เมื่อวาน เวลา 11:35 • หุ้น & เศรษฐกิจ

เข้าไม่เข้าBRICS เรื่องผลประโยชน์ ต้องนำการเมือง

สังเกตพฤติกรรมสื่อไทยหลายวันมานี้…
สิ่งนึงที่น่าสนใจมาก คือข่าวการประชุม BRICS รอบนี้
สื่อไทยเล่นใหญ่ เล่นเยอะ อวยเยอะ
อวยกว่าสื่อจีนเสียอีก ไม่เชื่อลองไปไล่ดูข่าวทางจีนได้
เท่าที่สังเกต ที่มาข่าวต้นทางของสื่อไทยส่วนมาก
มาจากทางรัสเซียซึ่งเป็นเจ้าภาพ คือ TASS และ RT
ซะเยอะ ของซินหัวจากจีนมีบ้างประปราย ในส่วนที่เกี่ยวกับ
สี่จิ้นผิง แต่ที่อวยๆนี่คือสื่อรัสเซีย
และข่าวแจกจากเว็บเฉพาะกิจของผู้จัดงาน
ซึ่งมีลักษณะของการโฆษณาอยู่แล้ว ก็เยอะเลย
ถ้ามองในมุมหนึ่ง มันก็ไม่แปลกนัก เพราะภาคการเมือง
และธุรกิจขาใหญ่ ที่เป็นสปอนเซอร์สื่อ และรัฐบาล
เขากำลังมีวาระดันไทยไปทางนี้เต็มที่
สื่อก็ต้องเล่นบทอวยตามสปอนเซอร์แหละ
…อย่างช่องข่าว TNN นี่รู้อยู่แล้วว่าเจ้าของเป็นใคร
ปึ๊กกับจีนแค่ไหน หรือเพจลงทุนดังสองเพจ อันนี้ก็รู้กันดี
ว่าที่จริงแล้วเป็นของธนาคารสีเขียว ซึ่งแน่นกับทางจีนมาก…
สื่อเล่นแรงแบบนี้ มันชัดเจนว่าขาใหญไทยนั้นอยากเข้าจริง
…แต่มันคุ้มค่ากับประเทศไทย หรือใคร ?….
…หรือเป็นเพียงทางเลือกที่มีการเมืองนำกันแน่?….
อยากให้ทุกท่านตัดอคติทางการเมืองออกก่อน
แล้วมองความเป็นจริงทางเศรษฐกิจอย่างเดียวนะครับ
ว่ามันจะคุ้มไหม กับทางเลือกที่จะเข้า BRICS
…อย่าใช้การเมืองนำ ไม่งั้นเราจะไม่เข้าใจ…
…และผมจะเขียนในแบบที่เกี่ยวกับการเมืองให้น้อยที่สุด….
ในทางทฤษฎีแล้ว การเข้าสู่กลุ่มความความร่วมมือ
ทางเศรษฐกิจทุกกลุ่ม มันย่อมเป็นเรื่องที่ดี
ทั้งการขยายตลาดให้เกิดความหลากหลาย
ของผลิตภัณฑ์ และเป็นขยายฐานของคู่ค้าของสินค้าเรา
อย่าง BRICS นี่มองในทางทฤษฎีแล้ว
มันคือการเปิดตลาดใหม่ๆ โดยเฉพาะในแอฟริกา
และอเมริกาใต้ได้อย่างสะดวก มันจึงน่าสนใจมาก
นี่คือข้อดีในทางทฤษฎี
แต่….
