27 ต.ค. เวลา 01:08 • ข่าวรอบโลก

E42: แฮร์ริสและทรัมป์มีจุดยืนอย่างไรต่อจีน

การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในปี 2024 เป็นช่วงเวลาที่สำคัญโดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริบทความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ซึ่งเป็นประเด็นที่ผู้ลงสมัครสองคนหลักต่างมีแนวทางที่แตกต่างกันในการจัดการต่อประเทศที่ถูกมองว่าเป็นภัยคุกคามทางเศรษฐกิจและความมั่นคงระดับโลก ในบทความนี้จะสำรวจท่าทีของคามาลา แฮร์ริส และโดนัลด์ ทรัมป์ ต่อนโยบายจีน พร้อมกับวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นต่อเศรษฐกิจโลก
การเลือกตั้งสหรัฐปี 2024 กับการมองจีนเป็นภัยคุกคาม
การมองจีนเป็นคู่แข่งสำคัญไม่ใช่แนวคิดใหม่สำหรับสหรัฐฯ แต่ในช่วงปีหลัง ความตึงเครียดเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะในด้านเทคโนโลยีและการค้าซึ่งสะท้อนถึงความพยายามของสหรัฐฯ ที่จะรักษาความเป็นผู้นำในเวทีโลก จีนถูกมองว่ามีการแสดงอิทธิพลทางเศรษฐกิจ การทหาร และเทคโนโลยีมากขึ้น ทำให้การเลือกตั้งปี 2024 นี้เน้นไปที่การรักษาและการสร้างกลยุทธ์การเป็นพันธมิตรระหว่างประเทศเพื่อถ่วงดุลอำนาจกับจีนอย่างเด่นชัด
ท่าทีของคามาลา แฮร์ริสต่อจีน
คามาลา แฮร์ริส ที่เป็นผู้สมัครฝ่ายประชาธิปไตยนั้นมีแนวโน้มว่าจะสืบทอดแนวทางของประธานาธิบดีไบเดน โดยเน้นการ “ลดความเสี่ยง” (de-risking) มากกว่าที่จะตัดความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับจีน การลดความเสี่ยงนี้หมายถึงการคงการติดต่อสื่อสารและทำการค้ากับจีน แต่เพิ่มมาตรการควบคุมและตรวจสอบเพื่อป้องกันภัยคุกคามทางเศรษฐกิจและความมั่นคงของประเทศ
แฮร์ริสยังคงวิจารณ์การกระทำของจีนที่เกี่ยวข้องกับทะเลจีนใต้ซึ่งเธอมองว่าเป็นการ “ข่มขู่” ประเทศเพื่อนบ้าน นอกจากนี้เธอเน้นความร่วมมือในประเด็นระหว่างประเทศที่สำคัญ เช่น การควบคุมเทคโนโลยีใหม่อย่างปัญญาประดิษฐ์ (AI) และปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
แฮร์ริสยังสนับสนุนการรักษาความสัมพันธ์กับพันธมิตรเพื่อสร้าง “กฎเกณฑ์ใหม่” ในการคุมครองทางเทคโนโลยีและการค้าแทนการยอมให้จีนเป็นผู้นำในด้านนี้ เธอยังให้ความสำคัญกับการส่งเสริมความยุติธรรมทางเศรษฐกิจ โดยสนับสนุนให้จีนรับผิดชอบในประเด็นสิทธิมนุษยชนและการปฏิรูปเศรษฐกิจโลก
ท่าทีของโดนัลด์ ทรัมป์ต่อจีน
โดนัลด์ ทรัมป์มีท่าทีที่ชัดเจนและแข็งกร้าวต่อจีน โดยเน้นไปที่การปกป้องผลประโยชน์ของสหรัฐฯ ผ่านแนวทาง “America First” ที่เน้นลดการพึ่งพาการค้าและเทคโนโลยีจากจีน เขาเชื่อว่าจีนสร้างความไม่สมดุลในเศรษฐกิจสหรัฐฯ ผ่านการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาและการผลิตที่มีต้นทุนต่ำ ทำให้ทรัมป์ใช้มาตรการเชิงรุกในการกำหนดภาษีศุลกากรสูงกับสินค้าจากจีนและตั้งข้อจำกัดในการส่งออกเทคโนโลยีขั้นสูงเพื่อสกัดการเติบโตของจีนในอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจดิจิทัลของสหรัฐฯ​
ในเชิงการทูตและการทหาร ทรัมป์ยังตั้งคำถามถึงความจำเป็นของสหรัฐฯ ในการให้การสนับสนุนแก่พันธมิตรอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มนาโต้ ซึ่งทำให้เขามีท่าทีเน้นประโยชน์ภายในของสหรัฐฯ มากกว่าการรักษาความสัมพันธ์ดั้งเดิม การดำเนินนโยบายที่รุนแรงต่อจีนของทรัมป์ทำให้เกิดความตึงเครียดอย่างมากระหว่างสองมหาอำนาจ โดยจีนเองก็กำลังปรับตัวเพื่อรับมือกับนโยบายที่ไม่แน่นอนของทรัมป์ หากเขาได้รับเลือกตั้งอีกครั้ง ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ และจีนอาจต้องเผชิญความเสี่ยงมากขึ้นอีกในด้านการค้าและความมั่นคง​
ผลกระทบทางการเมืองระหว่างประเทศของไทยจากกลุ่มอำนาจ BRIC และ G7
ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ (ในฐานะผู้นำกลุ่ม G7) กับจีนและรัสเซีย (ในฐานะผู้นำกลุ่ม BRICS) อาจส่งผลกระทบอย่างมากต่อการเมืองระหว่างประเทศของไทย ซึ่งจำเป็นต้องรักษาความสัมพันธ์อันดีกับทั้งสองขั้วอำนาจ
