Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Future Trends
•
ติดตาม
29 ต.ค. เวลา 05:11 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี
“อีก 5 ปี เราจะมีหุ่นยนต์ เข้ามาเป็นส่วนสำคัญของชีวิตประจำวัน”
10 เทรนด์เทคโนโลยีแห่งปี 2025 จากรายงานของ Gartner อัปเดตก่อน เพื่อปรับกลยุทธ์ธุรกิจในปีหน้า
🤖 “นอกจาก AI ที่เป็นกระแสอยู่ตอนนี้ มีอะไรที่น่าสนใจและเป็นเทรนด์ทางเทคโนโลยีที่จะมาอีก?”
Gartner ได้รวบรวม 10 เทรนด์เทคโนโลยีเชิงกลยุทธ์สำหรับปี 2025 ที่จะเป็นเสมือนแผนที่นำทางให้ธุรกิจไปสู่ความสำเร็จ ซึ่งถูกคัดเลือกอย่างพิถีพิถันจากศักยภาพในการพลิกโฉมโมเดลธุรกิจแบบดั้งเดิม เปิดทางสู่นวัตกรรมรูปแบบใหม่ และตอบโจทย์ความท้าทายเร่งด่วนที่องค์กรต่างๆ กำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบัน
ต่อไปนี้ คือ 10 เทรนด์สำคัญที่จะส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจในปี 2025
🚀 [ 1. Agentic AI ]
เป็นโปรแกรมซอฟต์แวร์ที่ถูกออกแบบให้สามารถตัดสินใจและดำเนินการได้อย่างอิสระเพื่อบรรลุเป้าหมายที่กำหนด โดยผสมผสานเทคนิค AI ต่างๆ เข้ากับความสามารถด้านความจำ การวางแผน การรับรู้สภาพแวดล้อม และการใช้เครื่องมือภายใต้แนวทางความปลอดภัย
ผลสำรวจของ Gartner ระบุว่า ภายในปี 2028 อย่างน้อย 15% ของการตัดสินใจในงานประจำวันจะดำเนินการผ่าน Agentic AI โดยเพิ่มขึ้นจาก 0% ในปี 2024
ความสามารถในการทำงานแบบอัตโนมัติหรือกึ่งอัตโนมัติของ Agentic AI มีศักยภาพที่จะช่วยให้ บรรลุวิสัยทัศน์ในการใช้ generative AI เพื่อเพิ่มผลผลิตทั่วทั้งองค์กร
ตัวอย่างการใช้งาน เช่น
🔸 เพิ่มขีดความสามารถของพนักงานในการพัฒนาและจัดการโครงการทางเทคนิคที่ซับซ้อน
🔸 ระบบบริการลูกค้าอัตโนมัติที่ใช้การวิเคราะห์ข้อมูลในการตัดสินใจ
🔸 ปรับปรุงการตัดสินใจและการรับรู้สถานการณ์ผ่านการวิเคราะห์ข้อมูลและการคาดการณ์อัจฉริยะ
Tom Coshow, Senior Director Analyst ของ Gartner กล่าวว่า “องค์กรต่างๆ ต้องการส่งเสริมทีมที่มีประสิทธิภาพสูง ปรับปรุงการทำงานร่วมกันข้ามหน่วยงาน และประสานงานปัญหาต่างๆ ระหว่างเครือข่ายทีมมาโดยตลอด Agentic AI มีศักยภาพที่จะทำหน้าที่เป็นเพื่อนร่วมทีมที่มีความสามารถสูง โดยให้ข้อมูลเชิงลึกจากเหตุการณ์ที่มักไม่ปรากฏให้เพื่อนร่วมทีมที่เป็นมนุษย์เห็น”
🚀 [ 2. AI Governance Platforms ]
แพลตฟอร์มที่ช่วยในการจัดการและควบคุมระบบ AI ให้ใช้งานอย่างมีความรับผิดชอบและมีจริยธรรม ช่วยให้มั่นใจได้ว่า AI มีความน่าเชื่อถือ โปร่งใส เป็นธรรม และรับผิดชอบ พร้อมทั้งปฏิบัติตามมาตรฐานความปลอดภัยและจริยธรรม ประกอบด้วย 3 องค์ประกอบหลัก
