28 ต.ค. เวลา 07:13 • ปรัชญา
เรื่องบางเรื่อง มันก็มีมายา มีคำที่ว่า ฟังดู ก็เหมือนดี ว่าทำอย่างนั้นอย่างนี้ดี ..คนนิยมชมชอบ บางที่ก็บอกว่า มาทำอย่างนี้อย่างนี้ วนเวียนจับเหตุผล ที่จะนำพาจิตของตนเอง ยุติการเกิดตายไม่ได้ มีแต่ว่า อะไรมันเกิด เดี๋ยวดีใจ เดี๋ยวเสียใจ เดี๋ยวติเตียน เดี๋ยว ..เจ็บ ป่วย .. เช้า หิว เย็นหิว มันเกิดตลอดเวลา
..บ้างก็ว่า เกิดดับๆ เอ้าๆ ที่เกิดๆตายๆ นับได้ เหมือนอารมณ์ที่มันเกิดขึ้นในกาย ..เราพูดได้ ..ว่าเกิดดับ แล้วเวลาหิว เราดับหิวอย่างไร มันดับไปเอง หรือ ว่าเราใช้กายไปหาอะไร ใส่ลงไปในท้อง .ความหิวนั้น มันดับลงไป กายมันก็เรียกร้องอีก พอท้องไส้บดขยี้ อาหาร มีน้ำใสๆ ไปผสม ก็เป็นน้ำเลือดน้ำหนอง ไปหล่อเลี้ยงเรือนกาย แล้วเดี๋ยวมันก็หิวอีก มันก็มาอีก มาทุกวันๆ จนวันตาย ก็มีกาย มีกายที่มันหิว..มาทั้งชีวิต
คนที่เค้ารู้จัก ว่าเพราะมีกาย จิึงมีหิว ..เค้าก็หาวิธีหยุด หยุดที่จะไม่ต้องมาเกิดมาตาย มาเกิดมีกายอีก เกิดที่ไหนที่มีกาย มันก็มีหิวอีก เค้าก็พิจารณา .ทบทวน ว่า ทำเย่างไรหนอ ไม่ต้อง กลับมาเกิดอีก มีอารมณ์หิวอีก หากกายนี้ ไม่มีความหิวกระหาย เมื่กกายมันไม่หิวจิตที่อยู่ในกายมันก็ไม่เดือดร้อน หรือว่า มันหิว ..แต่จิตก็ไม่เดือดร้อม มันจะเป็นไปได้มั้ย สิ่งที่จะเป็นไปได้ ก็ทำกายนี้ ให้เป็นกายบุญ นั้นแหละ ถึงจะเรียกว่าพึ่งพาตัวเองได้ พึ่งพาสร้างบุญกุศลบารมี
แต่อย่างว่าแหละ คนเรามันสะสมกันมาไม่เกมือนกัน ย่อมมีความคิดเห็นแตกต่างกัน เพราะความคิดเห็น มันเกิดขึ้นที่กายใครกายมัน จะให้เหมือนกัน มันเป็นไปไม่ได้เลย เหมือนคนเสพของมึกเมา เค้าก็เมา ส่วนเรา แม้ว่า ไม่เสพของมึกเมา มันก็ยังมึนเมา. บางทีก็เผลอสติ เดินเตะ โต๊ะเก้าอี้ เจ็บเนื้อเจ็บตัว .เพราะไ่ม่มีสตินี่เอง
โฆษณา