27 ต.ค. เวลา 07:57 • คริปโทเคอร์เรนซี

บิตคอยน์ (Bitcoin)

เป็นสกุลเงินดิจิทัลที่ทำงานอยู่บนระบบเทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain) ซึ่งมีการกระจายอำนาจ ไม่ได้ควบคุมโดยหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง บิตคอยน์ได้รับการออกแบบโดยผู้ใช้นามแฝงว่า ซาโตชิ นากาโมโตะ (Satoshi Nakamoto) ในปี 2009 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นสกุลเงินที่ทำงานบนอินเทอร์เน็ตแบบไม่ต้องพึ่งพาตัวกลาง เช่น ธนาคารหรือรัฐบาล
หลักการทำงานของบิตคอยน์
บิตคอยน์ทำงานโดยใช้หลักการบล็อกเชน ซึ่งอาจเข้าใจได้ผ่านองค์ประกอบต่อไปนี้:
1. บล็อกเชน (Blockchain)
บล็อกเชนเป็นฐานข้อมูลแบบกระจายที่บันทึกธุรกรรมทั้งหมดของบิตคอยน์ไว้เป็นบล็อก (Block) โดยในแต่ละบล็อกจะมีข้อมูลธุรกรรมต่างๆ ของบิตคอยน์ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาหนึ่ง ๆ บล็อกใหม่จะถูกเชื่อมโยงต่อบล็อกเก่าเรื่อย ๆ กลายเป็นโซ่ (Chain) ของบล็อก โดยมีการเข้ารหัสที่ซับซ้อนเพื่อป้องกันการปลอมแปลงหรือแก้ไขข้อมูลย้อนหลัง
ในระบบนี้ ทุกคนสามารถตรวจสอบธุรกรรมได้ ทำให้บล็อกเชนมีความโปร่งใส แต่ก็ยังคงความเป็นส่วนตัวได้ด้วยการใช้รหัสผ่านและที่อยู่ดิจิทัลที่ไม่สามารถระบุถึงตัวตนของผู้ใช้อย่างแท้จริงได้
2. การขุด (Mining)
การขุดเป็นกระบวนการที่ช่วยยืนยันธุรกรรมในระบบบิตคอยน์และสร้างบิตคอยน์ใหม่ โดยในแต่ละการทำธุรกรรม ผู้ขุด (Miner) จะต้องใช้พลังประมวลผลของคอมพิวเตอร์เพื่อแก้โจทย์ทางคณิตศาสตร์ที่ซับซ้อน กระบวนการนี้เรียกว่า Proof of Work หรือ "หลักฐานการทำงาน" ซึ่งต้องใช้พลังงานในการคำนวณสูง
ผู้ขุดที่แก้โจทย์ได้สำเร็จเป็นคนแรกจะได้รับสิทธิ์ในการเพิ่มบล็อกใหม่ลงในบล็อกเชนและได้รับบิตคอยน์เป็นรางวัล ปัจจุบันรางวัลการขุดบิตคอยน์จะลดลงครึ่งหนึ่งทุก ๆ 4 ปี หรือเรียกว่า "Halving" ซึ่งช่วยควบคุมจำนวนบิตคอยน์ให้มีจำกัดที่ 21 ล้านเหรียญเท่านั้น
3. กระเป๋าเงินดิจิทัล (Digital Wallet)
กระเป๋าเงินดิจิทัลเป็นโปรแกรมหรืออุปกรณ์ที่เก็บข้อมูลสำคัญ เช่น คีย์ส่วนตัว (Private Key) และคีย์สาธารณะ (Public Key) ซึ่งใช้ในการเข้าถึงบิตคอยน์และทำธุรกรรม คีย์สาธารณะทำหน้าที่เป็นที่อยู่ในการรับเงิน (Address) ซึ่งสามารถเปิดเผยต่อสาธารณะได้ ขณะที่คีย์ส่วนตัวต้องเก็บรักษาอย่างปลอดภัยเพราะเป็นกุญแจสำคัญในการทำธุรกรรมออกจากกระเป๋าเงินนั้น ๆ
หากผู้ใช้สูญหายคีย์ส่วนตัว ก็จะไม่สามารถเข้าถึงบิตคอยน์ในกระเป๋าเงินนั้นได้อีกเลย ทำให้ความปลอดภัยในการเก็บรักษาคีย์ส่วนตัวเป็นเรื่องสำคัญ
ข้อดีของบิตคอยน์
1. ไม่ต้องผ่านตัวกลาง: บิตคอยน์ทำให้ผู้ใช้งานสามารถทำธุรกรรมได้โดยตรงระหว่างกัน โดยไม่ต้องพึ่งพาธนาคารหรือตัวกลาง ลดค่าใช้จ่ายและเวลาที่ใช้ในการโอนเงิน
2. โปร่งใสและตรวจสอบได้: เนื่องจากธุรกรรมทั้งหมดถูกบันทึกในบล็อกเชนอย่างถาวร ทุกคนสามารถตรวจสอบและยืนยันความถูกต้องของธุรกรรมได้
3. ค่าธรรมเนียมต่ำกว่าการโอนเงินแบบดั้งเดิม: การโอนเงินข้ามประเทศโดยใช้บิตคอยน์มักจะมีค่าธรรมเนียมน้อยกว่าการโอนเงินผ่านระบบธนาคารระหว่างประเทศ
4. ความเป็นส่วนตัว: ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องเปิดเผยตัวตนในการทำธุรกรรม สามารถทำให้มีความเป็นส่วนตัวในการใช้งานได้
ข้อเสียของบิตคอยน์
1. ความผันผวนของราคา: มูลค่าของบิตคอยน์เปลี่ยนแปลงอย่างมากในระยะสั้น ทำให้การลงทุนหรือการเก็บบิตคอยน์มีความเสี่ยงสูง
2. การใช้พลังงานสูง: การขุดบิตคอยน์ต้องใช้พลังงานในการประมวลผลสูงมาก ทำให้มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและการใช้ไฟฟ้าสูง
3. ความเสี่ยงด้านความปลอดภัย: หากผู้ใช้สูญหายคีย์ส่วนตัว บิตคอยน์ในกระเป๋าเงินนั้นจะไม่สามารถกู้คืนได้ นอกจากนี้ ยังมีความเสี่ยงจากการถูกโจมตีจากแฮกเกอร์
4. การใช้งานในทางที่ผิด: เนื่องจากการทำธุรกรรมบิตคอยน์สามารถปิดบังตัวตนได้ ทำให้มีการนำไปใช้ในกิจกรรมที่ผิดกฎหมายหรือธุรกรรมที่ไม่สามารถตรวจสอบได้
สรุป
บิตคอยน์เป็นสกุลเงินดิจิทัลที่เกิดขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์การทำธุรกรรมออนไลน์ที่รวดเร็ว ปลอดภัย และไม่ต้องพึ่งพาตัวกลาง อย่างไรก็ตาม บิตคอยน์ยังมีความเสี่ยงสูงและมีผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมจากการขุดที่ใช้พลังงานสูง
โฆษณา