Ethics: หลักการและการพิจารณาด้านจริยธรรมสำหรับการพัฒนาและใช้งาน AI
Responsible AI Policies: กรอบและกระบวนการสำหรับการจัดการ กำกับดูแล และใช้งาน AI อย่างรับผิดชอบ
AI Technology: ด้านเทคนิคและความสามารถของระบบ AI ที่สอดคล้องกับมาตรฐานการกำกับดูแล
ผลสำรวจของ Gartner ระบุว่า ภายในปี 2028 องค์กรที่ใช้แพลตฟอร์มกำกับดูแล AI จะได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าสูงขึ้น 30% และมีคะแนนการปฏิบัติตามกฎระเบียบดีขึ้น 25% เมื่อเทียบกับคู่แข่ง
เมื่อ AI ถูกใช้ในวงกว้างมากขึ้น โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่มีกฎระเบียบเข้มงวด ความเสี่ยงด้านอคติ ความเป็นส่วนตัว และความจำเป็นในการปรับให้เข้ากับค่านิยมของมนุษย์ก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วย
ตัวอย่างการใช้งาน เช่น
🔸 ประเมินความเสี่ยงและผลกระทบที่อาจเกิดจากระบบ AI ในด้านอคติ การละเมิดความเป็นส่วนตัว และผลกระทบเชิงลบต่อสังคม
🔸 กำกับดูแลโมเดล AI ตลอดวงจรชีวิต โดยมั่นใจว่า มีการควบคุมและตรวจสอบที่เหมาะสมในทุกขั้นตอน
🔸 ติดตามการใช้งาน ตรวจสอบประสิทธิภาพ และตรวจสอบกระบวนการตัดสินใจ เพื่อให้แน่ใจว่าระบบ AI ยังคงสอดคล้องกับมาตรฐานการกำกับดูแล
Jasleen Kaur Sindhu, VP Analyst ของ Gartner กล่าวว่า “เมื่อคุณใช้แอปพลิเคชันหรือเว็บไซต์ของธนาคาร AI มักอยู่เบื้องหลังฟีเจอร์ต่างๆ เช่น การตรวจจับการฉ้อโกง การอนุมัติสินเชื่อ และการให้คำแนะนำทางการเงินแบบส่วนบุคคล แพลตฟอร์มกำกับดูแล AI ช่วยให้ธนาคารมั่นใจได้ว่า ระบบเหล่านี้ตัดสินใจอย่างเป็นธรรมและมีจริยธรรม ปกป้องข้อมูล และปฏิบัติตามกฎระเบียบที่กำหนด”
🚀 [ 3. Disinformation Security ]
เป็นระบบที่ออกแบบมาเพื่อช่วยระบุข้อมูลที่เชื่อถือได้ สร้างระบบที่รับรองความถูกต้อง ป้องกันการปลอมแปลง และติดตามการแพร่กระจายของเนื้อหาที่เป็นอันตราย โดยประกอบด้วย 3 องค์ประกอบหลัก
🔸 Deepfake detection: ผสมผสาน Gen AI และเทคโนโลยีตรวจพิสูจน์ดิจิทัลเพื่อแยกแยะข้อมูลจริงจากข้อมูลสังเคราะห์
🔸 Impersonation prevention: ประเมินพฤติกรรมผู้ใช้แบบองค์รวม เพื่อตรวจสอบความถูกต้องของการกระทำ
🔸 Reputation protection: ปกป้ององค์กรจากผู้ไม่ประสงค์ดี ด้วยการติดตามการดำเนินงาน อิทธิพล และโครงสร้างพื้นฐาน
