27 ต.ค. เวลา 12:19 • หนังสือ

“บางครั้งก็ไม่ผิดที่เราจะใช้ชีวิตตามโชคชะตา"

เราด่ามันได้ เราว่ามันได้ ในบางเวลาที่เรารู้สึกอัดอั้นตันใจว่าเราทำทุกอย่างแล้วทำไมชีวิตยังต้องดิ้นรนทุรนทุรายแบบนี้แต่สิ่งหนึ่งที่เราต้องไม่ลืมคือ “อนาคตคือปัจจุบันที่เราทำ”โชคชะตาแม้จะมีสิทธิ์กำหนดเส้นทางชีวิตเราก็จริง แต่ทุกอย่างอยู่ที่จุดเริ่มต้นถ้าเราทำปัจจุบันได้ดี ได้ถูกต้อง ยังไงเราก็จะสามารถมีชีวิตที่ดีได้ในที่สุด”
“ความสำเร็จเริ่มต้นจากความพยายาม แต่ คนที่พยายามอาจไม่ใช่คนที่สำเร็จเสมอไป”
ผมเชื่อว่าหลายคนคงสงสัยกันใช่ไหมครับว่า เวลาที่เราต้องทำอะไรสักอย่างทั้งธุรกิจและชีวิตส่วนตัว ค่านิยมหนึ่งที่เรามักจะได้ยินได้ฟังได้เห็นจากคนรอบข้าง รวมถึงบรรดา Life Coach และผู้ที่ประสบความสำเร็จในชีวิตหลายคน จะเป็นชุดความคิดและทัศนคติที่เน้นย้ำให้พวกเรานั้นยึดติดและผูกความสำเร็จไว้กับคำว่า
“ต้องพยายาม” โดยไม่ได้เอ่ยถึงองค์ประกอบอื่นๆ เลย เนื้อหาและประเด็นในเรื่องราวความสำเร็จของพวกเขาส่วนใหญ่จะสื่อสารถึงความพยายามอย่างหนัก พยายามทุ่มเททุกสิ่งโดยไม่ต้องสนใจและใส่ใจกับใครหรืออะไรก็ตาม แล้วสุดท้ายความสำเร็จก็จะมาหาเราด้วยการไปถึงเป้าหมายในที่สุด
…ความพยามยามคือสิ่งเดียวที่เป็นเชือกที่ใช้ผูกติดและดึงความสำเร็จเข้ามาหาได้จริงหรือ?...
หากเราหยุดพยายามเราจะกลายเป็นคนที่ไม่สำเร็จไปโดยปริยายตามชุดความคิดนี้ที่ไม่มีคำอธิบายในเหตุผลหรือความจำเป็นและข้อจำกัดของเหตุผลว่าทำไมเราจึงจำเป็นต้องหยุดพยายามในสิ่งที่ทำ? เราจะถูกตัดสินใว่าเป็นคนล้มเหลวตามค่านิยมนี้ในทันทีที่เราหยุดว่า “ล้มเหลวเพราะยังพยายามไม่มากพอ” โดยไม่มีใครสนใจและใส่ใจเราถึงสาเหตุและเหตุผลในการที่เราต้องหยุดในสิ่งที่เรากำลังตั้งใจทำอยู่ว่า “เพราะอะไร?” ….. “เรามีความจำเป็นอย่างไรถึงต้องหยุด?”
ไม่เคยมีการสนใจในรายละเอียดว่าเรานั้นพยายามไปมากแค่ไหนและเราต้อง “แลก” ด้วยอะไรมากบ้าง บางคนแลกหนทางสู่ความสำเร็จด้วยการพยายามและทุ่มเทจนหมดเนื้อหมดตัว จนเหลือแค่ชีวิตที่มีเท่านั้นถ้าพยายามมากกว่านี้คงเหลือแค่ร่างไร้วิญญาณที่ลาจากโลกนี้ไปโดยที่อาจจะสำเร็จหรือไม่สำเร็จในสิ่งที่ทำก็ได้ซึ่งถ้าสำเร็จก็ดีไปแต่ถ้าไม่สำเร็จก็จะถูกตีตราจากชุดความคิดที่บูชาความพยายามว่า “ยังพยายามได้ไม่มากพอ” แม้จะหมดลมหายใจไปแล้วก็ตาม
แล้วถ้าในความเป็นจริงหากเป็นเช่นนี้ การที่เขาตั้งใจจะหยุดและพอ เพราะเห็นว่าถ้าพยายามและทุ่มเทต่อไปอีกมากกว่านี้ไม่ใช่แค่ตัวเขาเองเท่านั้นที่จะลำบากแต่มันอาจจะทำให้คนที่รัก ครอบครัว คนรอบข้างต้องลำบากไปด้วยโดยที่อาจจะไม่มีใครช่วยเหลือ ถ้าปัจจัยทั้งหมดนี้เกิดขึ้นกับคนหนึ่งคน ในความเป็นจริงมันควรค่าแก่การถูกตราหน้าว่า “ไม่สำเร็จเพราะพยายามไม่มากพอจริงหรือ?”
“ความสำเร็จต่างๆ นั้นเกิดจากความพยายาม ความอดทนและทำงานหนักเพียงอย่างเท่านั้นก็เพียงพอใช่ไหม?”
