊กเกอร์นั่งลง เขาตะลึงกับห้องส่งแล้วพึมพำว่า “เหมือนที่คิดไว้เลย” เพราะเป็นการมาที่นี่ครั้งแรก แต่ฉากที่เข้ามาชมการแสดงก่อนหน้านั้นเป็นจินตนาการ ท็อด ผู้กำกับมักผูกปมและเฉลยแบบนี้ตลอดเรื่อง เพื่อโฟกัสที่ความเป็นมาเป็นไปของโจ๊กเกอร์มากกว่าจะเล่นเกมส์ปริศนากับคนดู
41. โจ๊กเกอร์หยิบสมุดจดมุกออกมาเปิด ซึ่งถูกเมอร์เรย์แซวตลอด เรียกเสียงฮาจากคนดูทุกระยะ ตัวตลกยิ่งกลายเป็นตัวตลกเหมือนโดนจับถอดผ้าขึงพรืด โจ๊กเกอร์เปิดสมุดต่อไป เห็นข้อความของตัวเอง “ถ้าฉันตาย คงจะมีค่ากว่าการมีชีวิตอยู่” เขาเรียกร้องการมองเห็นตัวตนโดยสารภาพว่า เขาเป็นคนฆ่าชายสามคนบนรถไฟเอง ซึ่งก็ได้ผลมันเรียกเสียงฮือฮาอย่างน่าสนใจ “ผมไม่มีอะไรจะเสีย”
คือการประเมินค่าความเสียหายของโจ๊กเกอร์สำหรับคนที่ไม่เหลืออะไรในชีวิต เมื่อถูกเมอร์เรย์บริภาษเข้า หลังได้ตอบโต้กันสักพัก จากความคิดที่จะฆ่าตัวตายกลางรายการเปลี่ยนมาเป็นฆ่าเมอร์เรย์แทน
เขามีความรู้สึกว่าเมอร์เรย์ได้ประจานเขาโดยเอาข้อด้อยของเขามาบุลลี่ให้กลายเป็นเรื่องบันเทิง เป็นเครื่องมือหากินบนความอัปยศของคนอื่น “คุณก็เหมือนกันเมอร์เรย์ คุณเปิดคลิปวีดีโอผมเพื่อให้ผมดูเป็นตัวตลก” โจ๊กเกอร์พูดด้วยแววตาฉายประกายแค้นระคนเจ็บปวดภายใต้สีเพ้นท์บนใบหน้าก็ยังปกปิดความรู้สึกนั้นไม่ได้ และตะโกนสวนกับเสียงของเมอร์เรย์ที่เรียกตำรวจให้มาจับกุมว่า “คุณรู้ไหมคุณควรจะโดนอะไร คุณต้องโดนอย่างที่สมควรจะโดน”
ว่าแล้วเขาก็ล้วงปืนออกมายิงเข้ากลางหน้าผากเมอร์เรย์ตายคาเก้าอี้ทันที และยิงซ้ำที่กลางอก ท่ามกลางเสียงกรีดลั่นของผู้คนทั้งห้องส่ง โจ๊กเกอร์เต้นสะใจ แล้วรีบมาที่กล้อง พูดได้ 2-3 คำ ภาพถูกตัดจากการถ่ายทอดสด
42. ทุกช่องรายการทีวีทั้งเมืองเสนอข่าวด่วน เมอร์เรย์ แฟรงคลิน นักจัดรายการทอล์คโชว์ถูกยิงตายกลางรายการถ่ายทอดสด และมีอีกหลายช่องยังถ่ายทอดการประท้วงบนท้องถนน มีการใช้ความรุนแรง บางช่องตัดเข้ารายการเมอร์เรย์ถูกสังหารก่อนบ้างหลังบ้างตามๆ กัน แต่จะมีช่องหนึ่งเห็นเจ้าหน้าที่สองสามคนตะครุปตัวโจ๊กเกอร์ขณะเขากำลังพูดอะไรบางอย่างหน้ากล้องได้สองสามคำ จึงน่าจะคาดเดาได้ว่า โจ๊กเกอร์อาจใช้คำพูดปลุกระดมในจังหวะที่กำลังชุลมุนกันอยู่ก่อนถูกจับกุมและภาพถูกตัดไป
