27 ต.ค. เวลา 07:50 • ความคิดเห็น
เรื่องราวหนึ่ง ที่ว่าต้องพึ่งตัวเอง ไม่มีมีใครช่วยกันได้ ในคำว่า ทุกขเวทนา สุขเวทนา ที่เกิดขึ้น ในกาย ในจิต ไม่มีใครช่วยได้ ในคำที่ว่าบุญกรรมนำแต่ง ตั้งแต่ เกิดมามีกาย พอเริ่มมีกาย ..กรรมก็ติดตามแต่ง ..แต่งปรุงมีกายครบสามสิบสอง มีอาการครบมาสมบูรณ์ในความมีกายเป็นมนุษย์ ที่เค้าว่า มีบุญก็ปรุงแต่งมาครบ พออยู่ไป บ้างก็อยู่ไม่ครบ มีอะไร ..มันปรุงรสแต่ง ..สมัยนี้ .มีดหมอ เค้าเจริญ ..อยากเสริมอะไร ก็ปรุงแต่ง ให้เป็นไปตามทรวดทรงที่ อารมณ์นั้นต้องการอยาก ..
คราวนี้ เมื่อเรารู้ว่า พอมีกาย มันก็มีอารมณ์ปรุงแต่ง ให้เป็นไปตามดังใจอยาก อารมณ์พาโลภ พาโกรธ พาหลง มันทำให่เราต้องเกิดมาหลงกาย มีเวรกรรมตามสนองมากมายก่ายกอง ต้องไปเลือดเนื้อ น้ำเลือดน้ำหนองของผู้ที่มีกรรม ต้องมีกรรมดิ้นรน ไปเสาะแสวงหามากินกับนอน ตื่นมาก็กิน ..ไม่มีกินก็เดือดร้อน กายเดือดร้อน ทนหิวโหยไม่ไหว เมื่อกายมันหิว
เราเกิดมา มิได่ มาแค่อาศัย ..กินนอนในเรือนกาย ที่มันแก่เฒ่าชราตาย เราก็ได้มาพบทาง ทางที่ยืน เดิน นั่ง นอน ไม่ต้องพิจารณาอะไรทั้งนั้น พิจารณามันก็เป็นอารมณ์ไปเสียทั้งหมด ..เราก็หัดหยุด ดูลมหายใจ กั้นลมหายใจ ให้กายมีนิ่ง จิตมันจิต .เราก็ฝึกที่ลมหายใจ เค้าบอกว่า ทำกายนิ่ง จิตนิ่งๆ มันจะช่วย ให้เรามีสติสัมปชัญญะ .มีสติปัญญา เราก็ไม่เชื่อ
..พอเราทำไป สติสัมปชัญญะเรามาขึ้น เราก็ค่อยๆรู้จัก นำกายนี้มาสร้างบุญกุศล ให้เบาบางจากรรม เวลาเจ็บป่วย มันก็เป็นอารมณ์ .เราก็ไม่เชื่อเสียทีเดียว เราก็ใครครวญพิจารณา เหตุผล ฝึกหัดขึ้นมา พอฝึดหัด เมื่อกายนิ่งได้ จิตนิ่งได้ ไม่มีอารมณ์ปรุงแต่ง
แม้ยามสวดมนค์ จิตมันก็มั่นคง หนักแน่น อยู่ที่หน้าอก ลิ้นปรี่ .ไม่เคลื่อนที่ไปไหน เราก็พอจับได้ ว่า เมื่อจิตอยู่ที่ทรวงอก จิตก็นิ่งไม่เคลือนที่ไปไหน มันก็เกิดเป็นคำว่า เอาจิตมาสวดมนต์ ปากเราก็เหมือนลำโพง ที่พูดส่งเสียงสวดมนต์ออกไป สวด์มนต์ไป ก็เหมือนไม่มีกาย มีแต่จิตที่อยู่กับ ธาตุทั้งสี่ ที่สวดมนต์ไป นั่นก็เป็นเรื่องหนึ่ง ที่ต้องพึ่งจิตจองตัวเอง
เมื่อเราฝึกหัด ทำไปตามรอยของพระ ด้วยความเพียร ความขันติ ฝ่าฟันอุปสรรค..คือ อารมณ์ของตัวเราเอง เราก็พอมีสติสัมปชัญญะ ทบทวนเหตุผลต่างๆ พอมองออกว่า ทางสายเอกขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น สามารถนำพาจิตให้พ้นทุกข์ พ้นความยึดถือ ที่ต้องมาเกิดแก่เจ็บตายได้ เราก็พึ่งตัวเอง พึ่งธาตุพ่อแม่ที่ให้มา มาอาศัยกายนี้
กายนี้มีพระคุณแก่จิตของเรา สอนให้เรารู้จักกรรม รู้จักทุกข์ ทุกข์ที่เวียนว่ายตายเกิด มาเกิดมีกาย เกิดแล้วเกิดอีก ..ก็ยังไม่รู้จักทุกข์ ทุกข์ของจิต วนไปเกิดที่ทุกข์ที่สุข ที่เราก็ไม่สามารถนับชาติได้ มันเป็นจิตที่สะสมกรรม มากับธาตุทั้งสี ที่เกิดตายนับชาติไม่ได้
ที่เกิดมาชาตินี้ พอได้รู้จักขึ้นมา ..เราก็ต้องพึ่ง นะโม .นำกายนี้มาสร้างบุญ ตอบแทนกายพ่อแม่ พอแม่เจ็บป่วย เราก็นำกายพ่อแม่ ไปปฏิบัติธรรม ไปนั่งเดืนในรอยของพระ ..ที่ท่านก็พ้นทุกข์ไปแล้ว เราก็ของอาราธนา นำกายวาจาใจ ไปนั่งในอาสนะของพระ
เมื่อไปนั่งในอาสนะนี้ กายเราก็หยุด ไม่เคลื่อนไหวไแตามอารมณ์ หยุดพอละ ให้เกิดคำว่าสิ่งดีๆ คือ กายของผู้ที่มีบุญ พ้นอารมณ์กรรม..พอเราทำไป. เราก็ได้รับรู้ชัดเจนขึ้นว่า บุญกุศลที่นำกายพ่อแม่มามาอยู่อาสนะนี้ บุญกุศลก็ส่งไปให้แม่ ธาตุต่อธาตุ เขื่อมต่อถึงกัน ใครก็ทำให้ไม่ได้ ..นอกจากตัวเราพึ่งกาย ใช้กายนี้มาสร้าง มากระทำขึ้นเอง ..
โฆษณา