ในความเป็นจริงแล้ว
เราอาจสร้างคู่ค้าได้มากขึ้นก็จริง
แต่อีกว่า มันอาจกลายเป็นเป็นคู่ค้าที่ไม่มีประโยชน์ได้
หรือมากกว่านั้นคือทำให้เราเสียเปรียบมากกว่า
ที่จะได้ประโยชน์จริงๆ จากคู่ค้าเหล่านี้
เหตุผลที่เป็นแบบนั้น
เพราะสินค้าคล้ายเหมือนกับเรา
ในชาติสมาชิก BRICS มันมากเกินไป
และนอกจากนี้ ในสินค้าประเภทเดียวกัน
ไทยยังไม่สามารถแข่งราคากับเขาได้อีกด้วย
ในกลุ่มความร่วมมือลักษณะนี้ ก็ย่อมต้องมีความตกลง
ในการยกเว้นภาษี หรือไม่มีกำแพงการค้าต่อกัน
มันก็อาจจะกลายเป็นว่า
…แทนที่ไทยจะส่งสินค้าขายคนอื่นได้มากขึ้น
กลับต้องมารับภาระกับการป้องกันสินค้าราคาถูก
จากเพื่อนร่วมกลุ่มทะลักเข้ามาซะมากกว่า…
ตัวอย่างที่ชัดเจน และกำลังเป็นอยู่
คือการที่เราค้าขายกับจีนในเรื่องสินค้าเกษตร
ด้วยความที่เราเป็นประเทศเกษตรกรรม
ผลผลิต และอุตสาหกรรมการเกษตรไทย
เสียหายมากกว่าได้ประโยชน์ในการค้าขายกับพวกเขา
เพราะเราสู้ไม่ได้เลย ทั้งในแง่คุณภาพและปริมาณ
…แม้แต่ทุเรียน ก็มีแนวโน้มการสั่งซื้อลดลงทุกปี
เมื่อดูจากปริมาณน้ำหนัก เพราะจีนเองเริ่มปลูกได้
และลงทุนไว้หลายที่ โดยเฉพาะกัมพูชา…
สินค้าคล้ายเหมือนอื่นก็เช่นกัน ไทยเสียเปรียบจีนมาตลอด
แล้วสาเหตุนี่ยังเป็นเพราะแค่ FTA สองชาตินะ
ถ้าเราเข้า BRICS แล้วมีเงื่อนไขเพิ่มเข้ามาอีก
สินค้า บริการจีน ที่เราไม่มีปัญญาแข่งกับเขาอยู่แล้ว
มันจะทะลักเข้ามาอีกมากมายขนาดไหน
แล้วธุรกิจคนไทยจะพังอีกเท่าไหร่ ?..
…มันเป็นเรื่องที่ต้องมองให้ขาดครับ…
แล้วถ้าเราเข้า BRICS แล้ว มันจะไม่ใช่แค่จีน
แต่เรื่องแบบนี้จะยิ่งมากขึ้น
เพราะประเทศส่วนมากใน BRICS เป็นประเทศเกษตรกรรม
และมีต้นทุนต่ำกว่าเรา
นั่นจะทำให้เราต้องเผชิญกับสินค้าราคาต่ำกว่าเราผลิต
ทะลักเข้าบ้านเราเองอีกเป็นจำนวนมากมายหลายรายการ
ซึ่งมันกระทบแน่กับระบบเศรษฐกิจไทย
อีกตัวอย่าง ที่ง่ายๆเลย คือเรื่องเนื้อหมูจากบราซิล
ที่ปัจจุบันมันคือที่ผลิตหมูเถื่อนแช่แข็งที่เราเรียกกัน
และเป็นข่าวมาตลอดนั่นแหละ…
…คิดดูว่า หมูเถื่อนไม่กี่หมื่นตัน สร้างความวายวอด
กับวงการผู้เลี้ยงหมูไทยได้ขนาดนี้
…แล้วถ้าเข้าไปอยู่ใน BRICS ที่อาจต้องมี free trade
ต่อกันกับบราซิล มันจะทะลักเข้ามามากขนาดไหน
แล้วธุรกิจหมูเราจะเป็นอย่างไรล่ะ เกษตรกรหมูของเราเอง มิต้องตายกันเหรอ…
…แล้วเรา จะขายอะไรให้บราซิลเพื่อเอาเงินคืนมาได้ล่ะ?…
…มันไม่มีนะ อะไรที่บราซิลต้องการจากเราเนี่ย…
…จะเครื่องใช้ไฟฟ้า ก็คงโดนจีนคาบไปกินอีกนั่นแหละ…
แค่เรื่องจีน กับเรื่องหมูบราซิลที่ยกตัวอย่างให้ดู
มันก็ชัดเจนมากแล้ว ว่าเราดูเสียเปรียบ หากเข้าไป
และความจริง ลักษณะนี้ยังมีธุรกิจภาคการผลิตจริง
อีกหลายรายการที่เราไม่อาจแข่งขันกับเขาได้
แต่เรายังต้องรับมือ หากมีเงินทุนกลุ่มนี้เข้ามา
มันไม่ใช่แค่สินค้า แต่มันยังหมายรวมถึง
การเคลื่อนที่ของทุนทางธุรกิจ ที่บางชาติ
อาจขนเงินมาลงที่เรา เพื่อดันสินค้าตัวเอง
แล้วทำลายเศรษฐกิจเราได้
ยิ่งพฤติกรรมการลงทุนแบบจีน ซึ่งมันไม่แบ่งอะไร
ไว้ให้คนท้องถิ่นเลย เป็นที่ยอมรับได้ในกลุ่มนี้ เราก็ยิ่งเสี่ยง
และลักษณะของกติกาแบบที่ WTO มี มันก็ไม่มีความชัดเจน
เราคงมองแต่ในทาง “ได้” ในทางทฤษฎี
จากการมีฐานลูกค้าเพิ่มไม่ได้
แต่ต้องคิดถึงสิ่งที่จะเสียไป ในโลกความจริงด้วย….