โดยกลุ่ม BRICS นั้นมุ่งเน้นไปที่การสนับสนุนความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาและลดการพึ่งพาสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ G7 มุ่งเน้นไปที่การคงอิทธิพลเศรษฐกิจโลกที่ยึดตามระเบียบสากลเดิม ดังนั้น ไทยจึงมีบทบาทในการหาจุดสมดุลระหว่างการรักษาความสัมพันธ์กับทั้งสองขั้วอำนาจ เพื่อประโยชน์สูงสุดทางเศรษฐกิจและความมั่นคง
นอกจากนี้ ไทยยังได้รับประโยชน์จากการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของทั้งสองฝ่าย เช่น ความร่วมมือในโครงการ Belt and Road Initiative (BRI) ของจีนที่เน้นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในภูมิภาคอาเซียนและเอเชียกลาง ขณะที่โครงการ PGII ของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นการตอบสนองต่อ BRI มุ่งสนับสนุนการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่ยั่งยืนในประเทศกำลังพัฒนา ทั้งนี้ ความร่วมมือกับสองขั้วอำนาจนี้ส่งผลต่อเสถียรภาพในภูมิภาค และการดึงดูดการลงทุนที่จำเป็นต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของไทย
ไทยอาจเผชิญแรงกดดันจากสหรัฐฯ ให้แสดงจุดยืนในประเด็นความขัดแย้งระหว่างประเทศ เช่น การสนับสนุนยูเครนในความขัดแย้งกับรัสเซียหรือการวิจารณ์สิทธิมนุษยชนในจีน ซึ่งส่งผลให้ไทยต้องพิจารณาแนวทางการทูตที่สร้างสมดุลในการรักษาความสัมพันธ์กับทั้งสองฝ่าย โดยไม่กระทบต่อความสัมพันธ์ในภูมิภาคและเสถียรภาพทางการเมืองภายในประเทศ
บทสรุป
สำหรับไทย การวางตัวในจุดกลางระหว่างขั้วอำนาจของสหรัฐฯ และจีนนั้นเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญในการพัฒนาทางเศรษฐกิจและการรักษาเสถียรภาพทางการเมือง ภายใต้ BRI ไทยได้รับการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่ช่วยเพิ่มศักยภาพทางเศรษฐกิจและเป็นประตูสู่ตลาดอาเซียน ในขณะเดียวกัน สหรัฐฯ เป็นพันธมิตรที่สำคัญในด้านการป้องกันประเทศและความร่วมมือทางเศรษฐกิจ
การที่ไทยรักษาความสัมพันธ์ที่ดีทั้งกับสหรัฐฯ และจีนจึงมีความสำคัญเพื่อให้เกิดความสมดุลในด้านความมั่นคงและการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในภูมิภาค การสร้างความยืดหยุ่นในการรับมือกับสถานการณ์ทางการเมืองและเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเป็นสิ่งสำคัญ
Econ Insight: สอบศัพท์เศรษฐศาสตร์
De-risking – การลดความเสี่ยง
หมายถึงการจัดการหรือลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นกับธุรกิจหรือความสัมพันธ์ เช่น สหรัฐฯ เลือกที่จะไม่ตัดขาดการค้ากับจีนทันทีแต่จัดการเพื่อให้แน่ใจว่าผลประโยชน์ของสหรัฐฯ ยังคงได้รับการคุ้มครอง
rade Deficit – ขาดดุลการค้า
คือสถานการณ์ที่ประเทศนำเข้าสินค้ามากกว่าที่ส่งออก ซึ่งทำให้ประเทศต้องจ่ายเงินออกมากกว่าที่ได้รับ สหรัฐฯ ต้องการลดการขาดดุลการค้ากับจีนโดยลดการนำเข้าจากจีนและเพิ่มการผลิตภายในประเทศ​
BRICS – กลุ่มประเทศเกิดใหม่
กลุ่มนี้รวมประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ที่สำคัญ (บราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน และแอฟริกาใต้) ที่ทำงานร่วมกันเพื่อส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจและลดการพึ่งพาดอลลาร์สหรัฐ
Belt and Road Initiative (BRI) – โครงการเส้นทางสายไหมใหม่
เป็นโครงการที่จีนพัฒนาขึ้นเพื่อลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานทั่วโลก สร้างถนน เส้นทางรถไฟ และท่าเรือเพื่อส่งเสริมการค้าและอิทธิพลของจีนในประเทศต่างๆ
บทความอ้างอิง
  • Council on Foreign Relations. (2024). Compare Kamala Harris’s and Donald Trump’s Foreign Policy Positions.
  • Hobart and William Smith Colleges News. (2024). Zhou Explores Differences Between Harris and Trump on China.
  • World Economic Forum. (2024). The BRICS Countries: Strategic Cooperation and Competition with the G7.
  • Jie, Z., & Ran, L. (2023). BRICS versus G7: A Comparative Analysis of Global Power Dynamics. International Journal of Political Economy, 51(2), 134-148.
โฆษณา