ผลสำรวจของ Gartner ระบุว่า ภายในปี 2028 องค์กรกว่า 50% จะใช้ผลิตภัณฑ์ บริการ หรือฟีเจอร์เฉพาะสำหรับจัดการความปลอดภัยด้านข้อมูลบิดเบือน เพิ่มขึ้นจาก <5% ในปี 2024
การบิดเบือนข้อมูลกำลังกลายเป็นการแข่งขันทางดิจิทัล (digital arms race) ทั้งฟิชชิ่ง แฮคติวิสม์ ข่าวปลอม และการหลอกลวงทางสังคม ล้วนได้รับการเสริมพลังจากเครื่องมือ AI และ machine learning ที่ก้าวหน้าและเข้าถึงได้ง่ายขึ้น หากไม่มีการจัดการที่ดี อาจก่อให้เกิดความเสี่ยงที่สำคัญและยาวนาน
ตัวอย่างการใช้งาน เช่น
🔸 ตรวจจับการใช้ข้อมูลหรือสื่อปลอมแปลง (synthetic media) ในงานที่ต้องการการยืนยันตัวตน การสื่อสารแบบทันที หรือการตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล
🔸 ติดตามข้อมูลที่แพร่กระจายผ่านสื่อมวลชนหรือโซเชียลมีเดียที่อาจส่งผลกระทบต่อผู้บริหาร ผลิตภัณฑ์ หรือแบรนด์
🔸 ป้องกันการปลอมตัวเป็นพนักงาน ผู้รับเหมา ซัพพลายเออร์ หรือลูกค้า
Dan Ayoub, Senior Director Analyst ของ Gartner ยกตัวอย่างว่า “พนักงานได้รับอีเมลที่ดูเหมือนมาจาก CEO ของบริษัท ขอข้อมูลที่ละเอียดอ่อนหรือขออนุมัติธุรกรรมทางการเงิน เครื่องมือด้านความปลอดภัยจากข้อมูลบิดเบือนจะวิเคราะห์เนื้อหา ข้อมูล และแหล่งที่มาของอีเมล เพื่อตรวจจับสัญญาณการปลอมแปลงหรือการฉ้อโกง และหากจำเป็น จะกักอีเมลนั้นไว้ แจ้งเตือนพนักงาน และแจ้งทีมรักษาความปลอดภัยด้าน IT โดยอัตโนมัติ”
🚀 [ 4. Post-quantum Cryptography ]
เป็นการเข้ารหัสที่ออกแบบมาเพื่อป้องกันภัยคุกคามจากคอมพิวเตอร์ควอนตัม ซึ่งอาจทำให้วิธีการเข้ารหัสแบบดั้งเดิมล้าสมัย โดยมีไทม์ไลน์การพัฒนา ดังนี้
ระยะปัจจุบัน (ปี 2022 - 2024): สร้างฐานข้อมูลเมตาดาต้าการเข้ารหัส, สร้างนโยบายการเข้ารหัสสำหรับเฟสต่อไป, ทดสอบการกู้คืนข้อมูล, วางแผนระยะเปลี่ยนผ่าน และเริ่มกลยุทธ์การพัฒนาแบบ crypto-agile
ระยะเปลี่ยนผ่าน (ปี 2024 - 2027): ดำเนินการตามแผนเปลี่ยนผ่าน, กำจัดข้อมูลที่หมดอายุที่ใช้การเข้ารหัสแบบอ่อนแอ, ใช้นโยบายการเข้ารหัสช่วงเปลี่ยนผ่าน, พัฒนาและใช้งานแอปพลิเคชันแบบ crypto-agile
ผลสำรวจของ Gartner ระบุว่า ภายในปี 2029 ความก้าวหน้าของคอมพิวเตอร์ควอนตัมจะทำให้การเข้ารหัสแบบอสมมาตรแบบดั้งเดิมไม่ปลอดภัยในการใช้งาน
คอมพิวเตอร์ควอนตัมจะกลายเป็นความจริงในทศวรรษนี้ และจะทำให้วิธีการเข้ารหัสแบบดั้งเดิมล้าสมัย อาชญากรเริ่มใช้กลยุทธ์ “harvest now, decrypt later” โดยขโมยข้อมูลที่เข้ารหัสไว้ก่อน แล้วรอจนกว่าจะสามารถถอดรหัสได้ด้วยเทคโนโลยีควอนตัม
ตัวอย่างการใช้งาน เช่น
🔸 ปกป้องข้อมูลทางการเงินที่สำคัญในยุคคอมพิวเตอร์ควอนตัม
