25 ต.ค. เวลา 12:55 • กีฬา

เบรดี้กับวัน Combine จุดเริ่มต้นของตำนานอเมริกันฟุตบอล

ใครจะไปเชื่อว่า นักอเมริกันฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาลอย่าง ทอม เบรดี้ เจ้าของแหวน 7 วง ครั้งหนึ่งเคยโดนประเมินจากแมวมองว่า "ฝีมือไม่ได้เรื่อง เหมาะจะไปเป็นเซลส์แมนมากกว่า”
เรื่องราวเป็นอย่างไร ทำไมเขาถูกตัดสินแบบนั้น เราจะย้อนไปในวัน "Combine" ของเบรดี้ไปด้วยกัน
ในกีฬาอเมริกันฟุตบอลนั้น ถ้าคุณดราฟต์นักกีฬาจากมหาวิทยาลัยได้แม่นๆ แค่ 1 คน อาจเปลี่ยนชะตาชีวิตของทีมได้เลยในพริบตา
แคนซัส ซิตี้ ชีฟส์ ไม่เคยเข้าซูเปอร์โบวล์ มา 48 ปีติดต่อกัน แต่พอดราฟต์แพทริก มาโฮมส์ ในปี 2017 พวกเขาแปลงร่างกลายเป็นยอดทีม และเข้าชิงซูเปอร์โบวล์ได้ 4 ครั้ง (คว้าแชมป์มา 3)
ดังนั้นการดราฟต์ผู้เล่นจึงเป็นเรื่องสำคัญมาก แต่ละทีม ต้องเก็บข้อมูลทุกมิติ ทำการบ้านอย่างหนัก เพื่อพิจารณาว่า นักกีฬาดาวรุ่งคนไหนจะเข้ามายกระดับทีมได้
1
ด้วยความสำคัญของการดราฟต์ ทำให้ในปี 1984 NFL สร้างกิจกรรมพิเศษขึ้นมา ชื่อว่า "Scouting Combine" หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่า Combine (คอมบายน์)
Combine คือการให้นักกีฬาระดับมหาวิทยาลัยที่อยากถูกดราฟต์เข้า NFL มาทดสอบสมรรถภาพร่างกาย ในฐานต่างๆ
เช่น วิ่ง 40 เมตร, กระโดดแนวตั้ง หรือ วิ่งชัตเติ้ลไปกลับ 20 เมตร เป็นต้น โดยจะมีแมวมอง และผู้บริหารของทุกทีมใน NFL เข้ามาดูการทดสอบ
ถ้าหากนักกีฬาคนไหน มีสมรรถภาพร่างกายที่แข็งแรงกว่าคนอื่น ก็มีโอกาสถูกดราฟต์เข้า NFL ในอันดับสูงๆ (ยิ่งอยู่อันดับสูงๆ ยิ่งได้เงินค่าจ้างเยอะขึ้น อนาคตก็สดใสกว่า)
อย่างไรก็ตาม ตัวเลขของการ Combine ก็ไม่ได้ตอบทุกอย่าง นักกีฬาหลายคน ผลทดสอบออกมาแย่ แต่สุดท้ายก้าวไปประสบความสำเร็จก็มีเยอะ
ตัวอย่างคลาสสิค ที่คนมักพูดถึงเสมอคือ ทอม เบรดี้
ในปี 2000 ทอม เบรดี้ ควอเตอร์แบ็กจากมหาวิทยาลัยมิชิแกน มีความฝันอยากจะเป็นนักอเมริกันฟุตบอลอาชีพ จึงมาร่วมทดสอบสมรรถภาพเหมือนนักกีฬาคนอื่นๆ
หลังจากเข้าร่วมทุกฐานแล้ว ปรากฏว่า ผลงานโดยรวมของเบรดี้ "แย่สุดๆ"
เหล่าแมวมอง เหล่าโค้ชทั้งหลาย เห็นสถิติแล้ว ได้แต่ส่ายหัว คือมันไม่น่าประทับใจเลย
ตัวอย่างเช่น การวิ่งสปรินท์ 40 เมตร มีควอเตอร์แบ็กร่วม Combine ทั้งหมด 18 คน เบรดี้เข้าเส้นชัยด้วยเวลา 5.28 วินาที อยู่อันดับที่ 17