ที่การส่งออกในอดีตนั้น พาเราเติบโตมาถึงวันนี้
เหตุผลหนึ่ง เพราะคู่ค้าหลักในอดีตของเรา
เขาไม่ใช่คู่แข่งในประเภทสินค้าเดียวกันกับที่เราผลิตได้
แถมพวกนี้รวย กำลังซื้อสูง เราจึงขายได้แพง
และไม่มีคู่แข่งเลย ก่อนการเปิดประเทศของจีน
ลูกค้าไทยในอดีต คือชาติค่ายตะวันตก
เขาไม่ได้ผลิตสิ่งที่เราผลิตมาแข่งกับเรา
หรือมีส่งมาที่เรา ก็ราคาแพงกว่า เราจึงไม่ต้องกังวล
โอเคแหละ ว่าเราต้องซื้อสินค้านวัตกรรมจากเขา
เป็นข้อแลกเปลี่ยน แต่นั่นคือเราก็ผลิตไม่ได้
มันจึงเป็นเรื่องของการสมประโยชน์
แต่เขาต้องการสินค้าจากเราอยู่ตลอดเวลา
นั่นทำให้ไทยได้ดุลการค้าจากฝรั่งหัวทองๆ แทบทุกชาติ
จากปริมาณที่มากกว่าการนำเข้าของแพงจากพวกเขา
ลักษณะนี้ ทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนที่สมบูรณ์ของคู่ค้า
ทั้งในแง่ความต้องการในประเภทสินค้าที่มีต่อกัน
และไม่มีพฤติกรรมแข่งขันกันเอง
ไทยเติบโต มีเงินทองมากมายในปัจจุบัน
มันปฏิเสธไม่ได้ ว่าเกิดจากการค้าขายกับฝรั่งในแบบนี้
เปรียบเทียบให้ชัด มันจะได้ว่า
การค้าขายกับโลกตะวันตกนั้น
พวกฝรั่ง หรือญี่ปุ่น มีสถานะเป็นลูกค้าที่ “ต้องซื้อ”
ของๆเรา หรือผู้ผลิตรายอื่นเท่านั้น จากเหตุผล
ว่าพวกเขาขาดแคลนและไม่ได้ผลิตเองเลย หรือน้อยมาก
…เราจึงได้ประโยชน์จากสิ่งนี้ค่อนข้างมาก
ในฐานะคนขาย ที่มีลูกค้ากำลังซื้อสูงและแน่นอน…
แต่กับกลุ่ม BRICS เราจะเสียสถานะแบบนั้นไป
เพราะพวกเขาผลิตเองได้ และดีกว่า ถูกกว่าเราด้วยซ้ำไป
…แทนที่จะแน่นอน เรากลายเป็นแค่ทางเลือก
หรืออาจพูดได้ว่า ฐานการตลาดกลุ่มนี้ แค่ “อาจซื้อ”
ของๆเราเท่านั้น
มันคิดได้ไม่ยากหรอก สำหรับการทำธุรกิจ
ว่าลูกค้าที่ ต้องซื้อเรา กับ อาจซื้อเรา แบบไหนมันดีกว่ากัน
แล้วก็ยังไม่รู้ด้วยว่า ต่อไปจะมีนโยบายของ BRICS
เรื่องการเคลื่อนที่ของแรงงานเข้าไปด้วยหรือไม่
ถ้ามี มันก็น่ากลัวสำหรับเศรษฐกิจภายในของไทย
เพราะเขื่อหรือไม่ว่าถ้าไทยเข้า BRICS เราจะเป็น
ประเทศเกรดบนๆ ที่ค่อนข้างฐานะดี และมีค่าแรงสูง
มันก็อาจเกิดการไหลของแรงงานจากประเทศที่
มีความมั่นคงทางการเงินน้อยกว่า เพื่อมาหาค่าแรง
ที่มากกว่าในบ้านเราได้ไม่ยาก โดยเฉพาะจากแอฟริกา
และอเมริกาใต้
