เราทุกคนล้วนมีเกราะป้องกันใจ
หรือเรียกว่า "ความระแวดระวัง" มีไว้ป้องกันภัยซึ่งมาจากจิตใต้สำนึก
แต่หากมีใครสามารถทะลวงเกราะนี้เข้าไปได้
คนคนนั้นก็จะสามารถเข้าไปนั่งในใจกลางของอีกฝ่าย
และจูงใจให้ทำในสิ่งที่ต้องการได้ดั่งใจนึก
อ่านแล้วอย่างกับมีเวทมนตร์วิเศษ
แต่ความจริงแล้วเป็นเทคนิคที่ใครๆก็ทำตามได้ไม่ยาก
เทคนิคเหล่านี้สามารถนำไปเป็นความรู้เพื่อป้องกันตัวจากมิจฉาชีพ
หรือนำไว้ปรับใช้ในการทำงานให้ราบรื่น พูดเพื่อให้เพื่อนร่วมงานเห็นพ้องไปกับเรา
2 เทคนิคสำหรับการสนทนาเพื่อทลายเกราะป้องกันใจ
เทคนิคที่ 1 กฏเมห์ราเบียน
ใครๆก็อยากฟังคนหล่อสวย หรือบุคลิกภาพดี เพราะกฏบอกไว้ว่า
ความประทับใจจะถูกกำหนดด้วยข้อมูลที่เห็นด้วยตา 55%
การฟัง 38% และถ้อยคำ 7%
ดังนั้นแทนที่เราจะไปให้เวลากับการพูด ว่าควรพูดอย่างไรเป็นหลัก
แต่อาจจะเน้นดูแลภาพลักษณ์การแต่งกาย การใช้น้ำเสียงให้น่าฟัง
เพราะแม้พูดผิดหรือติดขัดบ้าง แต่ถ้าหน้าตาดีสะอย่าง คนฟังก็ให้อภัยใช่มั้ยล่ะ
เทคนิคนี้ทำให้นึกถึงข่าวใหญ่ที่ดาราชวนลงทุน
ไม่แปลกใจที่ดาราหน้าตาดี แต่งกายภูมิฐาน ดูน่าเชื่อถือ
จะเข้าไปนั่งในใจใครหลายๆคน และชักชวนลงทุนได้สำเร็จ
เทคนิคที่ 2 ความสำคัญของข้อมูล
ลำดับควาสำคัญที่ว่าก็คือ
1. ใครเป็นคนพูด
2. พูดเพื่ออะไร
3. พูดอย่างไร
4. พูดอะไร
ในหนังสือบอกว่าเน้นแค่ข้อ 1 กับ 2 ก็พอนะ
ข้อแรกคือ "ใครเป็นคนพูด"
ในทางจิตวิทยา เรียกสิ่งนี้ว่า Halo effect
เป็นปรากฏการณ์ที่ชี้ว่า เมื่อเราเห็นข้อดีอย่างหนึ่งของใครสักคน
เราจะมองด้านอื่นๆของเขาดีไปด้วย
ลองยกตัวอย่างง่ายๆ ถ้าเราไปซื้อเครื่องสำอางค์กับ BA คนหนึ่งแล้ว
พอลองใช้จริงได้ผลดีตามที่เขาแนะนำ
วันถัดมาถ้าเรา BA คนนี้แนะนำสิ่งอื่นที่อาจจะไม่ใช่เครื่องสำอางค์
เราก็จะคล้อยตามเขาไปด้วยใช่มั้ยล่ะ
ข้อสองคือพูดเพื่ออะไร ก็คือมีวัตถุประสงค์อะไร
เพราะสิ่งนี้ถูกแสดงผ่านสีหน้า ท่าทาง โดยที่เราไม่รู้ตัว
ทำให้คู่สนทนาจับบรรยากาศนี้ได้
การพูดไปเพราะปรารถนาดีกับพูดไปเพราะประสงค์ร้าย
ผู้ฟังสัมผัสอวัจภาษาตรงนี้ได้
หากเป็นบทสนทนากับคนแปลกหน้าที่ไม่เคยพบมาก่อน