ถ้าเราลองสังเกตเวลาที่เราได้อ่านประวัติหรือเรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตของ Founder ธุรกิจใหญ่ๆ เจ้าของ Brand สินค้าและธุรกิจดังๆ ที่ประสบความสำเร็จได้แบบ Selfmade สร้างตัวเองจากศูนย์ ในบางช่วงบางตอนของชีวิตพวกเขาที่เผยแพร่ในรูปแบบของหนังสือ วาไรตี้ทอล์คโชว์ เราอาจจะได้ยินคำพูดหนึ่งที่ถูกถ่ายทอดออกมาในเรื่องราวความสำเร็จของพวกเขาประมาณว่า
“ฉันโชคดีที่ได้เจอคนนั้น”
“ฉันโชคดีที่มีโอกาสได้นำเสนอสินค้ากับที่นี่”
“โชคดีที่มีกระแสสังคมขึ้นมาทำให้สินค้าขายดี”
“โชคดีที่ไม่ได้ทำสิ่งนั้นลงไปเพราะติดข้อจำกัดบางอย่างแต่กลายเป็นเรื่องดีที่ไม่ได้ทำ”
“โชคดีที่บังเอิญเจอนักลงทุนที่สนใจลงทุนทันทีแม้ยังไม่เข้าใจธุรกิจที่นำเสนอเท่าไหร่”
ประโยคตัวอย่างทั้งหมดเหล่านี้ถ้าลองอ่านผ่านๆ เราจะเห็ฯคำหนึ่งที่ถือว่ามีผลต่อความสำเร็จของพวกเขา คำนั้นคือคำว่า “โชค” หรืออาจจะเรียกว่า “โอกาส” หรือ “ความบังเอิญ” แต่ทั้งสามคำนี้ผมขอเรียกรวมมันว่า “หนทางแห่งโชคชะตาพาไป” เพราะเวลามันเกิดมันเกิดขึ้นโดยที่ไม่ได้บอกล่วงหน้าและไม่มีอะไรคาดเดาได้มาก่อน เกิดแบบกะทันหัน เกิดแบบไม่มีเหตุผล ไม่ต้องการความเข้าใจและการอธิบายใดๆ ทั้งสิ้น
แม้บางคนอาจจะเชื่อว่าเรื่องบังเอิญไม่มีอยู่จริงในโลกใบนี้ก็ตาม โดยเฉพาะหากเรายึดถือแนวทางตามหลักพระพุทธศาสนาที่ทุกอย่างที่เกิดขึ้นล้วนมีเหตุและผลมาจาก “กรรม” เป็นตัวกำหนด แต่บางเหตุการณ์เราก็ไม่สามารถหาคำใดมาอธิบายเมื่อมันเกิดขึ้นได้ว่า “ทำไม” และ “อะไร” คือเหตุผลที่ทำให้มันเกิด
บางคนอาจจะคิดว่าประโยคที่ผมเขียนมานั้นไม่มีอยู่จริง ทุกอย่างเกิดจากเรากำหนดชะตาชีวิตของตนเอง “ทำอะไรก็ได้อย่างนั้น” แต่ผมมีอีกมุมมองที่อยากชวนทุกท่านให้คิดตามโดยอยากให้ทุกคนลองหาหนังสือประวัติความเป็นมาของเจ้าของธุรกิจในการสร้าง Brand หรือสินค้าต่างๆ ทั้งในระดับประเทศและในระดับโลกมาลองอ่านดูสักเล่มครับ ท่านอาจจะได้ข้อสังเกตและเห็นว่าในเนื้อหาชีวประวัติของพวกเขาที่ส่วนใหญ่เรื่องราวจะเต็มไปด้วยความอดทน ความพยายาม การต่อสู้อย่างหนักหน่วงแทบเจียนตาย
ในตอนหนึ่งของบางช่วงบางตอนคุณจะพบคำว่า “โชคดี (Lucky)” หรือ “ได้รับโอกาสที่ดี” และอะไรก็ตามที่สื่อถึงการเกิดขึ้นโดยที่เขาไม่ได้คาดหวังมาก่อนและไม่เคยเกี่ยวข้องหรือพยายามไปกับมัน แต่ดันเกิดขึ้นโดยหาเหตุผลอธิบายไม่ได้ซึ่งแน่นอนว่ามันเป็นสิ่งที่ส่งผลต่อความสำเร็จของเขาในที่สุด และเข้ามาอยู่ในเรื่องราวแห่งความสำเร็จของเขา
ถ้าหากคนที่ประสบความสำเร็จยังต้องพบกับเหตุการณ์บังเอิญที่คาดเดาไม่ได้จนส่งผลต่อความสำเร็จ หลายคนสิ่งนั้นมันเกิดขึ้นกับชีวิตเขาหลายครั้งจนเขาไม่สามารถปฏิเสธได้ว่ามันก็เป็นส่วนหนึ่งในความสำเร็จของเขา ถ้าเป็นแบบนี้มุมมองชุดความคิดแห่งความสำเร็จอีกหนึ่งชุดความคิด เราอาจจะสรุปได้เลยไหมว่าหนทางแห่งการประสบความสำเร็จนั้นต้องประกอบด้วย
“เก่ง (พยายาม) + เฮง (โชคดี โอกาสดี โดยบังเอิญ)”
เพราะอย่างที่ผมเกริ่นนำตั้งแต่แรกเริ่มก่อนที่จะเชิญชวนทุกท่านไปพบกับความ
มหัศจรรย์ของโชคชะตาเวลามันทำงานกับชีวิตของเราว่า
“คนสำเร็จทุกคนล้วนต้องมีความพยายาม แต่คนพยายามทุกคนไม่ได้เป็นคนที่สำเร็จเสมอไป”
เพราะอะไรผมจึงมีมุมมองแบบนั้น? และทำไมผมถึงเชื่อว่า “เก่งอย่างเดียวไม่พอต้องมีโชคดี” และเส้นทางแห่งโชคชะตาต้องเกื้อหนุนด้วย ผมจึงอยากเชิญชวนผู้อ่านทุกท่านที่สนใจและซื้อหนังสือเล่มนี้เข้ามาพิจารณากันและตัดสินไปพร้อมกับผมครับ
N. Kamolpollapat
โฆษณา