หรือแม้กระทั่งแรงงานจากอินเดีย ซึ่งยังมีค่าแรงต่ำ
ในพื้นที่ส่วนมากของประเทศ
…ซึ่งเข้ามาแล้ว เอาอะไรติดตัวมาบ้าง มีแนวคิดสุดโต่ง
หรือไม่ เราคงไม่สามารถบอกได้ มันก็อาจมีปัญหาตามมา
ทั้งในแง่เศรษฐกิจและความมั่นคงได้…
การขยายฐานความร่วมมือไปที่ BRICS
ไทยคงไม่สามารถใช้วิธีคิดแบบเดียว
กับสมัยทำการค้ากับค่ายตะวันตกได้
มันมีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ในขณะที่เรามองว่า เพื่อเพิ่มฐานลูกค้า มันก็อาจ
เป็นการเพิ่มคู่แข่งเสียมากกว่าด้วยซ้ำไป
ที่จริงแล้ว ไม่ใช่แค่ไทยที่ควรคิดถึงจุดนี้
แต่เป็นทุกชาติที่ควรคิดให้ดี
เพราะในความเป็นจริงแล้ว เป็นที่รู้กันดีว่า
ไม่มีใครได้อะไรจาก BRICS นัก นอกจากจีน
ซึ่งก็รู้กันดีอีกว่า พวกเขามองว่าการทุ่มตลาด
การ subsidies จากรัฐ หรือรัฐลงมาแข่งกับเอกชน
ไม่ใช่เรื่องผิด นี่ทำให้การทำธุรกิจแข่งกับพวกเขาเป็นไปไม่ได้
กติกาแบบที่จีนรับได้นั้น รัฐที่รวยกินเรียบครับ
ในทางเทคนิค BRICS คือตลาดของจีนเท่านั้น
ชาติอื่น แม้จะได้อะไรกลับมาบ้าง แต่ก็ไม่มากนัก
มันจึงถูกมองเป็นกลุ่มทางการเมืองมากกว่าทางเศรษฐกิจ
ในยุคที่ความขัดแย้งในโลกสูงแบบนี้
มันมีโอกาสมาก ที่ใครก็ตามที่เข้า BRICS
อาจมีปัญหากับอีกค่าย ซึ่งก็คือโลกตะวันตก
รวมถึงญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ซึ่งมีกำลังซื้อสูงได้
มันอาจมาในรูปของการกีดกันมากขึ้น
แล้วเราจะยอมรับความเสี่ยงอย่างนั้นเหรอ
1
เรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว แม้ไทยจะยังไม่เข้า BRICS
ก็คือเรื่องข้าว
…คือค่ายตะวันตก เอาพวกตัวเอง ซึ่งก็คือพวกเขาดันข้าว
เวียดนาม ซึ่งอยู่ในข้อตกลง TPP และเมินเฉยต่อข้าวไทย
ที่พักหลังอิงจีน จนทำให้เสียลูกค้าในตลาดฝรั่งไปพอสมควร…
เชื่อได้เลย ว่าถ้าไทยเข้า BRICS เราจะโดนหนักกว่านี้
กับสินค้าอีกหลายรายการ
มันจะทำให้เราลำบาก
การขายในกลุ่ม BRICS แทน เอามูลค่าคืนนั้นยาก
เพราะอย่างที่บอก คือเราคงแข่งกับพวกเขาไม่ไหว
ทั้งในแง่กลไกราคา และเทคโนโลยีการผลิต
การได้ลูกค้าที่มีสถานะเป็นคู่แข่งในตัว
เพื่อแลกกับลูกค้าที่ยังไงก็ซื้อของเรา
มันเป็นการได้ที่คุ้มเสีย อย่างนั้นเหรอ ?