มีเทคนิคการสร้างความประทับใจแรกพบที่ทำตามได้ง่ายแบบนี้
จงใช้เจ้า Halo effect อีกครั้ง
ทำให้คู่สนทนาที่เจอเราครั้งแรกเห็นข้อดีบางอย่างของเรา อาจจะเป็น
1. ความรู้สึกปลอดภัย
2. รูปลักษณ์ภายนอก
3. ความเข้าใจผิด
ความรู้สึกปลอดภัยในที่นี้คือ ทำให้คู่สนทนาอยู่กับเราแล้วมีโอกาสอยู่รอดสูง
ฟังแล้วอาจจะเข้าใจยากหน่อย
แต่แบบง่ายๆคือหาสิ่งที่คล้ายคลึงกันและรู้สึกว่าเข้ากันได้
อาจจะเป็นการรักษาจังหวะให้เข้ากับอีกฝ่าย ถ้าคู่สนทนาตอบช้าหนึ่งจังหวะ
ก็ให้เราปรับการพูดตามเขาไปด้วย
ลองคิดว่าถ้าคู่สนทนาพูดช้า แล้วเราตอบเร็ว เขาคงจะอึดอัดและรู้สึกไม่ปลอดภัย
นอกจากนี้อาจจะชิงแสดงความกังวลออกไปก่อน เช่นว่าเราเห็นคู่สนทนารู้สึกอย่างไร
เราก็ชิงพูดไปก่อนว่าเรารู้สึกแบบนั้นมาก่อน จะทำให้อีกฝ่ายรู้สึกเป็นพวกพ้องและไว้ใจ
เมื่อเขาไม่รู้สึกกังวลก็จะเปิดใจกับเรามากขึ้น
สำหรับรูปลักษณ์ถ้าจะอธิบายเพิ่มเติมในเล่มเน้นย้ำเรื่องกลิ่นเหม็น
เพราะกลิ่นเหม็นคือตราบาป
ลองจินตนาการว่าเราสามารถคุยกับคู่สนทนาได้อย่างลื่นไหลราวกับนั่งอยู่ในใจเขาได้
แต่ว่าได้เราดันมีกลิ่นปาก หรือกลิ่นอะไรก็แล้วแต่จากตัวเราโชยออกมา
อาจจะทำให้คู่สนทนาแอบยี้ในใจ
สำหรับเทคนิคความเข้าใจผิด
ตัวอย่างเช่นจงใจพูดผิดให้อีกฝ่ายแก้
"ดูท่าทางคุณจะมีน้องชาย 3 คนนะ"
อีกฝ่ายตอบกลับมาว่า "ไม่หรอก มีแค่พี่สาวคนเดียว"
"โอ้ ผมเดาผิดไปเยอะ เห็นคุณเทกแคร์คนอื่นเก่งเลยคิดไปเองว่าต้องมีน้องชายแน่ๆ"
จะเห็นว่าพูดให้เข้าใจผิดแล้วยังแอบชมแบบเนียนๆได้
พอได้ชมแล้วก็ยิ่งทำให้คู่สนทนาอยากคุยกับเราต่อไงล่ะ
นี่คือเบื้องต้นเทคนิคง่ายๆที่ทำตามได้สบายๆ
หรือใครเอาเทคนิคเหล่านี้มาใช้กับเราก็ระวังกันให้ดีล่ะทุกคน
อ่านน้ำจิ้มมาขนาดนี้แล้วภายในเล่มยังมีอีกหลายเทคนิคที่อยากให้มาลองอ่านกันนะคะในหนังสือ ศาสตร์มืด แห่งการ ชักใยคน
เขียนโดย Dr. Hiro เจ้าเดียวกับหนังสือจิตวิทยาสายดาร์ก
พลาดไม่ได้เลยนะ มาตำกันได้ที่นี่เลยค่ะ
>>หนังสือรูปเล่ม>> https://s.shopee.co.th/8UrHrOm63K
- 2
โฆษณา
- ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
- © 2025 Blockdit