🔸 รักษาความปลอดภัยของทรัพย์สินทางปัญญาจากการโจมตีด้วยเทคโนโลยีควอนตัม
🔸 ป้องกันการดักจับและถอดรหัสข้อความ สัญญา และข้อมูลการดำเนินงาน
Mark Horvath, VP Analyst ของ Gartner กล่าวว่า “เมื่อพนักงานส่งอีเมลที่มีข้อมูลละเอียดอ่อน เช่น ข้อมูลทางการเงิน ข้อมูลลูกค้า หรือทรัพย์สินทางปัญญา PQC algorithms สามารถใช้เข้ารหัสการสื่อสารเหล่านี้ได้ แม้ผู้โจมตีจะดักจับข้อมูลในปัจจุบัน พวกเขาก็จะไม่สามารถถอดรหัสได้ในอนาคต แม้เมื่อคอมพิวเตอร์ควอนตัมมีความสามารถมากพอที่จะทำลายมาตรฐานการเข้ารหัสปัจจุบัน”
🚀 [ 5. Ambient Invisible Intelligence ]
เป็นการใช้แท็กและเซ็นเซอร์ราคาถูกในการติดตามตำแหน่งและสถานะของวัตถุและสภาพแวดล้อมต่างๆ โดยส่งข้อมูลไปยังคลาวด์เพื่อวิเคราะห์และเก็บบันทึก เทคโนโลยีเหล่านี้ จะถูกฝังอยู่ในวัตถุประจำวัน โดยผู้ใช้อาจไม่รู้ตัว
ผลสำรวจของ Gartner ระบุว่า จนถึงปี 2028 ตัวอย่างแรกๆ ของปัญญาประดิษฐ์แฝงในสภาพแวดล้อมจะมุ่งเน้นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ผ่านการติดตามและตรวจจับราคาประหยัด เพื่อลดต้นทุนหรือเพิ่มประสิทธิภาพ
🔸 เทคโนโลยีสำหรับแท็กและเซ็นเซอร์มีราคาถูกลง ทำให้น่าสนใจในเชิงเศรษฐศาสตร์
🔸 ความก้าวหน้าของมาตรฐานไร้สาย เช่น Bluetooth และเครือข่ายเซลลูลาร์ รวมถึงเทคโนโลยีใหม่อย่าง backscatter และ printed electronics จะสนับสนุนการใช้งานรูปแบบใหม่
🔸 จะกลายเป็นแหล่งข้อมูลสำคัญสำหรับ AI และการวิเคราะห์ เพื่อปรับปรุงผลิตภัณฑ์และกระบวนการ
ตัวอย่างการใช้งาน เช่น
🔸 ปรับแสง เสียง และคำแนะนำผลิตภัณฑ์ในร้านค้าตามพฤติกรรมลูกค้า
🔸 ติดตามการใช้พื้นที่สำนักงานและปรับปัจจัยแวดล้อมอัตโนมัติ
🔸 ในการดูแลสุขภาพ สามารถติดตามผู้ป่วยอย่างต่อเนื่องโดยไม่ต้องใช้อุปกรณ์สวมใส่
Nick Jones, Distinguished VP Analyst ของ Gartner กล่าวว่า “ในการผลิตชิ้นส่วนและเครื่องจักรสามารถสื่อสารกับระบบจัดการ ให้ข้อมูลอัพเดทเกี่ยวกับความต้องการในการบำรุงรักษา ระดับสต็อก หรือรูปแบบการใช้งาน การมองเห็นนี้ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพซัพพลายเชน ป้องกันเครื่องจักรหยุดทำงาน และทำให้การสั่งซื้อซ้ำเป็นอัตโนมัติ”
🚀 [ 6. Energy-Efficient Computing ]
เป็นการออกแบบและดำเนินการระบบคอมพิวเตอร์ ศูนย์ข้อมูล และระบบดิจิทัลอื่นๆ เพื่อลดการใช้พลังงานและคาร์บอนฟุตพริ้นท์ โดยควบคุมความยั่งยืนของ IT ผ่าน 3 ด้าน คือ โค้ดและอัลกอริธึมที่มีประสิทธิภาพ, พลังงานสะอาด และฮาร์ดแวร์ใหม่