คำตอบมันง่ายนิดเดียวครับ ถ้าไม่มีอคติทางการเมืองนำ….
ถ้าเข้าBRICS มันย่อมมีบางคนในไทยที่ได้ประโยชน์
ก็กลุ่มที่มีสายสัมพันธ์ที่ดีกับจีนนั่นแหละ
ถึงได้ออกมาอวย ขะเลีย กันสุดฤทธิ์สุดเดชแบบนี้
แต่ถามว่ามันดีกับภาพรวมของไทยหรือไม่
มันก็คงไม่ใช่ และว่ากันจริงๆ มันจะสร้างปัญหามากกว่า
…จริงๆแล้ว ในช่วงนี้ ถ้าไทยเข้าหาค่ายตะวันตก
เราจะได้ลูกค้ามากกว่าเดิมเยอะ เพราะพวกเขาตัด
สินค้าจากจีนและรัสเซียออกไป มันเปิดช่องให้เราอยู่…
แต่พูดแบบนี้ ไม่ได้หมายความว่า
ผมเชียร์ให้ไทยเข้า TPP
ที่นำโดยญี่ปุ่น แล้วมีสหรัฐอยู่เบื้องหลังนะ
ส่วนตัว ผมมองว่า ไทยนั้น ถ้าอยากรักษาสถานะ
ที่จะค้าขายอะไรกับใครก็ได้ เหมือนที่เคยเป็นมา
ก็ไม่ต้องเข้ากลุ่มไหนทั้งนั้นแหละ แล้วไปเร่งเจรจา
แบบพหุภาคีไปให้มากๆ มันก็พอแล้ว
แล้วเราต้องไม่ลืมว่า เรายังเชื่อมกับตลาดขนาดใหญ่
ทั่วโลก ผ่านข้อตกลงของอาเซียนได้
โดยไม่ต้องไปสะเหร่อออกตัวแรง
ให้ชาติใหญ่ที่เขากัดกันอยู่มาแพ่งเล็ง และเล่นงานเอา ***
…แค่นี้ ก็เหลือเฟือแล้วครับ …
ไม่มีความจำเป็นอะไรเลยที่เราต้องเลือกข้าง ….
( ***หมายถึง การที่เราส่งให้ชาติอาเซียนอื่น
เอาไปส่งออกอีกที ก็ไม่ต่างกับเราจายเอง เพราะมีข้อตกลง
กันภายในอาเซียนอยู่แล้ว เหมือนลาวรับผักจีนมาขายต่อ
จีนได้เงินค่าผัก ลาวได้ค่านายหน้า มันก์โอเคแหละ*** )
แต่ก็นั่นแหละ มันมีคนได้ประโยชน์ล่ะนะ
ทั้งเรื่องผลประโยชน์เงินทองและการเมืองในไทยเอง
การเข้า BRICS เป็นที่ต้องการของฝ่ายอนุรักษ์นิยมไทย
ทั้งที่รู้ว่าเสียเปรียบ แต่ก็ต้องแกล้งเป็นใบ้
ก็ด้วยเหตุผลเดียวแหละ…
…เพราะพวกเขารู้ว่า การรัฐประหาร มันจำเป็นต้องมีอีกแน่ๆ
สำหรับการเมืองในบ้านเราเอง เพื่อผลประโยชน์พวกเขาเอง…
…แล้ว BRICS ไม่ใช่กลุ่มที่แคร์เรื่องนี้ เหมือนอีกข้าง…
ในทางการเมืองของไทยเอง การเข้า BRICS
จึงมีความจำเป็นมาก สำหรับสายอนุรักษ์นิยม
ซึ่งมีอำนาจอย่างแท้จริงในประเทศนี้ เพื่อตัวเอง…
ไม่ใช่เพื่อชาติไทย และคนส่วนมากชาวไทยแต่อย่างใด…
อ้าว! การเมืองซะแล้ว พอดีกว่านะ 😁😁😁
โฆษณา