43. โจ๊กเกอร์มองผ่านหน้าต่างรถตำรวจที่เขานั่งอยู่ แล่นผ่านผู้คนที่กำลังโกลาหลกับการประท้วงด้วยสายตาตื้นตันกับภาพที่เห็นตามท้องถนน เขาหัวเราะหึๆ ตำรวจที่ขับรถอยู่หันมาด่าเขาว่า “ยังมีหน้ามาหัวเราะ ผลการกระทำของนายยิ่งยุให้ผู้ชุมนุมปั่นป่วนไปหมด ตำรวจเจ้าหน้าที่ก็ต้องมาบาดเจ็บเพราะนาย” โจ๊กเกอร์ตอบด้วยรอยยิ้มเยาะอย่างไม่แยแส “มันสวยงามไม่ใช่หรือ”
รถไซเรนคันหนึ่งพุ่งชนรถตำรวจที่ควบคุมตัวเขาเละคาที่ โจ๊กเกอร์เองก็หมดสติอยู่ในนั้น คนขับรถไซเรนสวมหน้ากากตลกลงจากรถ เขาเดินมาส่องดูภายในรถที่เขาขับพุ่งชน เห็นโจ๊กเกอร์หมดสติอยู่ในนั้น มีผู้ชุมนุมสวมหน้ากากตลกอีกคนหนึ่งเข้ามาดูด้วย พวกเขาช่วยกันอุ้มร่างของโจ๊กเกอร์ออกมาจากรถแล้วหามมาวางไว้หน้ากระโปรงรถคันนั้นเอง การจลาจลยังดำเนินต่อไป
44. ในขณะที่การจลาจลยังดำเนินอยู่ โทมัส เวย์น ได้พาลูกและภรรยาหลบหนีออกมาจากโรงมหรสพหรืออาจจะเป็นจากห้องส่งที่เมอร์เรย์จัดรายการสดก็ได้ มีผู้ประท้วงคนหนึ่งมองเห็นเขาพาครอบครัวผ่านไปและจำได้ว่าเป็นโทมัส เวย์น จึงตามไปและเรียกชื่อโทมัสให้หันมาแล้วใช้คำพูดที่โจ๊กเกอร์พูดคำสุดท้ายก่อนยิงเมอร์เรย์ว่า “คุณต้องโดนอย่างที่สมควรจะโดน” จากนั้นก็สังหารสองสามีภรรยาต่อหน้าเด็กชายบรูซ เวย์น
45. โจ๊กเกอร์ที่นอนหมดสติอยู่บนกระโปรงรถเริ่มรู้สึกตัว เขาพยุงร่างตัวเองลุกขึ้นยืนโงนเงนและพบว่ามีผู้คนส่งเสียงเป็นกำลังใจให้เขาลุกขึ้นสู้ เขาจึงเริ่มร่ายรำโชว์ สักครู่เขาได้กระอักออกมาจึงใช้มือล้วงเข้าไปคลำในปากพบว่ามีเลือดทะลักอยู่ จึงใช้นิ้วมือทั้งสองข้างแตะเอาเลือดมาแทนสีป้ายขึ้นไปสองข้างแก้มเป็นรูปยิ้ม แล้วเริงรำอย่างผู้ชนะท่ามกลางเสียงโห่ร้องปรบมือจากเหล่ากองเชียร์ที่เฝ้าชมอยู่รอบๆ
46. ในห้องสี่เหลี่ยมสีขาว หลังจากโจ๊กเกอร์หัวเราะอย่างรวดร้าวต่อหน้าจิตแพทย์ เขาคีบบุหรี่ไว้ที่มุมปากมีกุญแจที่ข้อมือสายตาล่องลอยอย่างซ่อนความสนุก แล้วหัวเราะกับตัวเองเบาๆ “คุณขำอะไร?” เสียงจิตแพทย์หญิงถาม เบื้องหลังเงาไหล่ของเธอมันเป็นกรอบภาพเน้นใบหน้าของโจ๊กเกอร์เด่นขึ้น “ผมกำลังคิดมุก” เขาตอบยิ้มๆ จิตแพทย์สาวมองเขาอย่างพิจารณา เขาฮัมเพลง That life ในลำคอ
47. เพลง That life ยังคงบรรเลงต่อไป โจ๊กเกอร์หันหลังเดินไปตามทางสู่หน้าต่างแสงขาวสุดห้อง มีรอยเท้าเปื้อนเลือดตามก้าวย่างบนพื้น เขาฆ่าหมอแล้วหรือ? เขาร่ายรำเมื่อถึงสุดทางของห้องที่มีทางแยกซ้ายและขวา เขาเต้นไปทางขวาและวิ่งกลับมาทางซ้าย มีชายชุดขาวคาดว่าเป็นเจ้าหน้าที่วิ่งไล่จับตามไป
บทสรุปที่สังคมหล่อหลอมจนตัวตลกกลายเป็นฆาตรกร
ใครที่อยากย้อนอ่าน ตอน 1 ตามได้ที่ลิ้งค์
โฆษณา