ผลสำรวจของ Gartner ระบุว่า การพิจารณาหลักสำหรับองค์กร IT ส่วนใหญ่ในปัจจุบันคือคาร์บอนฟุตพริ้นท์ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมการเงินและบริการ IT
🔸 ความสำคัญคือ ความยั่งยืนกลายเป็นประเด็นระดับบอร์ดบริหาร
🔸 IT มีส่วนสำคัญต่อผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะเมื่อเทคโนโลยีที่ใช้พลังงานสูงอย่าง AI กำลังขยายตัว
🔸 ในขณะที่การปรับปรุงการประมวลผลแบบดั้งเดิมกำลังถึงขีดจำกัด เทคโนโลยีการประมวลผลใหม่ๆ เช่น GPUs, neuromorphic computing และ quantum computing คาดว่าจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานอย่างมากในอีก 5-10 ปีข้างหน้า
ตัวอย่างการใช้งาน เช่น
🔸 ลดต้นทุนศูนย์ข้อมูลผ่านการลดการใช้พลังงานของเซิร์ฟเวอร์และระบบทำความเย็น
🔸 พัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ใช้พลังงานน้อยลง
🔸 ใช้ระบบจัดการพลังงานอัจฉริยะในเครือข่ายสำนักงาน
Nick Jones, Distinguished VP Analyst ของ Gartner ยกตัวอย่างว่า “นึกถึงภาพอาคารสำนักงานอัจฉริยะที่มีการประมวลผลแบบประหยัดพลังงานรวมอยู่ในทุกแง่มุมของการดำเนินงานประจำวัน เซ็นเซอร์ IoT ติดตามการใช้งานพื้นที่ ปรับแสงสว่าง ระบบปรับอากาศ และการใช้อุปกรณ์ตามความต้องการจริง - ส่งผลให้ประหยัดต้นทุนอย่างมีนัยสำคัญและลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์”
🚀 [ 7. Hybrid Computing ]
เป็นการผสมผสานเทคโนโลยีต่างๆ เช่น CPUs, GPUs, edge devices, ASICs และระบบ neuromorphic, quantum และ photonic เพื่อแก้ปัญหาการคำนวณที่ซับซ้อน โดยสร้างสภาพแวดล้อมแบบผสมผสานที่ใช้จุดแข็งของแต่ละเทคโนโลยี
สถาปัตยกรรมการประมวลผลแบบผสมผสานประกอบด้วย 1. ชั้นการจัดการ (Orchestration tier) และ 2. สภาพแวดล้อมการประมวลผลหลากหลาย เช่น Classical supercomputing (CPUs และ GPUs), AI ASICs, Neuromorphic, Quantum, Photonic, Bio และ carbon
ความสำคัญคือ ช่วยให้ธุรกิจใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อสร้างผลกระทบที่เปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะในกรณีของ Generative AI ที่ต้องการการประมวลผล เครือข่าย และการจัดเก็บขั้นสูง
ตัวอย่างการใช้งานเฉพาะด้าน เช่น
🔸 หุ่นยนต์อเนกประสงค์ (edge, IoT)
🔸 การหาค่าที่เหมาะสมและการจำลอง
🔸 แอปพลิเคชัน AI
🔸 การค้นพบยา
ตัวอย่างการใช้งานทั่วไป เช่น
🔸 เก็บงานสำคัญไว้ภายในองค์กร ใช้คลาวด์จัดการช่วงที่มีงานมาก