การกระโดดสูงแนวตั้ง (Vertical Jump) เบรดี้ กระโดดได้ 24.5 นิ้ว อยู่บ๊วยในกลุ่มควอเตอร์แบ็กที่ร่วมทดสอบทั้งหมด
กระโดดไกล (Broad Jump) เบรดี้ กระโดดได้ 99 นิ้ว มีควอเตอร์แบ็กเข้าร่วมเทสต์ 16 คน เบรดี้อยู่อันดับ 12
มีแค่ฐานเดียวเท่านั้นที่เบรดี้ ทำได้ดีมากๆ นั่นคือ Wonderlic Test
Wonderlic Test คือการทำข้อสอบที่ต้องใช้ไหวพริบ พวกปัญหาคำนวณ หรือที่เราเรียกกันคุ้นหูว่า Aptitude Test
ข้อสอบจะมีจำนวน 50 ข้อ ให้เวลา 40 นาที นี่คือการทดสอบว่าคุณมี ไหวพริบ และสติปัญญา แค่ไหน
สถิติระบุว่า อาชีพที่ใช้ไหวพริบน้อย มักจะมีค่าเฉลี่ยในการทำข้อสอบ Wonderlic Test ต่ำ เช่น ภารโรง (ค่าเฉลี่ยตอบถูก 14 ข้อ), รปภ. (ค่าเฉลี่ย 17 ข้อ), นักกีฬาอเมริกันฟุตบอล (ค่าเฉลี่ย 20 ข้อ)
ยิ่งอาชีพที่ต้องใช้ความฉลาด ใช้ทักษะในการคิดคำนวณ ก็จะยิ่งมีค่าเฉลี่ยตอบถูกมากขึ้น เช่น นักบัญชี (ค่าเฉลี่ยตอบถูก 28 ข้อ), วิศวกร (30 ข้อ), นักเคมี (31 ข้อ)
ส่วนเบรดี้ ทำข้อสอบ Wonderlic Test ได้ 33 เต็ม 50 เรียกได้ว่าเกินค่าเฉลี่ยของนักกีฬาทั่วไปแบบไกลลิบ
การทดสอบฐานนี้ สะท้อนให้เห็นว่าเบรดี้เป็นคนฉลาด เซนส์ดี ไหวพริบดี คำนวณเก่ง
แต่ปัญหาคือ "ความฉลาดและความมีไหวพริบ" ไม่ได้ถูกตีราคาว่ามีความสำคัญมากนัก ในสายตาของทีมอาชีพ
ในวัน Combine มี GM โค้ช และ แมวมองของแต่ละทีม อยู่เยอะไปหมด แทบทุกคนฟันธงว่า เบรดี้ ไม่ใช่ผู้เล่นที่ต้องยื้อแย่งอะไร เอาก็ได้ ไม่เอาก็ได้
1
นั่นเพราะเขาวิ่งไม่เร็ว กระโดดไม่สูง ร่างกายไม่มีกล้ามเนื้อ พลังแขนอยู่ในระดับธรรมดา ไม่มีอะไรที่โดดเด่นจนจับต้องได้
แมวมอง A (ไม่เปิดเผยชื่อ) เขียนโน้ตข้อความหลังจากดูการ Combine จบว่า "ห่วย ร่างกายแบบนี้ไม่อยู่ในลิสต์การดราฟต์ของทีมเรา ทอม เบรดี้อ่อนแอ สิ่งที่เหมาะสมกับเขา คือเป็นสามีที่ดีของใครสักคน หรือไม่ก็เป็นเซลส์แมนขายเครื่องมือแพทย์"
แมวมอง B (ไม่เปิดเผยชื่อ) เขียนว่า "ผมไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ เขาเป็นคนฉลาด แต่มันก็แค่นั้น"
โค้ชควอเตอร์แบ็กรายหนึ่ง (ไม่เปิดเผยชื่อ) เขียนโน้ตว่า "เป็นได้แค่สำรอง อาจจะเป็นเบอร์ 2 ให้ใครสักคนได้หลายปี ร่างกายเขาใช้ได้ สูงดี แต่ไม่มีพลังแขน"
GM ของทีมหนึ่ง (ไม่เปิดเผยชื่อ) เขียนโน้ตว่า "ชอบเขานะ ได้แต่หวังว่าเขาจะมีร่างกายที่ดีกว่านี้"