🔸 เพิ่มความปลอดภัยและการปฏิบัติตามกฎระเบียบของข้อมูล
🔸 เร่งนวัตกรรมและการพัฒนาผ่านเครื่องมือพัฒนาบนคลาวด์
Soyeb Barot, VP Analyst ของ Gartner ยกตัวอย่างว่า “ลองนึกภาพองค์กรที่รันแอปพลิเคชันหลักบนเซิร์ฟเวอร์ภายใน (เพื่อความปลอดภัยและการควบคุม) ในขณะที่ใช้คลาวด์สำหรับงานที่ต้องการประสิทธิภาพสูง เช่น การวิเคราะห์ข้อมูล AI หรือการสำรองข้อมูล การตั้งค่าแบบไฮบริดนี้ช่วยให้ธุรกิจขยายตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดต้นทุน และรักษาความยืดหยุ่น”
🚀 [ 8. Spatial Computing ]
เป็นเทคโนโลยีที่เพิ่มเติมโลกกายภาพด้วยการ “ยึด” เนื้อหาดิจิทัลในโลกจริง ทำให้ผู้ใช้สามารถโต้ตอบได้อย่างสมจริงและเป็นธรรมชาติ โดยประกอบด้วย 3 ชั้นสำคัญ คือ
🔸 1. Interaction: อำนวยความสะดวกในการมีส่วนร่วมและประสบการณ์การใช้งานวัตถุดิจิทัลในโลกกายภาพอย่างเป็นธรรมชาติ
🔸 2. Information: ข้อมูลที่ใช้สร้างตัวแทนดิจิทัลของโลกกายภาพ และวิธีการ ตำแหน่ง และเนื้อหาที่จะซ้อนทับ
🔸 3. Infrastructure: สนับสนุนการรวมเทคโนโลยีและประสบการณ์หลากหลาย รวมถึงฮาร์ดแวร์ เครือข่ายที่เร็วและเสถียร และระบบปฏิบัติการ
ผลสำรวจของ Gartner ระบุว่า ภายในปี 2028 ผู้คนจำนวน 20% จะมีประสบการณ์แบบ immersive กับเนื้อหาที่ยึดติดกับพิกัดทางภูมิศาสตร์ อย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง เพิ่มขึ้นจาก <1% ในปี 2023
ความสำคัญ คือ
🔸 ความก้าวหน้าของ AR, MR และ AI ทำให้เกิดสภาพแวดล้อมดิจิทัลแบบสมจริง
🔸 การแพร่หลายของ 5G และอุปกรณ์ใหม่ เช่น Apple Vision Pro และ Meta Quest 3 กำลังขับเคลื่อนความต้องการของผู้บริโภค
🔸 บริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Nvidia และ Qualcomm กำลังสร้างระบบนิเวศ
🔸 ตลาดคาดว่าจะเติบโตจาก 110 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2023 เป็น 1.7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2033
ตัวอย่างการใช้งาน เช่น
🔸 การทำงานร่วมกันในสภาพแวดล้อม 3D แบบสมจริง
🔸 สร้างการจำลองสถานการณ์สำหรับการฝึกอบรมพนักงาน
🔸 ปรับปรุงประสบการณ์การช็อปปิ้งด้วยผู้ช่วยเสมือนจริงแบบโต้ตอบ
Marty Resnick, VP Analyst ของ Gartner กล่าวว่า "ด้วย spatial computing องค์กรสามารถใช้เทคโนโลยี digital twin เพื่อสร้างตัวแทนดิจิทัล 3D แบบเรียลไทม์ของสินทรัพย์ทางกายภาพ นี่เป็นวิธีแบบ immersive ในการติดตามและปรับปรุงประสิทธิภาพ คาดการณ์ความต้องการในการบำรุงรักษา และทดสอบสถานการณ์ต่างๆ โดยไม่รบกวนการดำเนินงานประจำวัน"
🚀 [ 9. Polyfunctional Robots ]
เป็นหุ่นยนต์ที่สามารถทำงานได้หลากหลายตามคำสั่งหรือตัวอย่างจากมนุษย์ มีความยืดหยุ่นทั้งในด้านการออกแบบและการทำงาน โดยพัฒนาจากงานง่าย > งานที่ท้าทาย, งานซ้ำๆ > งานที่หลากหลาย, งานที่คาดเดาได้ > งานที่คาดเดาไม่ได้ และงานที่ต้องการความแม่นยำ > งานที่ต้องการความยืดหยุ่น
ผลสำรวจของ Gartner ระบุว่า ภายในปี 2030 มนุษย์ 80% จะมีปฏิสัมพันธ์กับหุ่นยนต์อัจฉริยะในชีวิตประจำวัน เพิ่มขึ้นจาก <10% ในปัจจุบัน
ความสำคัญคือ
🔸 ต้นทุนแรงงานที่สูงขึ้นและความต้องการผลตอบแทนจากการลงทุนที่ดีขึ้น โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมคลังสินค้าและการผลิต
🔸 ผู้ผลิตนำเสนอราคาที่แข่งขันได้ ทำให้หุ่นยนต์ขั้นสูงเข้าถึงได้ง่ายขึ้น
🔸 มีความหลากหลายของราคาและความสามารถ ให้ผู้ใช้งานเลือกตามความเหมาะสม
ตัวอย่างการใช้งาน เช่น
🔸 จัดการงานในคลังสินค้า เช่น การหยิบ บรรจุ และขนส่งสินค้า
🔸 ช่วยในการดูแลสุขภาพ เช่น จัดส่งอุปกรณ์การแพทย์ ช่วยเหลือผู้ป่วย ฆ่าเชื้อในพื้นที่
🔸 งานบริการภาคสนาม เช่น ตรวจสอบอุปกรณ์ ซ่อมบำรุงในพื้นที่ห่างไกลหรืออันตราย
Bill Ray, Distinguished VP Analyst ของ Gartner กล่าวว่า “หุ่นยนต์ที่ทำงานร่วมกับมนุษย์ต้องสามารถทำงานในสภาพแวดล้อมที่ออกแบบมาสำหรับมนุษย์ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าต้องมีรูปร่างเหมือนมนุษย์ - หุ่นยนต์อเนกประสงค์ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดจะไม่ใช่การลอกเลียนแบบรูปร่างมนุษย์ แต่จะเป็นการพัฒนาต่อยอดจากข้อจำกัดของมนุษย์”
🚀 [ 10. Neurological Enhancement ]
เป็นเทคโนโลยีที่ช่วยพัฒนาความสามารถทางปัญญาของมนุษย์ผ่านการอ่านและถอดรหัสกิจกรรมสมอง และสามารถส่งข้อมูลกลับไปยังสมองได้
ผลสำรวจของ Gartner ระบุว่า ภายในปี 2030 พนักงาน IT 60% จะได้รับการเสริมประสิทธิภาพและพึ่งพาเทคโนโลยีเช่น brain-machine interfaces แบบสองทิศทาง ที่ได้รับการสนับสนุนจากนายจ้างหรือลงทุนด้วยตนเอง
ความสำคัญคือ
🔸 ศักยภาพในการเพิ่มความโปร่งใสของสมอง ปฏิวัติการดูแลสุขภาพ
🔸 ช่วยให้พนักงานพัฒนาทักษะและแข่งขันได้ผ่าน brain-machine interfaces
🔸 สร้างประสบการณ์และปฏิสัมพันธ์กับผู้บริโภคที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นผ่านกลยุทธ์การตลาดรูปแบบใหม่
ตัวอย่างการใช้งาน เช่น
🔸 ปรับเนื้อหาการศึกษาให้เหมาะกับนักเรียนแบบเรียลไทม์
🔸 ลดอุบัติเหตุและการบาดเจ็บในที่ทำงาน