เมล ไคเปอร์ นักวิเคราะห์จาก ESPN บอกว่า "ตั้งแต่ผมดูการ Combine มา 30 ปี นี่คือควอเตอร์แบ็กที่แย่ที่สุดคนหนึ่งก็ว่าได้ เขาวิ่งไม่เร็ว ไม่มีกำลังแขน เอาตัวรอดในที่แคบๆ ไม่เก่ง ไม่ไวพอ เขาทำคะแนนออกมาเลวร้ายทุกอย่าง"
จริงๆ ผลงานกับมหาวิทยาลัยมิชิแกนของเบรดี้ ก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร เขาเป็นควอเตอร์แบ็กที่เก่งในพ็อกเกต แต่พอมา Combine ปั๊บ หลายๆ ทีมเมินเขาทันที ไม่อยากจะดราฟต์มาอยู่ทีมด้วย เพราะสถิติตัวเลขที่เกี่ยวกับ Physical มันดูไม่ดีจริงๆ
คือถ้าเป็นอัจฉริยะแบบไมเคิล วิค (ดราฟต์ no.1 ปี 2001) ที่วิ่งเร็วมาก ขว้างแรงมาก แบบนี้แมวมองจะให้คุณค่าสูงลิบ จะนิสัยเกเร ชอบรังแกสัตว์ หรืออะไรก็ไม่สน แต่กับเบรดี้ คนที่มีซอฟต์สกิลดี แต่ร่างกายไม่ดี กลับถูกมองว่าไม่มีความน่าสนใจ
เมื่อการดราฟต์มาถึง เบรดี้ต้องรอคอยยาวนานจนถึง รอบ 6 กว่านิวอิงแลนด์ เพเทรียตส์ จะเลือกเขาในอันดับ 199 คือเกือบโดนมองข้ามไปแล้วด้วยซ้ำ
สิ่งที่คนในวงการอเมริกันฟุตบอลยุคนั้นมองคล้ายๆ กัน คือเบรดี้ เป็นคนฉลาด เกิดมาในครอบครัวที่ดี มีความเป็นผู้นำ มีความมุมานะ ขยัน และ ทำงานหนัก
ทัศนคติต่างๆ ดีมาก แต่นั่นเป็นสิ่งที่จับต้องไม่ได้
สิ่งที่มองเห็นเป็นตัวเลข คือ ความเร็ว, ระยะการกระโดด หรือ พลังแขน สิ่งเหล่านี้เบรดี้ทำได้ไม่ดี จึงถูกมองว่า เป็นได้แค่ผู้เล่นระดับแบ็กอัพเท่านั้น
หลังจากการดราฟต์เสร็จสิ้น วันแรกที่เขามาร่วมการซ้อมกับทีม ในช่วงปรีซีซั่น เบรดี้ได้เจอโรเบิร์ต คราฟต์ เจ้าของทีม และวันนั้น เบรดี้พูดขึ้นมาประโยคหนึ่งว่า "การดราฟต์ผม คือการตัดสินที่ดีที่สุด ที่ทีมของคุณเคยทำมา"
เป็นประโยคที่อหังการมากๆ สำหรับดาวรุ่งที่ถูกดราฟต์ในรอบ 6 แต่เบรดี้มั่นใจว่า เขาดีพอ และจะพิสูจน์ให้ทุกคนได้เห็น
เบรดี้เล่าว่า "จูเลียน เอเดลแมน เคยบอกไว้ว่า 'เวลามีใครบอกว่าคุณไม่ดีพอ มีอยู่ 2 อย่างเท่านั้นที่คุณทำได้ ข้อแรกคือพิสูจน์ให้เห็นว่าเขาพูดผิด หรือ ยอมรับความจริงว่าเขาพูดถูก' ผมรู้สึกแบบนั้นตลอดเวลา"
1
ใช่ เขาอาจมีสถิติตอน Combine แย่ ฐานนั้นก็บ๊วย ฐานนี้ก็รองบ๊วย แต่มันไม่ได้แปลว่าเขาเป็นผู้เล่นที่แย่ตามไปด้วย
นับจากวันที่โดนดราฟต์ในอันดับ 199 เบรดี้ซ้อมอย่างหนัก ศึกษาแผนการเล่นอย่างละเอียดทุกวัน แล้วรอคอยโอกาส ต้องมีสักวันที่เขาจะได้ประกาศให้โลกได้รู้ ว่าเขาก็มีของ ไม่ใช่ไอ้กระจอกเหมือนที่โดนวิจารณ์รุนแรงในช่วง Combine
สำหรับตอนจบของเรื่องนี้ ทุกคนก็คงเห็นกันแล้ว จากควอเตอร์แบ็กที่มีสถิติเลวร้ายตอน Combine เขากลายมาเป็น ผู้เล่นที่ยิ่งใหญ่ตลอดกาลของ NFL
ความฉลาด ความเป็นผู้นำ และจิตใจที่ไม่ยอมแพ้ สิ่งที่วัดค่าไม่ได้เหล่านี้ กลายมาเป็นกุญแจสำคัญในความสำเร็จของเบรดี้
3
จนถึงวันนี้ เบรดี้เป็นเพียงคนเดียวในโลก ที่ได้แชมป์ซูเปอร์โบวล์ 7 สมัย เจ้าเด็กสูงโย่ง ไม่มีกล้าม แถมยังวิ่งช้าคนนั้น สร้างประวัติศาสตร์ที่ไม่เคยมีใครทำได้ กลายเป็น GOAT ของวงการอเมริกันฟุตบอลแบบไร้ข้อกังขา
เบรดี้ทำให้เห็นว่า แม้คุณจะไม่มี Physical ที่แกร่งที่สุด แต่ถ้ามันถูกทดแทนด้วยคุณภาพด้านอื่น คุณก็สามารถประสบความสำเร็จได้เช่นเดียวกัน
ในช่วงการ Combine ของทุกปี จะมีคนหยิบรูปถ่าย และ คลิป ของเบรดี้ในปี 2000 ออกมาแซวอยู่เสมอ เพราะ เด็กหนุ่มคนนั้น ดูไม่มีทรงที่จะเป็นตำนานได้เลย
เบรดี้กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า "ภาพเหล่านั้นในปี 2000 มันเป็นสิ่งสำคัญของผม เพราะมันคอยย้ำเตือนผมตลอด ว่าจุดเริ่มต้นของผมอยู่ตรงไหน"
2
เริ่มต้นแบบไม่ดี ผู้คนมองไม่เห็นคุณค่า ก็ไม่ได้แปลว่าจะพังพินาศเสมอไป
แต่ครั้งหนึ่งเขาเคยแท็กหาอีลอน มัสก์ ก่อนที่จะซื้อกิจการทวิตเตอร์ว่า “อีลอน ถ้าคุณซื้อทวิตเตอร์เรียบร้อยแล้ว กรุณาช่วยลบรูปผมตอนคอมบายน์ออกไปจากสารบบเลยได้ไหม?” เรียกได้ว่าโดนแซวเรื่อยมา จนแซวตัวเองมันซะเลยดีกว่า
อีกสิ่งสกิลที่เบรดี้มีติดตัวมาเสมอ คือ การมองโลกในแง่บวก ดาวรุ่งหลายคน พอเข้าร่วม Combine แล้วเห็นตัวเองสถิติแย่ ก็มักจะท้อแท้ แล้วคิดว่าตัวเองไม่เก่งพอ แต่เบรดี้มองอีกมุม เขาคิดว่าเห็นตัวเลขกันจะจะไปเลยก็ดี จะได้รู้ว่าจุดอ่อนตัวเองอยู่ตรงไหนบ้าง เพื่อที่จะได้ไปพัฒนาจุดนั้นให้แข็งแกร่งขึ้นสักนิดก็ยังดี
1
อย่างเรื่องสถิติการวิ่ง วิ่ง 40 หลา ตอน Combine ในปี 2000 เขาทำเวลาได้ 5.28 วินาที แต่พอลงเล่นจริงๆ เขาฝึกหนักมากขึ้นจนวิ่งได้เร็วกว่านั้น
24 ปีให้หลัง ในปี 2024 ตอนที่เขารีไทร์แล้ว ลองกลับมาวิ่ง 40 หลา คราวนี้ เขาทำความเร็วได้ 5.12 วินาที เร็วกว่าเดิมเสียอีก
ในเคสของเบรดี้ จึงเป็นกรณีศึกษาในอเมริกันเกมส์อยู่เสมอว่า การถูกวิจารณ์ ว่า "แย่" มันอาจทำให้คุณรู้สึกเจ็บปวดก็จริง
แต่ท้ายที่สุดแล้วอยู่ที่ว่า ตัวคุณเองจะตอบสนองกับมันอย่างไร จะยอมรับ หรือ จะสู้
และถ้าหากไม่ยอมแพ้กลางทางเสียก่อน บางทีอาจจะกลับมาเป็นผู้ชนะได้ในตอนจบ หรืออาจจะยิ่งใหญ่ถึงขั้นกลายเป็น GOAT เลยก็ได้ ใครจะไปรู้
โฆษณา