🔸 ปรับปรุงการสรรหาและรักษาพนักงานผ่านการใช้ neurodata
Sylvain Fabre, Senior Director Analyst ของ Gartner กล่าวว่า “ลองนึกภาพการสัมภาษณ์งานที่ใช้ brain interface ภายในสองนาที การเสริมประสิทธิภาพทางระบบประสาทช่วยให้องค์กรรู้ว่าคนรู้สึกอย่างไร นอกจากนี้ ยังสามารถป้อนข้อมูลเข้าสู่สมองเพื่อกระตุ้นให้พนักงานรู้สึกผ่อนคลายหรือมีสมาธิมากขึ้นเพื่อเพิ่มผลผลิต ความสามารถจะพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ แต่โซลูชันที่มีอยู่ในปัจจุบันก็สามารถให้ความได้เปรียบได้แล้ว”
เทคโนโลยีทั้ง 10 เทรนด์นี้ ไม่เพียงแต่แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้นในปี 2025 แต่ยังสะท้อนถึงความท้าทายและโอกาสที่องค์กรต่างๆ ต้องเตรียมพร้อมรับมือ แบ่งเป็น 3 ด้าน ต่อไปนี้
✅ 1. ด้าน AI และความเสี่ยง: การเติบโตของ AI agents จะต้องมาพร้อมกับการพัฒนาระบบกำกับดูแล AI และเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อต่อสู้กับข้อมูลบิดเบือน
✅ 2. ด้านการประมวลผลแนวใหม่: คอมพิวเตอร์ควอนตัมจะต้องการวิธีการเข้ารหัสแบบใหม่ ขณะที่เซ็นเซอร์ราคาถูกจะเปิดทางให้เกิดโมเดลธุรกิจที่สร้างสรรค์
✅ 3. ด้านการผสานระหว่างมนุษย์กับเครื่องจักร: เตรียมพร้อมสำหรับการปฏิสัมพันธ์ที่เพิ่มขึ้นระหว่างประสบการณ์ทางกายภาพและเสมือนจริง การผสานหุ่นยนต์เข้าสู่ชีวิตประจำวัน และเทคโนโลยีที่มีอิทธิพลโดยตรงต่อความรู้ความเข้าใจและประสิทธิภาพของมนุษย์
สำหรับผู้บริหารองค์กร การเตรียมพร้อมสำหรับเทรนด์เหล่านี้ ไม่ใช่เพียงการลงทุนในเทคโนโลยี แต่เป็นการวางรากฐานสำหรับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต การเข้าใจและประยุกต์ใช้เทรนด์เหล่านี้อย่างชาญฉลาดจะเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันและความยั่งยืนในโลกดิจิทัลที่กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
#FutureTrends #FutureTrendsetter #FutureTech
พบกับ Work Life Festival 2024 เฟสติวัลสุดยิ่งใหญ่แห่งปีจาก Future Trends ตอบโจทย์ในทุกมิติสำหรับคนทำงาน ที่ครอบคลุมทั้ง Work-Wealth-Health-Fun
🗓️ วันที่ 2 - 3 พฤศจิกายน 2567
🏬 ณ รอยัล พารากอน ฮอลล์ ชั้น 5 ศูนย์การค้าสยามพารากอน
ผู้สนใจสามารถลงทะเบียน เข้าร่วมงานได้ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย พร้อมรับสิทธิพิเศษต่างๆ
⚠️⚠️ฟรี! ลงทะเบียนได้ที่ลิงก์นี้
https://bit.ly/477HQU9
ธุรกิจ
พัฒนาตัวเอง
2 บันทึก
3
3
2
3
3
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย